ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 190 เมาเรือ

ต้องบอกว่า วิธีการของเฉิงฉือได้ผลดีทีเดียว

วันถัดมา ตอนที่โจวเสาจิ่นเล่นไพ่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ไม่เล่นอย่างสับสนงุนงงเหมือนก่อนหน้าอีกแล้ว เพียงแต่ว่าพอใช้เวลาขบคิดนาน ความเร็วในการทิ้งไพ่ก็ช้าลง บางครั้งฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็รอจนรู้สึกทนไม่ไหวอยู่บ้าง

โจวเสาจิ่นจดจำถ้อยคำของเฉิงฉือได้ขึ้นใจ นางคลี่ยิ้มให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างขอลุแก่โทษ แต่ก็ยังคงใช้เวลาขบคิดนานอยู่เช่นเดิมอย่างนั้น

ผ่านไปหลายตา ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็พอจะคาดเดาบางอย่างออก

นางลอบกล่าวกับสื่อมามาว่า “คิดไม่ถึงว่าเสาจิ่นเด็กคนนี้จะตระหนักรู้ถึงข้อบกพร่องของตน แล้วหาทางแก้ไขชดเชยได้ คนที่มีลักษณะนิสัยเช่นนี้ กระทำสิ่งใดย่อมประสบความสำเร็จได้ทุกอย่าง!”

ชีวิตในตระกูลใหญ่โต บางครั้งก็เสมือนกับหมู่บ้านเล็กๆ หนึ่งแห่ง ไม่เพียงความสัมพันธ์จะสลับซับซ้อน แต่งูก็ยังมีรูของงู หนูก็ยังมีรังของหนู แต่ละคนต่างมีแหล่งข้อมูลข่าวสารเป็นของตัวเอง บางครั้งยังต้องรับรู้ข่าวสารให้เร็วกว่าผู้เป็นนายเสียด้วยซ้ำ หาไม่แล้วคนอย่างพวกนางที่ต้องคอยดูสีหน้าของผู้เป็นนายเพื่อดำรงชีพเช่นนี้จะเอาอะไรไปหลีกเลี่ยงภัยอันตราย หรืออยู่อย่างเบิกบานดั่งปลาได้น้ำเล่า

สื่อมามาถือว่าเป็นผู้ที่ใกล้ชิดฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่สุด มีวงอิทธิพลและแหล่งข้อมูลของตนเอง

เรื่องที่เฉิงฉือเรียกโจวเสาจิ่นไปสอนนางเล่นไพ่ก็ไม่ได้ปิดบังเอาไว้แต่อย่างใด นางย่อมทราบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

แต่นางรู้ดีไปกว่านั้นว่า การวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของเฉิงฉือ นอกจากเฉิงฉือจะเกลียดชังยิ่งนักแล้ว หากฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินเข้า ก็จะไม่เสวนาพูดคุยกับเจ้าแม้แต่คำเดียวอีกด้วย ไม่แน่ว่าต่อจากนี้ไปยังจะประณามตราหน้าเจ้าว่า ‘ไม่สัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม’ หรือไม่ก็ ‘มีปากที่ยุยงปลุกปั่น’ เสียก็เป็นได้ บางทีวันหนึ่งวันใดเกิดโกรธเกรี้ยวขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าจะสร้างเรื่องอะไรให้เจ้าได้

นางได้ยินแล้วก็กล่าวยิ้มๆ “แต่ก่อนคุณหนูรองก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้ ทว่าพักหลังมานี้คัดพระธรรมในเรือนของพวกเรา ทั้งยังฝึกเรียนเล่นหมากล้อมกับนายท่านสี่ นางชาญฉลาดถึงเพียงนั้น ร่ำเรียนสิ่งใดก็เรียนได้ทุกอย่างเจ้าค่ะ!”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นพ้องต้องด้วยอย่างยิ่ง

ปี้อวี้เดินเข้ามา

สีหน้าของนางร้อนรนเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ข้าเห็นว่าอาการของเจินจูไม่สู้ดีนัก ท่านว่าให้หมัวมัวผู้เชี่ยวชาญมาดูอาการสักคนดีหรือไม่เจ้าคะ”

ตั้งแต่เปลี่ยนมาขึ้นเรือสำเภา เจินจูก็เมาเรือเล็กน้อย

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้นางพักผ่อนในห้องพักโดยสาร ไม่ได้จัดเวรให้นางอีก

ตอนนี้ได้ยินว่าอาการของนางไม่ดี ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวใจเต้นรัวตึกตัก

คนเป็นบ่าวก็เป็นดังนี้ สิ่งที่หวั่นกลัวที่สุดคือเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วจะแพร่โรคภัยให้กับผู้เป็นนาย ฉะนั้นเวลาที่ไม่อับจนหมดสิ้นหนทางจริงๆ ย่อมจะไม่แจ้งอาการป่วยให้ทราบเป็นแน่

กลัวแต่ว่าอาการป่วยของเจินจูไม่เพียงแค่ไม่ดีเท่านั้น แต่คงทรุดหนักเสียแล้ว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรีบบอกสื่อมามาว่า “เจ้าไปดูสักหน่อยเถิด!”

สื่อมามาขานรับ “เจ้าค่ะ” ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แล้วรีบรุดไปห้องของเจินจูพร้อมกับปี้อวี้

ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ดวงตาเมล็ดซิ่งกับแก้มราวผลท้อของเจินจูก็ตอบลงจนเหมือนหนังหุ้มกระดูก ดวงตาเปล่งปลั่งคู่นั้นก็เปลี่ยนเป็นหม่นหมองไร้ประกาย

“นี่เกิดอะไรขึ้น” สีหน้าของสื่อมามาเคร่งเครียดขึ้นอีกหลายส่วนอย่างห้ามไม่อยู่

สาวใช้เด็กที่รับใช้เจินจูนัยน์ตาแดงก่ำ กล่าวเสียงเบาว่า “สำรอกอาหารมาโดยตลอดเลยเจ้าค่ะ อะไรก็กินไม่ลง พ่อครัวใหญ่ประจำห้องครัวยังทำน้ำแกงรสเปรี้ยวให้โดยเฉพาะ ทว่าพี่สาวเจินจูซดคำหนึ่งแล้วก็สำรอกออกมาทั้งหมด…ข้าได้ยินคนเรือบนเรือบอกว่า กินขิงแผ่นสักหน่อยจะช่วยบรรเทาอาการเมาเรือได้บ้าง จึงนำมาให้พี่สาวเจินจูลองกินดู แต่กลับไม่ได้ผลแม้แต่น้อยเลยเจ้าค่ะ…”

จะทำอย่างไรดี

สิบกว่าปีก่อนสื่อมามาเคยเดินทางโดยเรือเป็นเวลานานตอนที่ติดตามฮูหยินผู้เฒ่ากัวนำโลงศพลงใต้หลังจากที่นายท่านผู้เฒ่าล้มป่วยและเสียชีวิต ตอนนั้นจิตใจของผู้คนล้วนโศกเศร้าเสียใจ ไหนเลยจะสนใจอาการเมาเรือของบรรดาสาวใช้และบ่าวหญิง

หากเป็นเรื่องการคลอดบุตรยากนางก็พอมีวิธีช่วยได้บ้าง แต่เรื่องเมาเรือนี้…นางไร้ซึ่งหนทางเสียแล้วจริงๆ

 แต่อาการของเจินจูนี้หากไม่รีบรักษาให้ทันท่วงที เกรงว่าอาจจะสูญเสียชีวิตที่นี่ก็เป็นได้

เช่นนั้นก็เลวร้ายยิ่งกว่าการป่วยไข้เสียอีก!

แต่เรื่องนี้จะบอกฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างไรดี

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพาพวกนางไปถวายธูปเทียนที่เขาผู่ถัว

ในเมื่อตั้งใจไปสักการะองค์พระโพธิสัตว์ องค์พระโพธิสัตว์ก็ควรจะพิทักษ์รักษาพวกนางถึงจะถูก ทว่าตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หากคนที่คิดมาก จะไม่พูดว่าเป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่มีวาสนาไปถวายธูปเทียนที่เขาผู่ถัวหรอกหรือ

สื่อมามาที่ผ่านโลกมามากขนาดนี้ อยู่ๆ ก็รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาเล็กน้อย

ปี้อวี้ที่อยู่ข้างๆ เร่งเร้าขึ้นว่า “มามา ท่านว่าควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ ตอนกลางคืนเมื่อเทียบท่าเพื่อพักแรม ไปเชิญท่านหมอคนหนึ่งมาดูอาการดีหรือไม่”

แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางผู้เป็นบ่าวไพร่คนหนึ่งจะกระทำได้!

ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา จู่ๆ สื่อมามาก็นึกถึงโจวเสาจิ่น

ไฉนนางถึงลืมคุณหนูรองไปได้เล่า

แม้จะกล่าวว่าเป็นคุณหนู แต่ก็ถือว่าเป็นนายอยู่ครึ่งหนึ่ง

มีนางช่วยออกความคิดเห็น ต่อให้เกิดเรื่องผิดพลาดใดๆ ก็ถือว่าเป็นความปรารถนาดี!

สื่อมามาตัดสินใจแล้ว กระซิบบอกปี้อวี้ว่า “เจ้าอย่าเพิ่งเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป ข้าจะไปถามคุณหนูรอง ดูว่านางจะว่าอย่างไร!”

“นี่คงไม่ค่อยดีกระมังเจ้าคะ” ท้ายที่สุดแล้วโจวเสาจิ่นเพียงมาเป็นแขก ทว่าถ้อยคำของปี้อวี้กล่าวออกมาเพียงครึ่งเดียว สื่อมามากลับหมุนกายเดินออกจากห้องพักโดยสารไปเรียบร้อยแล้ว

ปี้อวี้รีบส่งสัญญาณให้สาวใช้เด็กผู้นั้นดูแลเจินจูดีๆ แล้วกระวีกระวาดตามออกไป

โจวเสาจิ่นกำลังศึกษาไพ่ใบไม้หนึ่งร้อยแปดใบเหล่านั้นอยู่ พอได้ยินว่าสื่อมามามาหา เข้าใจว่านางช่วยนำความของฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาแจ้ง จึงไม่ได้คิดมากแต่อย่างใด ให้ชุนหว่านเชิญนางเข้ามาทันที

สื่อมามากลัวว่าหากล่าช้าจะไม่ทันการ หลังจากเข้ามาทำความเคารพโจวเสาจิ่นเรียบร้อยแล้ว จึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้โจวเสาจิ่นฟังอย่างตรงไปตรงมา จากนั้นก็เอ่ยถามว่า “ท่านว่าเรื่องนี้ควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ”

ปฏิกิริยาโต้ตอบแรกของโจวเสาจิ่นคือไม่อาจให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทราบโดยเด็ดขาด

นางเห็นพ้องกับสื่อมามา เรื่องประเภทนี้อาจจะเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้เรื่องเล็กก็ได้ ทางที่ดีที่สุดคือเปลี่ยนเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก เปลี่ยนเรื่องเล็กให้กลายเป็นไม่มีเรื่องเสีย

แต่จะให้นางมาตัดสินใจเอาเอง นางคิดว่าทำเกินขอบเขตอำนาจของตนอยู่บ้าง ไม่ใช่เรื่องที่นางควรจะเข้าไปก้าวก่าย

แต่เห็นเจินจูเจ็บป่วยเช่นนี้ นางก็รู้สึกอดรนทนไม่ได้อยู่บ้างเล็กน้อย

โจวเสาจิ่นใคร่ครวญครู่หนึ่ง แล้วบอกสื่อมามาว่า “ท่านนั่งที่นี่ก่อน ข้าจะลองไปดูท่านน้าฉือทางด้านโน้น เกรงว่าเรื่องนี้คงต้องให้ท่านน้าฉือช่วยออกหน้าแล้ว”

สื่อมามาตกใจจนดวงหน้าเผือดสี

นายท่านสี่เป็นผู้ที่กล่าวปฏิเสธไม่ไว้หน้าผู้ใดแม้กระทั่งยามอยู่ต่อหน้าท่านผู้นำตระกูลจวนรอง คนอื่นอาจไม่ทราบ แต่นางเคยเห็นนายท่านใหญ่จิงระมัดระวังตัวเมื่ออยู่ต่อหน้าน้องชายคนนี้กับตามาแล้ว หาไม่แล้วเหตุใดเมื่อฮูหยินหยวนเห็นนายท่านสี่จะต้องหลบซ่อนให้ห่างไกลมากที่สุดกันเล่า

“ไม่ได้เจ้าค่ะๆ!” นางโบกมือรัว พลางกล่าว “เรื่องนี้ยิ่งไม่อาจให้นายท่านสี่ทราบเจ้าค่ะ…”

“เช่นนั้นก็ได้แต่เชิญฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้ตัดสินใจแล้ว” โจวเสาจิ่นกล่าว

สีหน้าของสื่อมามาดูคลุมเครือยากจะเข้าใจ

โจวเสาจิ่นไม่พอใจเล็กน้อย เอ่ยว่า “มามาผลักเรื่องมาที่ข้า ไม่ใช่ว่าอยากให้ข้าช่วยหรอกหรือ ตอนนี้ข้ายอมออกหน้าช่วยแล้ว ท่านยังจะนี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้อีก นอกจากนี้ ข้าเป็นเพียงแค่แขก มีแขกที่ไหนยื่นมือแทรกแซงเรื่องของเจ้าบ้านกันหรือ เรื่องนี้เชิญมามาตัดสินใจเองเถิด!”

สื่อมามาดวงหน้าแดงเถือก

นางไม่คิดไม่ฝันว่าโจวเสาจิ่นจะกล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ หนำซ้ำยิ่งคิดไม่ถึงว่าหลังจากที่โจวเสาจิ่นอ่านความคิดของนางอย่างทะลุปรุโปร่งแล้วยังจะยอมออกหน้าช่วย…นางได้แต่รู้สึกว่าใบหน้าชรานี้น่าอับอายเหลือเกินจนอยากจะขุดหลุมแล้วมุดหนีไปเสีย กล่าวว่า “คุณหนูรอง ข้าจะไปหานายท่านสี่เป็นเพื่อนท่านเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นพยักหน้าน้อยๆ แล้วไปที่ห้องพักโดยสารของเฉิงฉือพร้อมกับสื่อมามา

ผู้ที่เฝ้าประตูอยู่คือชิงเฟิง

เขาเหลือบตามองสื่อมามา ทว่าขณะที่กล่าวว่า “นายท่านสี่พักผ่อนแล้วขอรับ” ได้เพียงครึ่งเดียวกลับเห็นโจวเสาจิ่นอยู่ข้างหลังสื่อมามา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ พร้องกับกล่าว “ข้าจะไปรายงานเดี๋ยวนี้ขอรับ” ด้วยสีหน้าบึ้งตึง แล้วหมุนกายกลับห้องพักโดยสารไปในทันที

ยังคงเป็นหลั่งเย่ว์ที่อัธยาศัยดีกว่าอยู่ดี!

โจวเสาจิ่นพึมพำในใจอย่างห้ามไม่อยู่

ทว่าสื่อมามากลับตวัดสายตามองโจวเสาจิ่นแวบหนึ่ง ไพ่สองสั่วที่ทำให้โจวเสาจิ่นชนะครั้งแรกนั้นนางเป็นคนทิ้งเอง แต่หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าเฉิงฉือคอยกำกับและชี้แนะโจวเสาจิ่นอยู่ นางจะตัดไพ่เรียงแต้มทิ้งให้โจวเสาจิ่นได้อย่างไร

ดูท่าทางแล้วคุณหนูรองมีน้ำหนักต่อหน้านายท่านสี่ไม่น้อย!

สื่อมามาครุ่นคิดอยู่ในใจ

ชิงเฟิงเดินออกมา

เขากล่าวเสียงเบาว่า “นายท่านสี่เชิญคุณหนูรองเข้าไปขอรับ!”

โจวเสาจิ่นพยักหน้าให้เขา เงยหน้าขึ้นแล้วเดินเข้าไป

สื่อมามารีบตามเข้าไป

เฉิงฉือนั่งจิบชาบนตั่งหลัวฮั่นข้างหน้าต่างเรือ

เมื่อเห็นโจวเสาจิ่นเดินเข้ามา เขาก็ชี้เก้าอี้บุผ้าสักหลาดข้างตั่ง พลางกล่าว “มีเรื่องอะไรก็นั่งลงมาคุยเถิด!”

โจวเสาจิ่นขานรับว่า “เจ้าค่ะ” แล้วนั่งลงไป

สื่อมามาเป็นผู้ที่กล้ากระเซ้าเย้าแหย่ด้วยสีหน้าสงบนิ่งยามอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัว ทว่าครั้นอยู่ต่อหน้าเฉิงฉือกลับเปลี่ยนเป็นคนละคน ไม่กล้าแม้แต่จะผ่อนลมหายใจยาว  ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการเอ่ยปากพูดเลย

โจวเสาจิ่นไม่มีทางเลือกอื่น จึงได้แต่เอ่ยถึงวัตถุประสงค์ที่มาให้เฉิงฉือทราบ

เฉิงฉือได้ยินแล้วก็ขบคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าจะให้จี๋อิ๋งช่วยนวดจุดไปก่อน หากว่าอาการยังไม่ดีขึ้น รอให้เรือถึงฉางโจว ข้าค่อยหาข้ออ้างส่งนางไปพักฟื้นที่ฉางโจว พวกเจ้าอย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้แก่ผู้ใด”

ดูเหมือนว่าท่านน้าฉือก็ไม่อยากให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทราบเช่นกัน…

โจวเสาจิ่นเข้าใจความหมายของเฉิงฉือ มองไปที่สื่อมามา

นางรับเรื่องนี้มาทั้งหมด เนื่องจากเป็นห่วงชีวิตของเจินจู แต่สื่อมามาคงไม่อาจฝากความหวังทั้งหมดที่นางคนเดียวกระมัง นอกจากนี้นางก็ไม่ใช่หมัวมัวแม่บ้านของจวนหลักด้วย

สื่อมามาเองก็เข้าใจแล้ว รีบกล่าวว่า “นายท่านสี่ คุณหนูรองโปรดวางใจ จะไม่มีผู้ใดแพร่งพรายออกไปอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

เฉิงฉือตอบ “อืม” คำหนึ่ง

สื่อมามารีบค้อมกายอำลา

โจวเสาจิ่นหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ เตือนสื่อมามาว่า “พวกเรารอแม่นางจี๋อิ๋งก่อนแล้วไปด้วยกันเถอะ!”

ไม่ว่าจี๋อิ๋งจะเป็นใคร แต่ภายนอกนางเป็นสาวใช้ของเฉิงฉือ ย่อมต้องเชื่อฟังคำสั่งของเฉิงฉือ หากเฉิงฉือไม่ได้สั่งการออกไป พวกนางจะสั่งการจี๋อิ๋งเองได้อย่างไร

สื่อมามาได้ยินแล้วดวงหน้าก็แดงเถือกยิ่งขึ้น

นางค่อนข้างกลัวนายท่านสี่จริงๆ ยามอยู่ต่อหน้านายท่านสี่จึงกลายเป็นขี้ขลาดอะไรก็กลัวไปหมด

“ยังคงเป็นคุณหนูรองที่ละเอียดรอบคอบ” สื่อมามากล่าว “แม้นข้าจะแก่ชรากว่าคุณหนูรองหลายปีแต่ก็ยังขาดสติปัญญา ครั้นเกิดเรื่องขึ้นกลับไม่อาจสุขุมและใจเย็นเฉกเช่นคุณหนูรองได้เลยเจ้าค่ะ”

จะแตกสลายกี่หมื่นกี่พันครั้ง แต่การประจบสอพลอไม่เคยแตกสลาย

ขณะที่นางกล่าว กลับปรายตามองไปที่เฉิงฉือ

เฉิงฉือสีหน้าราบเรียบคงเดิม ไม่ได้เผยสีหน้าผิดแปลกแต่อย่างใด เรียกไหวซาน ให้เขาไปบอกจี๋อิ๋งให้ตามโจวเสาจิ่นไป

ไหวซานรับคำแล้วออกไป

โจวเสาจิ่นถึงได้ลุกขึ้นมากล่าวอำลาเฉิงฉือ

เฉิงฉือพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้กล่าวอะไรให้มากความอีก

โจวเสาจิ่นรออยู่ในห้องพักโดยสารกับสื่อมามาสักพัก จี๋อิ๋งที่สวมเสื้อผ้าอย่างเรียบร้อยกลับอ้าปากหาวขณะที่เดินออกมา “บอกว่ามีคนเมาเรือ อยากให้ข้าช่วยนวดกดจุดให้อย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว!” โจวเสาจิ่นเห็นท่าทางของนางเหมือนคนไม่ได้นอนหลับดี “คือเจินจู มีอาการเมาเรือหนักมาก ท่านน้าฉือบอกว่าต้องรอให้ถึงฉางโจวจึงจะเคลื่อนย้ายนางลงจากเรือได้”

จี๋อิ๋งหาวอีกครั้งแล้วตามโจวเสาจิ่นไปห้องพักโดยสารของเจินจู

ปี้อวี้กำลังนั่งอยู่ข้างเตียงป้อนน้ำชาให้เจินจูดื่ม เมื่อเห็นรูปการณ์แล้วก็รีบผละออกจากที่นั่งให้นาง

จี๋อิ๋งกล่าวขึ้นว่า “ไม่ต้อง วิธีการนี้ง่ายนิดเดียว ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้ เจ้าเองก็จะได้ช่วยนวดกดจุดให้เจินจูได้ เพียงแต่ว่าเป็นเพราะจุดที่ต้องกดนี้อยู่ใต้ซี่โครง ไม่สะดวกให้ผู้อื่นทำเรื่องเช่นนี้ก็เท่านั้น”

คนในห้องต่างล้อมวงเข้ามาดู

จี๋อิ๋งจึงให้ปี้อวี้คลายเสื้อผ้าของเจินจู กดจุดที่อยู่ใต้ที่สุดของกระดูกซี่โครงของเจินจูพักหนึ่ง พลางกล่าวว่า “กดสิบครั้ง ครั้งละสามร้อยหกสิบลมหายใจ”

ปี้อวี้ช่วยจี๋อิ๋งนับ

กดซ้ำอยู่อย่างนั้นหลายครั้ง ปรากฏว่าเจินจูรู้สึกดีขึ้นมากจริงๆ

ทุกคนต่างรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

………………………………….

Related

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset