ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 183 ชั่วคราว

เฉิงฉือคำนวณเสียดิบดี แต่เรื่องราวกลับไม่ได้เป็นไปตามอย่างที่เขาคิดเอาไว้

เริ่มแรกเป็นเฉิงเหมี่ยนที่มาหาเขา แสดงออกอย่างรู้สำนึกว่าเป็นเพราะได้รับความเอื้อเฟื้อจากจวนหลัก จึงไม่อาจขายหุ้นในส่วนของตัวเองออกไปในเวลานี้เพื่อทำกำไรได้ เช่นนั้นจะต่างอะไรกับพ่อค้าเก็งกำไร

จากนั้นเป็นเฉิงเวิ่นของจวนห้า ก็มาหาเขาเช่นกัน

ถ้อยคำของเฉิงเวิ่นนั้นตรงไปตรงมายิ่งนัก “…เริ่มแรกข้าไม่มีเงิน จึงใช้วัตถุโบราณในบ้านเป็นหลักประกัน เจ้าเองก็ได้ตอบตกลง ตอนนี้พวกเจ้ากับจวนรองมีปัญหากัน ข้าไม่อาจสะบัดมือปฏิเสธไปได้ เช่นนั้นข้าจะกลายเป็นคนเช่นไรไปแล้ว! อีกอย่าง ตอนนี้ทุกปีข้ามีรายได้เป็นเงินห้าพันเหลี่ยง ต่อให้จวนรองจะนำเงินหนึ่งแสนเหลี่ยงมาให้ข้า ก็เป็นเพียงรายได้ยี่สิบปีของข้า ซึ่งถ้าใช้หมดแล้วก็คือหมดเลย แต่หากข้าถือหุ้นจำนวนนี้เอาไว้ในมือ ล้วนได้รับเงินทุกๆ ปีไม่มีขาด จะไม่คุ้มค่ากว่าการขายขาดหรอกหรือ นอกจากนี้ จวนรองจะยอมนำเงินหนึ่งแสนเหลี่ยงมาซื้อหุ้นในส่วนที่อยู่ในมือของข้าหรือไม่นั้นก็ยังไม่แน่นอน ข้าคำนวณแล้วคิดว่าเป็นการขาดทุนเกินไป”

เฉิงฉือยกกาน้ำชาขึ้นมารินชาให้เฉิงเวิ่นใหม่อีกจอกหนึ่ง กล่าวว่า “ท่านมั่นใจว่าร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่จะคงอยู่ได้นานถึงยี่สิบปีขนาดนี้เชียวหรือ ถ้าหากผ่านไปสองปีแล้วร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ล้มละลายขึ้นมาเล่า ท่านจะไม่ขาดทุนหนักเลยหรือ”

“ไม่…ไม่น่าจะเป็นไปได้กระมัง!” เฉิงเวิ่นเบิกตาโพลงมองเฉิงฉือ พูดติดๆ ขัดๆ ขึ้นมา “ตอนนี้เจ้าเพิ่งจะอายุยี่สิบกว่าปีเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ก็คงจะอยู่อย่างรุ่งเรืองไปได้อีกยี่สิบปีกระมัง”

“ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่จะอยู่อย่างรุ่งเรืองไปอีกยี่สิบปีหรือไม่เกี่ยวอะไรกับอายุของข้าด้วยเล่า”

“ขอเพียงเจ้าไม่แก่ชราจนหลงๆ ลืมๆ ไปเสียก่อน ร้านตั๋วแลกเงินนี้ก็คงไม่ล้มละลายหรอกกระมัง” ดวงตาของเฉิงเวิ่นยิ่งเบิกกว้างยิ่งขึ้น พลางกล่าว “เจ้าอย่ามาหลอกข้าเลย ข้าได้ยินมาว่า คนของจวนรองไปหาคนมาร่วมทำการค้าด้วยทั่วทุกที่ พอคนได้ยินว่าเป็นตระกูลเฉิงจากซอยจิ่วหรูต่างก็วิ่งกรูกันเข้ามาอย่างกระตือรือร้น แต่เมื่อได้ยินว่าเป็นการทำการค้าของจวนรองเอง ทุกคนต่างก็บอกว่ามีธุระเร่งด่วน ต่างวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าเจ้าจะสงบสุขขนาดนี้ได้อยู่หรือ เจ้าคิดว่าร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่จะเจริญรุ่งเรืองขนาดนี้ได้หรือ ข้าอ่านได้อย่างทะลุปรุโปร่งดีแล้ว คนเหล่านั้นไม่ได้อยากจะทำการค้ากับตระกูลเฉิง แต่พวกเขาอยากจะทำการค้ากับเจ้ามากกว่า!” ขณะที่เขากล่าว ก็เผยความภาคภูมิใจออกมาให้เห็นเล็กน้อย “และเนื่องจากครั้งนี้ข้าเห็นชัดแล้ว ฉะนั้นขอเพียงเจ้าเป็นคนดูแลกิจการของตระกูลเฉิง ข้าก็จะอาศัยอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่แห่งนี้ หากวันใดที่เจ้าไม่ทำต่อไปแล้ว…เอ่อ ข้าก็จะตามเจ้าไป ไม่ว่าเจ้าจะทำการค้าอะไรข้าก็จะร่วมหุ้นด้วยทั้งนั้น!”

เฉิงฉือยิ้มทว่าไม่กล่าวสิ่งใด

เฉิงเวิ่นรีบกล่าวว่า “ข้าพูดจริงๆ ตอนที่ข้าจะมาที่นี่ข้าได้ตัดสินใจแล้ว หากเจ้ากับจวนรองขัดแย้งกันขึ้นมา ข้าย่อมช่วยเจ้าอย่างแน่นอน หากเจ้าไม่เชื่อ ข้ายินดีกล่าวคำสาบาน”

“ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่ท่านกล่าวมาเลยสักนิด” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ข้าเพียงคิดว่าหากพวกท่านขายหุ้นในส่วนที่อยู่ในมือของพวกท่านออกไป แล้วนำไปซื้อที่ดิน ความเสี่ยงอาจจะน้อยกว่าก็เท่านั้น”

“หากไม่กล้าเสียเด็กจะล่อจับหมาป่าได้อย่างไร” เฉิงเวิ่นตบหน้าอก “ที่ดินนั้นความเสี่ยงต่ำก็จริง แต่กำไรก็ไม่มาก ข้ายังคงเลือกที่จะทำกับเจ้านั่นแหละ”

นั่นก็ต้องดูว่าข้าจะยินยอมให้เจ้าทำกับข้าหรือไม่!

เฉิงฉือพึมพำอยู่ในใจ ยิ้มบางๆ พลางรินชาให้เฉิงเวิ่นอีกหนึ่งจอก

“ไอโหยวๆ!” เฉิงเวิ่นรีบกล่าว “ให้ข้ารินให้ดีกว่า เจ้าเป็นเทพแห่งความร่ำรวย ไหนเลยจะมีเหตุอันสมควรให้เทพแห่งความร่ำรวยรินชาให้ข้ากัน”

เฉิงฉือยกมือขึ้น หลบแขนที่ยื่นเข้ามาของเฉิงเวิ่นไปได้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ใช่ว่าได้ดื่มชาจากเทพแห่งความร่ำรวยแล้วจะร่ำรวยหรอกหรือ ให้ข้ารินชาให้ท่านเถิด ท่านนั่งลงดื่มชาให้สำราญเถิด”

“คำพูดนี้มีเหตุผล” เฉิงเวิ่นหัวเราะร่า นั่งลงไปใหม่อีกครั้ง มองเฉิงฉือรินชาให้เขาจนเต็มจอก จากนั้นก็ขยับเข้าหาเฉิงฉืออย่างกระตือรือร้น กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ชายสี่ เจ้ากล่าวความจริงกับพี่ชายสักประโยคเถิด ที่เจ้าไม่ได้ใบอนุญาตค้าเกลือในปีนี้ เป็นเพราะท่านผู้นำตระกูลจวนรองใช่หรือไม่…” เขาชี้ไปยังทิศทางที่จวนรองตั้งอยู่ “ข้ารู้จักน้องชายของภรรยาที่ปรึกษาที่ย้ายเข้ามาใหม่ของเหลี่ยงไหว[1] เจ้าอยากให้ข้าช่วยไปที่ไหวอันให้เจ้าสักครั้งหรือไม่ พวกเราอาจไม่ได้ใบอนุญาตค้าเกลือที่เหลี่ยงเจ้อ[2] แต่จะไม่ได้ใบอนุญาตค้าเกลือที่เหลี่ยงไหวด้วยเชียวหรือ ข้าไม่เชื่อเป็นอันขาด!”

“ไม่ใช่!” เฉิงฉือประหลาดใจเล็กน้อย กล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นข้าที่รู้สึกว่าการค้าเกลือครั้งนี้ไม่ค่อยง่ายดายนัก ก็เลยวางมือเสีย”

เฉิงเวิ่นกระทืบเท้าไม่หยุด กล่าวขึ้นว่า “เจ้ารังเกียจความวุ่นวาย แต่ข้าไม่รังเกียจความวุ่นวายนี่นา! เหตุใดเจ้าถึงไม่คิดยกการค้าอันนี้มาให้ข้าทำเล่า! เจ้าช่างไม่รู้ความรู้สึกของผู้อื่นดั่งคนอิ่มหนำที่ไม่เข้าใจความรู้สึกของคนหิวโหยเสียจริง!”

เฉิงฉือรีบกล่าวขอโทษขอโพยว่า “ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ…หรือว่าให้ข้าเป็นสะพานเชื่อมให้ท่านทำการค้าขนส่งทางทะเลกับผู้อื่นดีหรือไม่ ถึงแม้ความเสี่ยงสูง อาจขายไม่ได้เลยสามปี แต่เมื่อขายได้แล้วก็อยู่ไปได้ถึงสามปี…”

ไม่รอให้เขาพูดจนจบ มือของเฉิงเวิ่นก็จับแขนของเขาเอาไว้ แล้วกล่าวขึ้นอย่างซาบซึ้งว่า “ข้าว่าแล้วว่าพี่น้องทั้งสามคนของจวนหลักนั้นจิตใจกว้างขวางยิ่งนัก คราวก่อนข้าไปจิงเฉิง ไม่กล้าไปขอพบพี่ชายใหญ่จิง จึงไปหาพี่ชายรองเว่ยของเจ้า โดยไม่สอบถามอะไร พี่ชายรองเว่ยของเจ้าก็พาข้าไปที่วัดต้าเซียงกั๋วด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง ยังให้พ่อบ้านพาข้าไปเดินเล่นรอบๆ จิงเฉิงอีกหนึ่งรอบ สุดท้ายยังให้ตั๋วเงินข้าอีกหนึ่งร้อยเหลี่ยง ถึงแม้ข้าจะไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง แต่ในใจยังคงจำได้เป็นอย่างดี ส่วนเรื่องนี้ถือว่าพวกเราตกลงกันตามนี้ ในมือของข้ามีเงินอยู่ทั้งหมดสองหมื่นเหลี่ยง ประเดี๋ยวเจ้าให้พ่อบ้านไปเอาตั๋วเงินกับข้าได้เลย…”

“พี่ชายเวิ่น เรื่องนี้ท่านกับอีกฝ่ายติดต่อกันเองจะดีกว่า!” เฉิงฉือกล่าวตัดบทคำพูดของเฉิงเวิ่นยิ้มๆ “ข้าเข้าร่วมเป็นคนกลาง ไม่ค่อยดีนัก…อีกฝ่ายเป็นสหายของข้า พื้นเพก็ไม่ได้ร่ำรวยนัก หากเขาต้องการให้ข้ายอมลงให้ส่วนหนึ่ง ข้าก็ไม่อาจปฏิเสธเขาได้ ถึงเวลานั้นกลัวแต่ว่าจะทำให้พี่ชายเวิ่นขาดทุนได้”

“ได้ๆๆ” เฉิงเวิ่นยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวทั้งสองแถว “เจ้าให้พ่อบ้านของเจ้าแนะนำคนให้ข้ารู้จักก็พอ ส่วนเรื่องจะเจรจาอย่างไรนั้น ให้เป็นธุระของข้า!”

“แต่ก็ไม่อาจทิ้งเอาไว้ให้ท่านแล้วไม่ดูดำดูดีเลย” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “การค้าอันนี้ก่อนหน้านี้ข้าไม่มีกำลังคนเข้าไปจัดการดูแล ก็เลยไม่ได้ยื่นมือเข้าไปแทรกแซง แต่ก่อนหน้านี้ข้าได้ให้พ่อบ้านของข้าคำนวณผลกำไรเอาไว้แล้ว มีส่วนไหนที่ควรจะต้องระวัง เขาน่าจะเข้าใจเป็นอย่างดี ประเดี๋ยวข้าจะให้พ่อบ้านคนนั้นไปคุยกับท่านเอาไว้ เผื่อว่าเวลาไปเจรจากับอีกฝ่ายจะได้เข้าใจเรื่องราว”

“ได้ๆ” ครั้งนี้เฉิงเวิ่นตบขาของตัวเอง “ผู้อื่นต่างกล่าวกันว่าเจ้าเป็นคนเย็นชา ข้ากลับมองว่าเจ้าเป็นคนขี้อาย หากรู้แต่เนิ่นๆ ว่าเจ้าเป็นคนเช่นนี้ ข้าก็คงจะมาเยี่ยมเยียนเจ้าให้เร็วกว่านี้แล้ว…”

ไหวซานยืนอยู่ข้างๆ กลั้นหัวเราะจนหน้าท้องเกือบจะเป็นตะคริวไปหมดแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะส่งเฉิงเวิ่นออกไปได้ เขาทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ พิงตัวกับเสาที่อยู่ข้างๆ แล้วหัวเราะออกมาดังลั่น

เฉิงฉือมองเขาอย่างเยียบเย็นครั้งหนึ่ง เห็นท้องฟ้าเริ่มมืด ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว จึงไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามเขา “นายท่านใหญ่เวิ่นไปแล้วหรือ”

“ไปแล้วขอรับ” เฉิงฉือกล่าวพลางนั่งลงทางด้านขวามือของฮูหยินผู้เฒ่ากัว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพึมพำกล่าว “เจ้าใช้ความพยายามไปตั้งมากเพื่อดึงหัวหน้าของแต่ละจวนมารวมกันที่ร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ เหตุใดตอนนี้กลับจะให้พวกเขาขายหุ้นส่วนออกไปเล่า”

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ตอนแรกก็เพื่อเตือนท่านผู้นำตระกูลจวนรองว่าอย่าได้ประมาทเกินไป ตอนนี้พี่ชายใหญ่ยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว ต่อให้เขาอยากจะทำอะไรก็ไม่ง่ายดายขนาดนั้นอีกต่อไปแล้ว  นอกจากนี้เมื่อแยกจวนสี่กับจวนห้าออกไปได้แล้ว หากต้องการจะมีเรื่อง ก็ให้มีเรื่องกันเฉพาะพวกเราสามจวนก็พอแล้ว อย่าให้พวกเขาต้องมาข้องเกี่ยวด้วยเลย”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ข้าได้ยินว่าเสาจิ่นไปหาเจ้าเพื่อเดินหมากหรือ”

“พวกเด็กๆ พอไม่มีอะไรทำก็หาเรื่องสนุกทำ” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “หากข้ามีเวลาก็เล่นกับนางสักหน่อย แต่หากไม่มีเวลาก็ได้แต่ไม่สนใจนางขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “หรือไม่ เจ้าลองชวนจิ่วเนี่ยมานั่งเล่นที่บ้านดูดีหรือไม่ เจ้ากับเขาไม่ได้สังสรรค์ด้วยกันมาสักพักแล้ว”

“ข้าเพียงไม่ได้ชวนเขามาสังสรรค์ที่บ้านสักพักแล้วเท่านั้น” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “เมื่อสองวันก่อนพวกข้ายังไปกินข้าวที่หอสุราเหมยเหยียนด้วยกันอยู่เลยขอรับ!”

“เอ๋!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวขึ้นอย่างแปลกใจ “ไม่ใช่เจ้าหรือที่บอกว่าที่หอสุราเหมยเหยียนไม่มีอะไรถูกปาก เหตุใดจู่ๆ ถึงไปที่นั่นได้”

เฉิงฉือกล่าว “ผ่านทางไปพอดีขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่กล้าถามอะไรอีก

เฉิงฉือกล่าว “ท่านบอกว่าอยากไปจุดธูปไหว้พระที่เขาผู่ถัวไม่ใช่หรือ ท่านตั้งใจว่าจะไปเมื่อใดหรือขอรับ ช่วงนี้ข้าไม่มีธุระอะไรพอดี ข้าไปเป็นเพื่อนท่านได้ขอรับ!”

“เช่นนั้นก็ดียิ่ง!” รอยยิ้มของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่อล้นออกมาจากนัยน์ตาอย่างหยุดไม่อยู่ นางรีบดึงมือของบุตรชายเอาไว้ พลางกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ตกลงกันตามนี้ เจ้าคงไม่ทำเหมือนเมื่อคราวก่อนกระมัง ที่มาบอกว่ามีธุระก่อนออกเดินทาง พลอยทำให้ข้าไม่มีอารมณ์ไปด้วย”

และปรากฏว่าสุดท้ายก็ไม่ได้ไป!

มองมารดาที่จับมือของตนเอาไว้แน่นดั่งคนที่คว้าฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายเอาไว้เช่นนั้นแล้ว ในใจของเฉิงฉือก็ให้รู้สึกปวดแปลบ

รอให้มารดาทราบว่าเขาจากไปโดยไม่หวนกลับ เขาในตอนนี้ก็พอจะนึกภาพความปวดใจของมารดาได้

หรือว่าจะรอให้ถึงเวลาที่มารดาขี่กระเรียนกลับสู่แดนสุขาวดีเสียก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีดี?

ความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในห้วงความคิดของเขา แต่ก็ถูกเขาปฏิเสธไปอย่างรวดเร็ว

หากเซียวเจิ้นไห่มาหาถึงจินหลินได้ สักวันก็ย่อมหาซอยจิ่วหรูจนพบได้เช่นกัน

หากเขาไม่ไป ก็รังแต่จะนำอันตรายที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นมาให้มารดา

“ข้าจะไปไหว้พระที่เขาผู่ถัวเป็นเพื่อนท่านอย่างแน่นอน” น้ำเสียงของเฉิงฉือนุ่มนวลและอ่อนโยนยิ่งกว่าที่ตัวเขาเองจินตนาการเอาไว้เสียอีก “ข้าจะออกไปท่องเที่ยวกับท่านแม่ด้วย จะว่าไปแล้ว พวกเราไม่ได้ออกเดินทางด้วยกันมาสิบปีแล้ว…”

“ใช่ๆๆ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าไม่หยุด กล่าวว่า “อีกไม่นานพระธรรมของเสาจิ่นก็น่าจะคัดเสร็จแล้ว ถึงเวลานั้นพวกเราพาเด็กคนนี้ไปด้วย ระหว่างทางนางยังเล่นหมากเป็นเพื่อนเจ้าแทนข้าได้…ไอโหยว เมื่อคำนวณเวลาแล้วก็ออกจะไม่ทันการอยู่บ้าง เรื่องภายนอกข้ายกให้เจ้าเป็นคนจัดการเลยก็แล้วกัน ในส่วนของข้านั้น นอกจากเสาจิ่นแล้ว ก็มีสื่อมามาที่ต้องพาไปด้วย นางรับใช้ข้ามาทั้งชีวิต อายุก็ไม่น้อยแล้ว หลังจากติดตามข้าไปเขาผู่ถัวในครั้งนี้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ออกเดินทางไปข้างนอกอีกหรือไม่ ยังมีพวกปี้อวี้กับเฝ่ยชุ่ย ข้าใช้พวกนางจนชินเสียแล้ว จึงต้องพาไปด้วย เช่นนั้นจะให้ผู้ใดอยู่ดูแลบ้านดี…”

คนที่หนักแน่นมั่นคงอย่างฮูหยินผู้เฒ่ากัว ฉับพลันดีใจจนพูดอะไรไม่อยู่ในร่องในรอยไปเล็กน้อย

เฉิงฉือเห็นแล้วก็ยิ่งปวดใจ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องรีบร้อนถึงเพียงนี้ หลายเดือนนี้ข้าล้วนมีเวลาว่าง ไม่ว่าตอนไหนก็ออกเดินทางเป็นเพื่อนท่านได้ ท่านลองดูก่อนว่ามีวันไหนที่สะดวก ข้าจะให้ฉินจื่อผิงมาช่วยท่านจัดเตรียมพวกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ต่างๆ ให้มั่นใจว่าท่านจะได้ออกเดินทางได้อย่างราบรื่น”

พอได้ยินว่าช่วงหลายเดือนนี้บุตรชายล้วนมีเวลาว่าง หลังจากที่ดีใจเสร็จแล้วฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็สงบลงมา เริ่มจัดเตรียมเรื่องออกเดินทางต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบ

ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม โจวเสาจิ่นที่คัดพระธรรมอยู่ในห้องพระก็ทราบข่าว

ปี้อวี้เข้ามาบอกนางด้วยตัวเอง “…ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวเอาไว้แล้วว่าให้ท่านไปกับพวกข้าด้วยเจ้าค่ะ!”

“จริงหรือ” โจวเสาจิ่นกระโดดพรวดขึ้นมาดึงมือของปี้อวี้เอาไว้อย่างยินดี

“จริงเจ้าค่ะ!” ปี้อวี้กล่าวยิ้มๆ “ฮูหยินผู้เฒ่าให้คนไปแจ้งจวนสี่แล้ว พรุ่งนี้จะไปเยี่ยมนายหญิงผู้เฒ่าที่จวนสี่ เพื่อพูดคุยเรื่องนี้เจ้าค่ะ”

“ไม่รู้ว่าจะพาพี่สาวของข้าไปด้วยได้หรือไม่” โจวเสาจิ่นพึมพำกล่าวกับตัวเอง “ข้ามีชีวิตมาสองชาติภพล้วนไม่เคยไปเขาผู่ถัวมาก่อน!”

“ท่านลองไปคุยกับนายหญิงผู้เฒ่าของพวกท่านดูเจ้าค่ะ” ปี้อวี้ช่วยออกความคิดเห็นให้นาง “ท่านเพียงลดจำนวนบ่าวรับใช้ที่จะนำไปด้วยสักสองสามคนก็ได้แล้วเจ้าค่ะ”

คนที่ออกเดินทางมักจะคิดว่ายิ่งคนมากก็ยิ่งคึกคัก เรื่องที่ว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนเท่าไรนั้น ล้วนไม่อยู่ในขอบข่ายการพิจารณาของพวกนาง

โจวเสาจิ่นนั่งไม่ติดที่แล้ว จึงกลับเรือนเจียซู่ไปก่อนเวลา

***********************************************************

[1] เหลี่ยงไหว (两淮) ชื่อเรียกเมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือและใต้ของแม่น้ำไหวเหอ

[2] เหลี่ยงเจ้อ (两浙) ชื่อเรียกของเจ้อเจียงตะวันออกและเจ้อเจียงตะวันตก

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset