ภายในเรือนเจียซู่ ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกำลังสนทนาอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่ากวน “…ตอนที่นายท่านเดินออกมานั้นสวนทางกับนายท่านใหญ่เวิ่นของจวนห้าพอดี นายท่านใหญ่เวิ่นหัวเราะร่า ถามเขาว่าไปทำอะไร เขามองซ้ายมองขวา แต่ก็ไม่กล่าวอะไร นายท่านคาดเดาว่า เขาน่าจะไปคุยเรื่องหุ้นส่วนเช่นเดียวกัน กลับเป็นจวนสามที่ยังคงเงียบกริบ ไม่ได้ไปหาจวนหลัก และก็ไม่ไปติดต่อจวนรองด้วยเช่นเดียวกัน ทำเสมือนกับว่าไม่ทราบเรื่องนี้อย่างไรอย่างนั้น นายท่านให้คนจับตาดูเอาไว้แล้ว หากทางนั้นมีข่าวคราวอะไรพวกเราก็จะได้ทราบได้ในทันทีเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าว “กลัวแต่ว่าครั้งนี้จวนสามจะตัดสินใจยืนอยู่ข้างเดียวกับจวนรอง”
ที่ผ่านมาบทบาทของจวนสี่กับจวนห้าเสื่อมคลายลงมาโดยตลอด หากจวนสามร่วมมือกับจวนรองแล้ว จวนหลักคิดจะทำอะไรตามอำเภอใจ เกรงว่าคงจะไม่ง่ายเพียงนั้นอีกแล้ว
ภายในห้องจมอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าว “ไม่ว่าอย่างไร การเป็นคนต้องตั้งมั่นอยู่บนฐานของความจริงใจ พวกเราไม่อาจอกตัญญูคุณคนได้”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนพยักหน้า
มีสาวใช้เด็กเลิกผ้าม่านขึ้นกล่าวรายงานว่าโจวเสาจิ่นกลับมาแล้ว
ทั้งสองคนต่างก็จบหัวข้อสนทนาลงอย่างพร้อมเพียงกัน ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ่งแล้วใหญ่ หันไปส่งสายตาให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนครั้งหนึ่ง พร้อมกับกระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “พวกเด็กๆ ยังเด็กกันนัก ให้รู้สถานการณ์เพียงคร่าวๆ ก็พอ ไม่จำเป็นต้องบอกละเอียดมากนัก ระวังจะทำให้พวกนางตกอกตกใจเอาได้”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนพยักหน้าหงึก ต้อนรับโจวเสาจิ่นเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าบรรยากาศภายในห้องแปลกเล็กน้อย คาดเดาว่าเมื่อครู่ท่านยายกับท่านป้าใหญ่คงคุยอะไรบางอย่างที่ค่อนข้างตึงเครียดกันอยู่ กำลังลังเลว่าจะเล่าเรื่องไปเขาผู่ถัวให้ท่านยายฟังดีหรือไม่ เพราะอย่างไรพรุ่งนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็จะมาเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่ากวน ต่อให้นางไม่พูด ฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็ต้องทราบอยู่ดี แต่ใครจะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับกล่าวยิ้มๆ ขึ้นมาก่อนว่า “เจ้าเข้ามาอย่างรีบร้อนเช่นนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ”
ชั่วขณะนั้นบรรยากาศที่เคร่งเครียดก็ถูกทำให้เจือจางลง
โจวเสาจิ่นอดทนเก็บงำความยินดีเอาไว้ในใจไม่ได้อีกต่อไป ยิ้มพลางเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนฟัง
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนต่างก็ดีใจไปกับนาง ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนถึงกับดึงมือของนางเอาไว้พลางมองสำรวจนาง กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นต้องเร่งตัดชุดใหม่สักสองสามชุดถึงจะถูก ยังมีคนที่ติดตามไปรับใช้อีก ไม่เพียงต้องเลือกคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่และซื่อสัตย์เท่านั้น ยังต้องเลือกคนที่เข้ากับผู้อื่นได้ง่ายอีกด้วย ไปเขาผู่ถัวต้องผ่านเมืองหังโจว จากนั้นจากเมืองหังโจวไปถึงเมืองโจวซาน แล้วค่อยจากเมืองโจวซานไปขึ้นเกาะ ไปครั้งหนึ่งต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือน จึงไม่อาจประมาทได้”
“เสาจิ่นร่วมทางไปกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว เรื่องต่างๆ ระหว่างทางย่อมมีผู้อาวุโสคอยดูแล” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวตัดบทคำพูดของบุตรสะใภ้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าเพียงช่วยนางจัดเตรียมพวกเงินเอาไว้สำหรับมอบเป็นสินน้ำใจ เลือกบ่าวรับใช้ติดตามไปด้วยสักสองสามคน แล้วก็เรียกคนเข้ามาตัดชุดใหม่ให้นางสักสองสามชุดก็พอ อย่ากล่าวเจ้ากี้เจ้าการไม่สิ้นสุดเลย”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกับโจวเสาจิ่นต่างก็หัวเราะออกมา
โจวเสาจิ่นถือโอกาสนี้ถามว่าพาพี่สาวไปด้วยได้หรือไม่
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวปฏิเสธข้อเสนอของโจวเสาจิ่นอย่างราบเรียบว่า “เจ้าช่วยคัดพระธรรมให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว ได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ากัว ได้ติดตามฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปจุดธูปไหว้พระที่เขาผู่ถัว นั่นก็เป็นวาสนาของเจ้า พวกเราไม่อาจทำตัวได้คืบจะเอาศอก เอ่ยขอไปจุดธูปไหว้พระที่เขาผู่ถัวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยได้”
โจวเสาจิ่นผิดหวังยิ่งนัก แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธเหตุผลของท่านยายได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนปลอบโยนนางว่า “เจ้าก็อย่าได้เสียน้ำตาไปเลย ข้ารู้ว่าเจ้ามีเจตนาดี รอให้พี่ชายเก้ากับพี่ชายอี้ของเจ้าต่างแต่งงานกันหมดแล้ว ข้าก็จะได้พักผ่อนได้อย่างหมดห่วง ถึงเวลานั้นข้ากับป้าใหญ่ของเจ้าจะไปจุดธูปไหว้พระที่เขาผู่ถัว แล้วทิ้งให้เจ้าอยู่ดูแลบ้าน”
โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจนัยแฝงที่อยู่ในประโยคนี้ จึงหัวเราะร่าพร้อมกับกล่าวรับปากไม่หยุดว่า “เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจึงเร่งให้นางรีบคัดพระธรรมให้เสร็จ “ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว เมื่อใดที่เจ้าคัดพระธรรมเสร็จ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็จะออกเดินทางเมื่อนั้น หากเจ้าคัดไม่เสร็จ พวกนางก็ได้แต่ต้องรอเจ้าแล้ว”
ภาระความรับผิดชอบนี้ ออกจะหนักหนาอยู่บ้าง!
ชั่วขณะหนึ่งที่โจวเสาจิ่นรู้สึกราวกับว่าตนแบกภูเขาเอาไว้บนหลังลูกหนึ่งก็ไม่ปาน นางไม่กล้าคุยกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนให้มากความ นางกลับไปที่ห้องพระอีกครั้ง แล้วตั้งอกตั้งใจคัดพระธรรม
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้ว ตอนที่โจวเสาจิ่นมากล่าวอำลานาง นางมองโจวเสาจิ่นพร้อมกับหัวเราะไม่หยุด กล่าวขึ้นว่า “เด็กโง่ เจ้าเห็นใครเร่งออกเดินทางในช่วงที่อากาศร้อนอย่างช่วงซานฝู[1]นี้บ้าง เจ้าค่อยๆ คัดไปเถิด กว่าพวกเราจะออกเดินทาง ก็เกือบจะถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว”
แต่โจวเสาจิ่นก็ยังคงรู้สึกระอายใจ
หากไม่ใช่เพราะนางลดความเร็วในการคัดพระธรรมลง จะคัดไม่เสร็จจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร
นางรีบกล่าว “ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะตั้งใจคัดให้ดีอย่างแน่นอน นี่เป็นสิ่งที่ทำถวายแด่องค์พระโพธิสัตว์ เป็นความตั้งใจอันดีของพวกเรา”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ให้ผลหม่อนเป็นรางวัลแก่นางหนึ่งตะกร้า
โจวเสาจิ่นนำกลับไปให้คนที่เรือนเจียซู่ได้ลองกินกัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนให้คนนำไปมอบให้เฉิงเก้าหนึ่งจาน มอบให้เรือนหานชิวหนึ่งจาน เก็บเอาไว้ให้ตัวเองหนึ่งจาน ที่เหลือทั้งหมดให้โจวเสาจิ่นนำกลับไปที่เรือนหว่านเซียง
โจวเสาจิ่นจึงส่งไปมอบให้เฉิงเจียกับจี๋อิ๋งคนละหนึ่งจาน
เมื่อถึงยามกลางคืน นางกินผลหม่อนที่นำไปแช่ในน้ำบ่อให้เย็นแล้วไปด้วย นั่งรับลมเย็นอยู่ในสวนกับพี่สาวไปด้วย
นางกล่าวกับพี่สาวอย่างรู้สึกขอลุแก่โทษว่า “เดิมทีอยากจะให้ท่านไปด้วย ปรากฏว่าท่านยายบอกว่าไม่เหมาะสม วันข้างหน้าพวกเราสองพี่น้องค่อยไปจุดธูปไหว้พระที่เขาผู่ถัวด้วยกันสองคนก็แล้วกันนะเจ้าคะ”
โจวชูจิ่นได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนแล้ว นางกล่าวอย่างเคืองๆ ว่า “ย่อมไม่เหมาะสมอยู่แล้ว เจ้าไม่ควรแม้แต่จะเอ่ยขึ้นมาด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ความคิดนี้ของเจ้าดียิ่ง วันข้างหน้าพวกเราสองพี่น้องค่อยไปจุดธูปไหว้พระด้วยกันที่เขาผู่ถัว ครั้งนี้ก็ถือเสียว่าเจ้าล่วงหน้าไปดูที่ทางก่อน ครั้งต่อไปตอนที่พวกเราไปจะได้ไม่ต้องกลายเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลย”
โจวเสาจิ่นหัวเราะอย่างขัดเขิน ถามพี่สาวว่า “ท่านอยากให้ข้าเอาอะไรกลับมาฝากหรือไม่เจ้าคะ”
นางไม่เคยไปผู่ถัวมาก่อน จึงไม่รู้ว่ามีของพิเศษอะไรบ้าง
โจวชูจิ่นเองก็ไม่รู้เหมือนกัน นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าอย่าลืมเอาของมาฝากท่านยายกับท่านป้าใหญ่บ้างก็พอ ส่วนของข้านั้นไม่ต้องก็ได้ การออกเดินทางไกลครั้งหนึ่งนั้นไม่ง่าย เจ้ายังต้องมาพะวงเรื่องนำของกลับมาฝากข้าอีก ระหว่างพวกเราพี่น้องไม่จำเป็นต้องมากล่าวเรื่องพิธีรีตองเหล่านี้หรอก”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นข้าจะทำตามที่ข้าเห็นสมควรก็แล้วกันเจ้าค่ะ!”
โจวชูจิ่นจึงเอ่ยถึงจดหมายที่โจวเจิ้นผู้เป็นบิดาตอบกลับมากับโจวเสาจิ่น “…เพิ่งได้รับมาเมื่อช่วงบ่าย ท่านพ่อกล่าวว่าเขาจะระวังเรื่องนี้เอาไว้ ส่วนเรื่องที่ว่าต้องให้ความช่วยเหลือหรือไม่ แล้วต้องช่วยเหลืออย่างไรนั้น ท่านจะเขียนจดหมายไปคุยกับท่านลุงใหญ่เหมี่ยนเอง ถ้าหากพวกเรารู้เรื่องอะไร ต้องอย่าลืมเขียนจดหมายไปบอกท่าน ท่านพ่อกลัวว่าท่านลุงใหญ่เหมี่ยนจะเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้แล้วไม่ยอมบอกอะไรท่าน จนทำให้ไม่ทันการเอาได้”
จวนสี่มีบุญคุณอันใหญ่หลวงต่อพวกนาง เป็นดั่งญาติสนิทที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน ตระกูลโจวจึงไม่อาจนั่งมองเฉยๆ อย่างนิ่งดูดายได้
โจวเสาจิ่นนึกถึงถ้อยคำของฮูหยินผู้เฒ่ากวนในตอนต้นได้ จึงกล่าวขึ้นว่า “ท่านบอกเรื่องนี้กับท่านยายหรือยังเจ้าคะ ข้าเห็นท่าทางของท่านยายแล้ว ดูเหมือนจะคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านพ่อจะช่วยเหลือจวนสี่สักครั้งหนึ่ง!”
โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ตั้งใจเอาไว้ว่าจะบอกท่านยายในวันพรุ่งนี้ตอนที่ไปคารวะยามเช้า เมื่อครู่พวกเจ้ากำลังคุยเรื่องไปเขาผู่ถัวกันอย่างออกรส ไม่เหมาะที่ข้าจะไปขัดจังหวะ”
โจวเสาจิ่นหัวเราะอย่างขอลุแก่โทษ แล้วเอ่ยถึงเรื่องไปเขาผู่ถัวกับพี่สาวขึ้นมาอีกครั้ง “ได้ยินมาว่าเขาผู่ถัวเป็น ‘อาณาจักรพุทธท่ามกลางท้องทะเล’ วัดที่อยู่บนเกาะทั้งหมดล้วนบูชาองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม สามเทศกาลใหญ่ที่ผู้คนมาแสวงบุญในทุกวันที่สิบเก้าของเดือนสอง เดือนหก และเดือนเก้าซึ่งเป็นวันคล้ายวันประสูติ วันคล้ายวันออกผนวช และวันคล้ายวันสำเร็จมรรคผลของพระโพธิสัตว์กวนอิมนั้น บนเกาะจะมากล้นไปด้วยมวลมหาชน ภายในบริเวณวัดอบอวลไปด้วยควันของธูป ผู้คนที่อยู่ด้านใน เปรียบประหนึ่งกับได้เดินเข้าไปสู่สรวงสวรรค์แห่งแดนสุขาวดี แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวว่า ไม่มีใครเร่งออกเดินทางในช่วงที่อากาศร้อนอย่างช่วงซานฝู จึงไม่รู้ว่าจะทันได้พบกับเทศกาลแสวงบุญในวันที่สิบเก้าเดือนเก้าหรือไม่…”
นางกล่าวเจื้อยแจ้วไม่หยุด หลายครั้งที่โจวชูจิ่นอยากจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแต่ก็ทำไม่สำเร็จ จึงไม่ขัดจังหวะนางอีก นั่งส่งเสียง “อืม” และ “อ่า” สองคำออกมาเป็นครั้งคราวอยู่ตรงนั้นกับนาง
ปรากฏว่าโจวเสาจิ่นคุยไปจนถึงดึกดื่นค่อนคืน วันรุ่งขึ้นทั้งสองพี่น้องล้วนตื่นสายกันทั้งสองคน
ใบหน้าของโจวเสาจิ่นแดงเถือก นึกถึงทางด้านห้องศึกษาจิ้งอันไม่ค่อยเข้มงวดนัก หากนางไปสายอย่างมากก็ถูกลงโทษให้คัดอักษรสักสองสามหน้า แต่พี่สาวนั้นต้องไปช่วยท่านป้าใหญ่ดูแลงานในบ้าน หากไปสายคงดูไม่ดีนัก ยังไม่ทันได้ล้างหน้าล้างตา ก็รีบไปช่วยพี่สาวเตรียมอาหารเช้าก่อน
ขณะที่พี่น้องทั้งสองคนกำลังวุ่นๆ กันอยู่นั้น ภรรยาของหม่าฟู่ซานก็มาขอพบ
ซือเซียงกำหนดจะออกจากจวนในวันที่สิบเดือนเก้า แต่แต่งงานในวันที่สี่เดือนสิบ โจวเสาจิ่นจึงมอบหมายให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานช่วยไปสั่งจองหีบไม้สองหีบและตู้สูงอีกหนึ่งหลังให้ซือเซียง จึงเข้าใจว่าภรรยาของหม่าฟู่ซานมาให้คำตอบนางเรื่องนี้ ไม่รอให้โจวชูจิ่นได้เอ่ยปาก นางก็สั่งการสาวใช้เด็กไปว่า “ให้นางรอครู่หนึ่ง พวกข้ากำลังยุ่งกันอยู่!”
สาวใช้เด็กยิ้มพลางถอยกลับออกไป แต่ไม่นานก็กลับเข้ามาใหม่อีกครั้ง กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง ภรรยาของหม่าฟู่ซานบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องการรายงานเจ้าค่ะ…”
ทั้งสองพี่น้องต่างตกตะลึง
จดหมายของโจวเจิ้นผู้พ่อเมื่อวานก็เป็นภรรยาของหม่าฟู่ซานที่นำมามอบให้ ตอนนั้นก็ไม่ได้บอกว่ามีเรื่องอะไร เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นเรื่องที่เร่งด่วนจริงๆ!
โจวชูจิ่นกล่าว “เช่นนั้นก็เชิญนางเข้ามา”
สาวใช้เด็กขานรับ เพียงพริบตาเดียวก็พาภรรยาของหม่าฟูซานเข้ามา
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง” สีหน้าของภรรยาของหม่าฟู่ซานไม่สู้ดีนัก ร้องออกมาเพียงเสียงหนึ่งแล้วก็ยืนอยู่ตรงนั้น
โจวเสาจิ่นเข้าใจความหมาย จึงไล่คนที่รับใช้อยู่ในห้องออกไปก่อน
ภรรยาของหม่าฟู่ซานเดินไปดูที่หน้าประตูครั้งหนึ่ง จากนั้นถึงได้เดินกลับมาที่โจวเสาจิ่นสองพี่น้องอย่างรวดเร็ว กล่าวขึ้นอย่างร้อนรนว่า “มีจดหมายมาจากทางการ แจ้งว่าหลานทิงกับซินหลานทั้งสองคนเสียชีวิตอย่างกะทันหันอยู่ในห้องขังเมื่อคืนเจ้าค่ะ…”
ทั้งสองพี่น้องตกใจยิ่งนัก สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นขาวซีดเล็กน้อย
โจวชูจิ่นรีบถามขึ้นว่า “สรุปเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
น้ำเสียงของภรรยาของหม่าฟู่ซานยิ่งเบาลงไปอีกหลายส่วน “ทุกคนต่างก็ไม่แน่ใจนัก ผู้คุมเข้าใจว่าเป็นพวกเราที่ติดสินบนคนในคุก คนในคุกก็เข้าใจว่าเป็นผู้คุมที่ลงมือสังหาร…เรื่องนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก ตอนนี้คนของทางการก็ยังไม่กล้าเข้าไปตรวจสอบอย่างจริงจัง ให้คนนำความมาแจ้งพวกเราที่เป็นเจ้าของเรื่องก่อน กล่าวว่าต้องเร่งตรวจสอบแล้ว จะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาโดยไม่จำเป็น”
โจวชูจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง ให้โจวเสาจิ่นไปหยิบตั๋วเงินมาให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานหนึ่งร้อยเหลี่ยง จากนั้นกล่าวกับภรรยาของหม่าฟู่ซานว่า “เจ้าไปบอกหม่าฟู่ซาน หาวิธีให้เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพตรวจสอบให้แน่ชัดว่าทั้งสองคนเสียชีวิตได้อย่างไร แล้วก็ถือโอกาสหาวิธีสืบให้ได้ว่าใครเป็นคนลงมือ…พวกนางสองคนถูกขังอยู่ในคุก คนที่ลงมือได้ย่อมมีไม่มาก หากระมัดระวังสักหน่อย ย่อมตรวจสอบจนพบเบาะแสอะไรได้บ้าง เงินจำนวนนี้พวกเจ้าจงเอาไปจ่ายสินบนผู้คุมเหล่านั้น หากไม่พอ ก็ให้มาบอกข้า”
ภรรยาของหม่าฟู่ซานถือเงินนั้นออกจากซอยจิ่วหรูไป
โจวชูจิ่นจิบชาไปคำหนึ่งอย่างไม่เป็นสุข
โจวเสาจิ่นนึกถึงเฉิงลู่ขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในปีนั้น พวกนางไม่ได้ปิดบังคนที่ตรอกฉุนอี้ แต่ตอนที่เฉิงลู่เข้ามากล่าวสวัสดีปีใหม่ที่จวนสี่นั้น กลับไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้เลยแม้สักประโยค
ถ้าเขาทราบเรื่องนี้แล้ว เขาจะทำอย่างไรบ้าง
หลังจากที่โจวเสาจิ่นส่งพี่สาวออกไปเรียบร้อยแล้ว ก็สั่งการชุนหว่านว่า “เจ้านำความไปแจ้งหม่าฟู่ซานที ให้เขาตรวจสอบจ้าวต้าไห่คนข้างกายของคุณชายใหญ่ลู่สักหน่อย ดูว่าช่วงนี้เขากำลังทำอะไรอยู่บ้าง”
หากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเฉิงลู่ คนที่ลงมือกระทำย่อมต้องเป็นจ้าวต้าไห่คนที่เฉิงลู่ไว้ใจผู้นั้นอย่างแน่นอน
ผ่านไปไม่กี่วัน หม่าฟู่ซานก็เข้ามาขอพบโจวเสาจิ่นสองพี่น้องด้วยตัวเอง
****************************************************
[1] ซานฝู (三伏天) สามสิบวันที่อากาศร้อนที่สุดของปี นับจากกลางเดือนกรกฏาคมไปจนถึงกลางเดือนสิงหาคม