โจวเสาจิ่นกลับไม่คิดว่านี่เป็นเพียงถ้อยคำหยอกล้อแต่อย่างใด
นางยิ้มพลางรับเทียบเชิญมา แล้วกล่าวว่า “ข้าจะไปบอกท่านพี่ของข้า”
หงหรุ่ยเดินจากไปอย่างสมใจ
โจวเสาจิ่นโยนเทียบเชิญของตนเองทิ้งลงไปในตะกร้ากระดาษ แล้วถือเทียบเชิญของโจวชูจิ่นไปหานาง
โจวชูจิ่นหยิบเทียบเชิญขึ้นมาดู พลางเอ่ยถามน้องสาวว่า “เจ้าคิดจะไปหรือไม่”
“ไม่คิดเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นตอบ “หากว่าข้าไม่รับเทียบเชิญมาล่ะก็ เกรงว่าหงหรุ่ยผู้นั้นคงจะคุยจ้อต่อไปไม่หยุด เป็นไปได้ว่าอาจจะไปเรียกสะใภ้ใหญ่สือมาด้วย ถึงเวลานั้นข้าก็เพียงไม่ไปก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นข้าก็ไม่ไปเช่นกัน”
โจวเสาจิ่นกล่าวว่า “ข้าวางแผนว่าจะหลบอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน ท่านพี่อยากจะไปกับข้าหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ไป” โจวชูจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม พลางขยิบตาให้นาง เอ่ยว่า “ข้าก็มีที่ให้ไปหลบซ่อนตัวเหมือนกัน!”
โจวเสาจิ่นรู้สึกประหลาดใจ
โจวชูจิ่นบอกนางว่า “ช่วงนั้นคนจากตระกูลเหอจะมาหารือเรื่องสินสอดเจ้าสาว ข้าต้องไปช่วยท่านป้าใหญ่ต้อนรับแขกจากตระกูลเหอ”
เวลาผู้คนในเจียงหนานแต่งงานกัน ฝ่ายเจ้าสาวต้องตระเตรียมเครื่องเรือนเป็นสินสอด ส่วนฝ่ายเจ้าบ่าวต้องจัดเตรียมซื้อบ้านและที่ดินเอาไว้ เมื่อกำหนดวันแต่งงานเรียบร้อยแล้ว ญาติจากฝ่ายหญิงจะต้องมาตรวจดูเรือนของฝ่ายชาย จากนั้นก็ซื้อชุดเครื่องเรือนทั้งชุดตามขนาดของเรือนนั้น
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นข้าไปช่วยอีกแรงนะเจ้าคะ”
“เจ้าไปหลบอยู่ที่เรือนหานปี้ซานดีกว่า” โจวชูจิ่นเอ่ยกล่าวอย่างมีนัยซ่อนเร้น “ผู้ที่สะใภ้ใหญ่สือหมายจะเชิญคือเจ้า หากว่าเจ้าแสดงท่าทีคลุมเครือไม่ชัดเจน นางจะต้องมารบเร้าเจ้าเป็นครั้งที่สองอีกเป็นแน่”
ไม่ผิด ถ้าหากนางไปช่วยงานท่านป้าใหญ่ สะใภ้ใหญ่สือจะคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่หากนางหลบอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน ท่าทีที่แสดงออกมาก็กระจ่างชัดมากยิ่งขึ้น
โจวเสาจิ่นนัยน์ตาทอประกาย พลางเอ่ยขึ้นว่า “ไม่รู้ท่านยายจะว่าอย่างไรบ้าง”
โจวชูจิ่นย้ำเตือนนางว่า “หากว่าท่านยายกลัวว่าจะเป็นการล่วงเกินจวนรองล่ะก็ หลังจากได้ยินคำพูดของเจ้าแล้วคงไม่ไปตรวจสอบเรื่องที่นาหรอก!”
โจวเสาจิ่นถึงได้รู้สึกวางใจลงได้
กระทั่งถึงวันที่สะใภ้ใหญ่สือจัดงานอ่านบทกลอน นางรับประทานมื้อเช้าเสร็จแล้วก็ไปหาเฉิงฉือที่เรือนหลีอินเพื่อเล่นหมาก
เฉิงฉือวางหนังสือที่อ่านไปได้ครึ่งเล่มลง แล้วเอ่ยถามนางว่า “จะเล่นหมากล้อมห้าเม็ด หรือหมากล้อมเรียงสามตัว[1]”
แก้มของโจวเสาจิ่นขึ้นสีแดงเรื่อ ตอบเสียงเบาว่า “เล่นหมากล้อมห้าเม็ดได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ย่อมได้!” เฉิงฉือเอ่ยตอบทันควัน แล้วบอกให้ชิงเฟิงไปหยิบกระดานหมากล้อมมาวางเอาไว้ที่ระเบียงของเรือนหลีอิน จากนั้นก็กล่าวว่า “ข้าจะต่อให้เจ้าสองเม็ด”
หมากล้อมห้าตัวคือการเรียงหมากให้ครบห้าตัวติดกัน ต่อให้สองเม็ด…
โจวเสาจิ่นรู้สึกลิงโลดและอยากจะลองฝีมือดูสักครั้ง จึงตอบรับด้วยความยินดี
เฉิงฉือยกยิ้มกล่าวว่า “เจ้าจะไม่เกรงใจสักหน่อยเลยหรือ”
โจวเสาจิ่นยิ้มร่า “ท่านน้าฉือเป็นผู้ใหญ่ ต่อหน้าผู้ใหญ่ ข้ามีอะไรให้ต้องเกรงใจด้วยหรือเจ้าคะ!”
พวกเขาเล่นหมากล้อมกันเช่นนี้ เฉิงฉือย่อมต้องอ่านเชิงของทั้งสองฝ่ายออกเป็นแน่
เฉิงฉือยกยิ้มบางเบา
กระดานแรก เดินหมากถึงตาที่สิบ เฉิงฉือก็ชนะแล้ว
โจวเสาจิ่นยิ้มแหยอย่างเขินอาย
กระดานที่สอง นางเดินหมากอย่างระมัดระวัง พอเดินหมากถึงตาที่สิบเจ็ด เฉิงฉือก็ชนะ
กระดานที่สาม นางเดินหมากอย่างตั้งใจยิ่งขึ้น
ครั้นเดินหมากถึงตาที่สิบสอง ชิงเฟิงก็เดินเข้ามา กระซิบข้างหูของเฉิงฉือสองสามประโยค
เฉิงฉือพยักหน้า แล้วเล่นหมากกับโจวเสาจิ่นต่อ
โจวเสาจิ่นสงสัยว่าคนของสะใภ้ใหญ่สือคงจะมาตามตัวนาง แต่ในเมื่อนางมาที่นี่เพื่อหลีกเลี่ยงแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเฉิงฉือไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เพราะต่อให้เอ่ยออกมาแต่ท่าทีไม่ชัดเจน นางก็จะแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจและไม่ออกไปโดยเด็ดขาด
นางเดินหมากกับเฉิงฉือต่อ
ครั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวทราบข่าว ก็คลี่ยิ้มพลางเอ่ยถามว่า “ทั้งสองคนเล่นหมากกันที่ระเบียงหรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” ปี้อวี้ตอบยิ้มๆ “เห็นบอกว่าคุณหนูรองแพ้ตลอดเลยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า พลางกล่าวว่า “เห็นได้ชัดว่าฝีมือเดินหมากของคุณหนูรองไม่เลวเลยทีเดียว ไม่เช่นนั้นชายสี่ก็ไม่เล่นหมากกับนางไม่หยุดเช่นนี้หรอก” แล้วกล่าวอีกว่า “ระเบียงของเรือนหลีอินตั้งอยู่ทางเหนือแต่หันไปทางใต้ ฝั่งตะวันตกยังมีทางเดินแคบๆ ช่วงฤดูร้อนจึงเป็นบริเวณที่เย็นสบายที่สุด ถือเป็นจุดที่นั่งเล่นหมากที่ดีแห่งหนึ่ง” จากนั้นก็บอกปี้อวี้ว่า “เจ้านำเงินยี่สิบเหลี่ยงไปให้ห้องครัว บอกให้พวกเขาเตรียมของกินเล่นมาให้นายท่านสี่กับเสาจิ่นที”
ปี้อวี้รับคำเสียงใส จากนั้นไปขอเงินจากเฝ่ยชุ่ยแล้วไปที่ห้องครัว
ทางด้านห้องครัวไหนเลยจะกล้ารับเงิน ต้องให้ปี้อวี้คะยั้นคะยออยู่นาน ถึงจะยอมรับเงินนั้นไปแต่โดยดี แล้วเลือกทำของกินเล่นที่พิเศษที่สุดยกไปให้สองสามอย่าง ยังมีสาวใช้เด็กที่ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ยกผลไม้และแตงหวานมาขึ้นโต๊ะให้ด้วย
เฉิงฉือรับประทานของกินเล่นอย่างสบายใจ
ส่วนโจวเสาจิ่นที่ง่วนอยู่กับการเดินหมาก ก็ยื่นมือหยิบลูกหลีจื่อ[2] ลูกหนึ่งแล้วค่อยๆ แทะกิน
ทั้งสองคนเดินหมากกันนานถึงสิบกระดาน
โจวเสาจิ่นเอาชนะได้หนึ่งกระดาน
นางก็ยิ้มตาหยีขึ้นมาทันที ลูบหมากด้วยใจฮึกเหิม พลางกล่าวว่า “พวกเราเล่นอีกสักกระดานเถิดนะเจ้าคะ”
ทว่าเฉิงฉือกลับเอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน แล้วกล่าวว่า “เวลานี้สายแล้ว เจ้าไม่ต้องกลับไปรับประทานมื้อเที่ยงหรือ”
โจวเสาจิ่นแค่นยิ้มอย่างขุ่นเคือง ยืนขึ้นมาพลางกล่าวว่า “ข้ามีธุระต้องไปหาจี๋อิ๋งเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือเลิกคิ้วขึ้นด้วยท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
โจวเสาจิ่นดวงหน้าร้อนผ่าว ไม่กล้าชำเลืองมองเฉิงฉืออีก รีบรุดไปด้านหลังของห้องข้างอย่างฉับไว
จี๋อิ๋งกำลังอาบน้ำอยู่ พอได้ยินว่านางมาหา ก็ให้สาวใช้เด็กเชิญนางมานั่งดื่มน้ำชารอในห้อง
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามอย่างฉงนว่า “กลางวันแสกๆ เช่นนี้ ซ้ำยังไม่ใช่ช่วงที่ร้อนที่สุดของปี เจ้าอาบน้ำทำไมหรือ”
สาวใช้เด็กก็ไม่ทราบเหมือนกัน
ขณะที่ถามอยู่นั้น จี๋อิ๋งก็เดินเข้ามาด้วยผมเปียกหมาดๆ ปรกอยู่บนไหล่พลางตอบอย่างคลุมเครือว่า “ตอนเช้าข้าไปขยับเนื้อขยับตัวมา ทำให้เหงื่อชุ่มไปทั้งตัว” จากนั้นก็กล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าเล่นหมากกับนายท่านสี่อยู่หรือ ไฉนถึงวิ่งมาหาข้าที่นี่ได้”
โจวเสาจิ่นเล่าเรื่องที่สะใภ้ใหญ่สือเชิญนางไปร่วมงานอ่านบทกลอนให้จี๋อิ๋งฟัง
จี๋อิ๋งหัวเราะร่วน แล้วตบไหล่ของนางพลางกล่าวว่า “วางใจเถอะๆ ขอเพียงเจ้าอยู่ที่นี่ ไม่ว่าใครก็อย่าคิดว่าจะพาเจ้าออกไปได้”
โจวเสาจิ่นรีบกล่าวขอบคุณนาง
จี๋อิ๋งเอ่ยถามนางว่า “เจ้าชอบรับประทานอะไร ข้าจะให้ครัวทำมาให้ รับประทานมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว เจ้าก็นอนกับข้าที่นี่สักงีบ ตอนบ่ายค่อยไปคัดพระธรรมก็แล้วกัน”
โจวเสาจิ่นพยักหน้ารัว แล้วบอกชุนหว่านว่า “เจ้าไปสืบดูว่าทางด้านสะใภ้ใหญ่สือเป็นอย่างไรบ้าง”
ชุนหว่านหมุนกายเดินออกจากห้องข้างไป
หนานผิงได้ยินว่านางมาหาจี๋อิ๋ง ก็เข้ามาทักทาย พอได้ยินว่าจี๋อิ๋งรั้งให้โจวเสาจิ่นอยู่รับประทานอาหารด้วย และโจวเสาจิ่นก็ตอบตกลงแล้ว นางจึงยิ้มพลางบอกให้ห้องครัวทำกับข้าวเพิ่มอีกสองสามอย่าง แล้วปล่อยให้โจวเสาจิ่นกับจี๋อิ๋งอยู่ด้วยกันตามลำพัง
ทั้งสองคนเพิ่งจะนั่งลงที่โต๊ะได้ครู่หนึ่ง ชุนหว่านก็กลับมา นางรายงานว่า “สะใภ้ใหญ่สือเพิ่งจะเปิดงานไปเมื่อครู่เจ้าค่ะ แขกที่มาร่วมงานล้วนเป็นคุณหนูของแต่ละตระกูล ตอนเช้าได้ส่งคนตามหาท่านไปทั่วรอบหนึ่ง พอได้ยินว่าท่านเล่นหมากเป็นเพื่อนนายท่านสี่อยู่ จึงไม่ตามหาท่านอีก แต่ได้ฝากคำเอาไว้กับสาวใช้ที่เรือนหว่านเซียงว่า หากท่านกลับมาแล้วไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไปร่วมงานสักหน่อย มีคุณหนูหลายท่านที่ต้องการแนะนำให้ท่านรู้จักเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำใด
อันที่จริงนี่ก็เป็นผลลัพธ์ที่นางคาดหวังเอาไว้ แต่เพราะเหตุใดไม่ทราบ พอนางได้ยินชุนหว่านรายงานเช่นนี้แล้ว ถึงได้รู้สึกสลับซับซ้อนยิ่งนัก
นางกระหวัดนึกถึงท่าทีที่ไม่แยแสหลายส่วนของเฉิงฉือขณะที่เดินหมากกับนาง
ท่านน้าฉือ จะต้องทราบวัตถุประสงค์ที่นางไปเล่นหมากกับเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้วเป็นแน่
ดังนั้นจึงตอบตกลงทันที
จากนั้นก็เสมือนกับว่าอยู่เล่นเป็นเพื่อนเด็กแก่นแก้วคนหนึ่งก็ไม่ปาน นอกจากจะใจกว้างไม่แฉนางแล้ว ยังอดรนทนเล่นหมากเป็นเพื่อนนาง แอบช่วยนางอยู่เงียบๆ
เฉกเช่นที่จัดการเรื่องของจี๋อิ๋ง
เพราะรู้ดีว่าเจียวจื่อหยางไม่ใช่บุรุษที่จี๋อิ๋งสมควรฝากฝังทั้งชีวิตไว้ด้วย ดังนั้นตอนที่ตระกูลจี้สลับตัวตัวประกันที่จะส่งมาให้เขา เขาจึงไม่กล่าวแย้งแต่อย่างใด กระทั่งตอนที่เจียวจื่อหยางเข้าใจผิดคิดว่าจี๋อิ๋งเป็นสาวใช้อุ่นเตียงของเขา เขาก็ไม่แก้ต่างให้แม้ประโยคเดียว ปล่อยให้จี๋อิ๋งเข้าใจเขาผิดเรื่อยมา จนจี๋อิ๋งไปก่อเรื่องแล้วกลับมาอยู่กับตระกูลเฉิง เขาก็ยังคงเงียบเฉยอยู่ต่อไป รับจี๋อิ๋งเอาไว้โดยไม่เอ่ยถามอะไร คนของตระกูลจี้จึงใช้เขาเป็นโล่บังศร หนำซ้ำยังมีจวนรอง ที่วางแผนทำลายชื่อเสียงของเขาเช่นนี้ เขาก็เพียงยิ้มมุมปากแต่ไม่เอ่ยคำใด
หรือว่าด้วยเหตุนี้ ชาติก่อนท่านน้าฉือถึงได้ออกจากซอยจิ่วหรูไปใช่หรือไม่
เรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจกล่าวออกมาได้ ขืนกล่าวออกมาก็จะเกิดรอยร้าวระหว่างพี่น้อง เรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจกระทำได้ ขืนกระทำลงไปก็ถูกตราหน้าว่าไม่สัตย์ซื่อและอกตัญญู…แม้เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีความสุขเลย แต่ด้วยเห็นแก่ฮูหยินผู้เฒ่ากัว เขาจึงยอมเสียเวลาทั้งเช้ามานั่งเล่นหมากล้อมห้าตัวกับนางอยู่ที่นั่น เพื่อสื่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าทราบว่า เขาใช้ชีวิตอยู่ในเรือนหานปี้ซานอย่างสุขสำราญและเบิกบานยิ่ง
เขาต้องเก็บกดมากเป็นแน่
เหมือนดังตนเองในชาติก่อน เพียงปรารถนาจะรีบแต่งงานออกไป เพราะถ้าแต่งงานแล้วก็จะได้ออกจากที่นี่โดยชอบธรรม และได้ใช้ชีวิตใหม่อย่างสิ้นเชิง
โจวเสาจิ่นรู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจ ความยินดีที่ปฏิเสธสะใภ้สือได้ก็พลันมลายหายไป
ทว่าโจวชูจิ่นกลับตื่นเต้นดีใจ กล่าวว่า “ค่าสินสอดของพี่สะใภ้ใหญ่ประมาณแปดพันเหลี่ยง ข้านึกว่าด้วยความที่นางเป็นบุตรสาวคนโต ยังมีน้องชายอยู่หลังนางอีก อย่างไรฮูหยินเหอก็ต้องมัธยัสถ์บ้างสักหน่อย ไม่คาดคิดว่าจะใจป้ำทุ่มเงินมากขนาดนี้ เห็นได้ว่าพึงพอใจพี่ชายเก้าผู้เป็นบุตรเขยคนนี้ยิ่งนัก…”
นางกล่าวอยู่พักใหญ่แต่ไม่มีใครเอ่ยตอบนางเลยสักคำ ครั้นหันศีรษะไปจึงพบว่าโจวเสาจิ่นกำลังนั่งเอามือเท้าคางอย่างเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น
โจวชูจิ่นยิ้มพลางตบศีรษะนางเบาๆ กล่าวขึ้นว่า “คิดอะไรอยู่หรือ เสียใจที่ไม่ได้ไปกินอาหารอันโอชะของเหลาสุราเจียงเป่ยกับเหลาสุราเหมยเหยียนหรืออย่างไร”
“จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะตอบแทนท่านน้าฉืออย่างไรดี…เขาช่วยเหลือข้าตั้งหลายครั้ง แต่ข้ากลับช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย…รู้สึกราวกับติดหนี้บุญคุณของเขาอยู่เสมอเลยเจ้าค่ะ…”
“บุญคุณเป็นสิ่งที่ตอบแทนได้ยากที่สุด” โจวชูจิ่นทอดถอนใจ เอ่ยปลอบนางว่า “ยังมีเวลาอีกนาน วันหลังถ้ามีโอกาสค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าอย่างจริงจัง
โจวชูจิ่นหยิบยกเรื่องของฉือเซียงกับซือเซียงขึ้นมากล่าว “…ทั้งสองคนต่างเป็นบุตรสาวของบ่าวไพร่ในตระกูล ข้าถามความตั้งใจของฉือเซียงไว้นานแล้ว นางปรารถนาจะติดตามข้าไปอยู่ที่ตระกูลเลี่ยวด้วย ทว่าซือเซียงแก่กว่าเจ้าหลายปี ข้าอยากถามเจ้าว่า เจ้ามีแผนการสำหรับซือเซียงแล้วหรือยัง หากว่ายังไม่มี ข้าอยากจะส่งจดหมายแจ้งพ่อกับแม่ของนาง ให้พวกเขาเข้ามาหาสักครั้ง เพื่อตัดสินใจเรื่องการแต่งงานของซือเซียง”
โจวเสาจิ่นตอบว่า “เช่นนั้นก็เรียกพ่อกับแม่ของนางเถิดเจ้าค่ะ! เรื่องนี้เกรงว่ายังต้องอาศัยพ่อกับแม่ของนางช่วยจัดการสักหน่อยแล้วเจ้าค่ะ”
ชาติที่แล้ว ซือเซียงแต่งงานกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่อาศัยอยู่กับบิดามารดาของนางที่บ้านสวน คลับคล้ายคลับคลาว่าจะแซ่ซือเหมือนกัน มีชีวิตแต่งงานที่ไม่เลวเลยทีเดียว
ชีวิตนี้ จะให้ดีที่สุดก็คือเรื่องใดที่ดีอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนแปลงมัน
โจวชูจิ่นจึงสั่งการออกไป ให้คนส่งจดหมายไปเชิญพ่อกับแม่ของซือเซียงมา
ต่อมาซือเซียงก็ได้รับจดหมาย นางตื้นตันใจจนน้ำตารื้นขอบตา
สิ่งที่นางกังวลที่สุดก็คือถูกโจวเสาจิ่นเลือกสามีให้คนหนึ่งอย่างส่งๆ ตอนนี้ได้บิดามารดาของนางเป็นผู้เลือกสามีให้นาง ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีทางจะได้แต่งกับชายพิการที่แขนด้วนขาขาดคนหนึ่งเป็นแน่
เมื่อเป็นเช่นนี้ โจวเสาจิ่นจึงขาดสาวใช้อยู่ข้างกายไปคนหนึ่ง
ชุนหว่านเป็นสาวใช้ที่รู้การรู้งานมาโดยตลอด หลังจากที่ปล่อยตัวซือเซียงออกไปแล้ว โจวชูจิ่นเตรียมจะเลื่อนตำแหน่งชุนหว่านมาเป็นสาวใช้ใหญ่ในห้องของโจวเสาจิ่น นับแต่นี้ไปก็จะต้องเลือกสาวใช้อีกคนหนึ่งจากบรรดาสาวใช้ในเรือนมาแทนที่ชุนหว่าน
โจวเสาจิ่นเลือกสาวใช้นามว่าปี้เถาผู้นั้นในทันที
ชาติก่อนหลังจากที่ซือเซียงออกเรือนไปแล้วพี่สาวก็เลือกปี้เถามารับใช้นาง ภายหลังที่นางเกิดเรื่องขึ้น ชุนหว่านกับปี้เถาต่างทุ่มเทแรงการแรงใจรับใช้นางอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง หากไม่มีสาวใช้สองคนนี้คอยช่วยเหลือดูแลนางในทุกๆ ด้านละก็ เกรงว่าแม้แต่น้ำสักหยดนางก็คงจะไม่ได้ดื่มเสียแล้ว
นี่คือความตั้งใจของโจวเสาจิ่น โจวชูจิ่นเองก็ไม่ยื่นมือเข้าไปแทรกแซง จึงเลือกปี้เถามารับใช้อยู่ในห้องของโจวเสาจิ่นทันที และให้ชุนหว่านคอยประกบสอนงานให้นาง
เมื่อเห็นคุณหนูทั้งสองท่านต่างมีจิตใจโอบอ้อมอารีต่อบรรดาบ่าวรับใช้ บ่าวไพร่ในเรือนหว่านเซียงต่างก็รู้สึกว่าตนพอจะเห็นอนาคตที่สดใสอยู่บ้าง ทุกคนจึงปรนนิบัติรับใช้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เห็นได้ชัดว่ามีชีวิตชีวากว่าบ่าวไพร่ในเรือนอื่นๆ
………………………………………………………………….
[1] หมากล้อมเรียงสามตัว (成三棋) หรือ หมากล้อมเก้าเม็ด (九子棋) เป็นหมากล้อมประเภทหนึ่ง กระดานหมากเรียงสามตัวจะมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากกระดานหมากล้อมทั่วไป เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสสามผืนซ้อนกันตามขนาดเล็กไปใหญ่ บนเส้นสี่เหลี่ยมจัตุรัสแต่ละผืนแต้มจุดเอาไว้แปดจุดตามทิศทั้งแปดทิศ รวมทั้งหมดยี่สิบสี่จุด จุดที่แต้มบนเส้นสี่เหลี่ยมทั้งสามผืนด้านทิศเหนือใต้ออกตกจะขีดเส้นเชื่อมจุดเอาไว้ด้วย ทำให้มีเส้นเชื่อมสามจุดบนกระดานทั้งหมดสามสิบสองเส้น แต่ละเส้นมีจุดสามจุดบนเส้น ผู้เล่นจะมีหมากคนละเก้าเม็ด โดยสลับกันลงหมากบนจุดบนกระดาน หากฝ่ายใดเรียงหมากครบสามจุดบนเส้นแล้ว จะเลือกกินหมากตัวใดก็ได้ของฝ่ายตรงกันข้ามตัวหนึ่ง เรียงหมากเช่นนี้ไปจนครบเก้าตัว จากนั้นก็เลื่อนหมากตามเส้นที่เชื่อมจุดเอาไว้ให้ครบสามตัวบนเส้นนั้นๆ แล้วกินหมากของฝ่ายตรงข้ามไปเรื่อยๆ จนฝ่ายตรงข้ามไม่เหลือตัวหมากมาเรียงให้ครบสามตัวบนเส้นได้แล้ว ก็นับว่าชนะ
[2] ลูกหลีจื่อ หรือ ลูกพลัม