โจวเสาจิ่นพยักหน้าไม่หยุด
แต่ในใจนางกลับรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย
เรื่องที่ท่านน้าฉือจะไปจากตระกูลเฉิงได้รับการยืนยันแล้ว
แต่เขาจะออกจากตระกูลเมื่อใดกันแน่นะ
หลังจากนั้นจะกลับมาเยี่ยมอีกหรือไม่
โจวเสาจิ่นเดินไปเดินมาอยู่ภายในห้องพัก เกลียดตัวเองที่เหตุใดชาติก่อนถึงไม่ใส่ใจเรื่องราวของตระกูลเฉิงให้ละเอียดกว่านี้
นางนึกถึงเฉิงฉือตอนที่ยอมอดทนอดกลั้นอารมณ์มาเล่นหมากกับนางเพื่อทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสบายใจ นึกถึงเขาตอนที่เอาใจใส่ทั้งคำพูดและการแสดงออกทางสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ตอนที่สังเกตเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวเหนื่อยแล้วก็เสนอให้นั่งพักผ่อนโดยไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวต้องเอ่ยปาก นึกถึงเขาตอนที่ประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวยืนอยู่บนหาดทราย ยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวให้กำลังใจฮูหยินผู้เฒ่ากัวทำในสิ่งที่ยามปกติไม่กล้าแม้แต่จะคิด…นางลอบรู้สึกปวดใจ
หรือว่าสิ่งที่นางทำไปทั้งหมดนี้จะไร้ประโยชน์เสียแล้ว
หลังจากกลับถึงเมืองจินหลิงแล้วท่านน้าฉือก็จะไปจากตระกูลเฉิงอย่างนั้นหรือ!
เช่นนั้นนางจะไปหาใครให้ช่วยเปิดเผยข้อมูลลับให้เฉิงจิงได้เล่า
โจวเสาจิ่นพลิกตัวกลับไปมา นอนไม่หลับเลยตลอดทั้งคืน วันต่อมาตอนที่นั่งฟังท่านเจ้าอาวาสแสดงธรรมอยู่ในวิหารเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้น ท่าทางของนางดูเหงาหงอยไม่ค่อยสดชื่นนัก
เฉิงฉือที่นั่งอยู่ข้างๆ นางกระซิบกล่าวขึ้นว่า “เมื่อคืนนอนไม่หลับหรือ เจ้าอดทนต่ออีกนิด พรุ่งนี้เช้าพวกเราก็จะกลับหนิงโปแล้ว”
เนื่องจากท่านเจ้าอาวาสวัดฝาอวี่ต้องการเปิดแสดงธรรมให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยตัวเอง ดังนั้นพวกเขาก็เลยต้องอยู่ที่เขาผู่ถัวต่ออีกหนึ่งคืน
โจวเสาจิ่นพยักหน้าให้อย่างไร้ชีวิตชีวา อยากจะถามเขาเหลือเกินว่ากำลังจะไปจากตระกูลเฉิงแล้วใช่หรือไม่ แต่เมื่อคำพูดตีตื้นขึ้นอยู่ที่ริมฝีปากแล้ว นางกลับกลืนมันกลับลงไป เปลี่ยนคำถามใหม่ว่า “ท่านน้าฉือ ท่านกลับจินหลิงพร้อมกับพวกข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ในเมื่อข้าเป็นคนพาพวกเจ้ามา ก็ย่อมต้องพาพวกเจ้ากลับไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย!”
“แล้วหลังจากกลับไปแล้วเล่า” สุดท้ายโจวเสาจิ่นก็ทนไม่ได้ เบิกดวงตาโตใสแจ๋วดั่งน้ำพุในฤดูใบไม้ผลิพลางมองเฉิงฉือด้วยดวงตาที่เปี่ยมด้วยความคาดหวัง “ท่านยังจะออกไปอีกหรือไม่เจ้าคะ”
เฉิงฉือยิ้ม พลางกล่าว “เจ้าอยากไปเยี่ยมบิดาของเจ้าที่เป่าติ้งหรือ”
โจวเสาจิ่นรู้ว่าเฉิงฉือเข้าใจผิดแล้ว แต่นางยอมให้เฉิงฉือเข้าใจผิดเช่นนี้ดีกว่ายอมให้เฉิงฉือรู้ประสบการณ์อันเหลือเชื่อของนาง ดังนั้นนางจึงรีบกล่าวขึ้นว่า “หากท่านเดินทางผ่านเป่าติ้ง พาข้าร่วมทางไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ”
“เกรงว่าช่วงนี้ข้าคงยังไม่ได้ออกไปไหน” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ต้องรอให้ผ่านปีใหม่ไปก่อน หากธุระไม่เร่งรีบนัก และท่านยายกับบิดาของเจ้าอนุญาต ข้าก็พาเจ้าร่วมทางไปเป่าติ้งด้วยได้”
โจวเสาจิ่นยิ้มร่าพลางพยักหน้า
เฉิงฉือกลับรู้สึกว่าภายในใจของนางไม่ได้ดีใจอย่างที่นางแสดงออกมาภายนอก
เด็กคนนี้ต้องการทำอะไร และกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
ความคิดนี้ติดอยู่ในใจของเฉิงฉือได้ไม่นานก็มลายหายไป มีผู้ที่มาสักการะที่อยู่ข้างๆ กล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “พวกเจ้าอย่าคุยกันอีกเลย ฟังพระอาจารย์แสดงธรรมเถิด…เหตุใดถึงมีผู้ไม่เคารพพระพุทธองค์ถึงเพียงนี้อยู่ด้วย เวลาฟังธรรมก็ยังจะคุยกันอยู่ได้”
เฉิงฉือกับโจวเสาจิ่นรีบจบการสนทนา แล้วตั้งใจฟังท่านเจ้าอาวาสวัดแสดงธรรม
ธรรมที่ท่านเจ้าอาวาสแสดงในวันนี้คือตอนที่พระพุทธองค์สละร่างกายตัวเองเพื่อเป็นอาหารของนกอินทรี ตอนนี้เป็นตอนที่โจวเสาจิ่นเคยฟังมาแล้วไม่รู้กี่รอบทั้งชาติก่อนและชาตินี้ แต่ท่านเจ้าอาวาสแสดงธรรมได้เร้าความรู้สึกยิ่งนัก ทำให้คนดื่มด่ำเข้าไปอยู่ในเรื่องราวได้อย่างง่ายดาย
โจวเสาจิ่นเองก็นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
พระอาจารย์ผู้แสดงธรรมที่นางเคยพบล้วนเป็นผู้ที่ถนัดในการสั่งสอนอย่างเป็นกิจจะลักษณะตามแบบแผน แสดงธรรมด้วยน้ำเสียงเบาและอ่อนโยน ที่ผ่านมาไม่เคยพบพระอาจารย์ท่านใดที่แสดงธรรมอย่างเร่าร้อนเช่นนี้มาก่อน
เห็นได้ชัดว่าบนโลกนี้มีคนทุกประเภท เพียงแต่ว่าตนยังไม่เคยพบมาก่อนก็เท่านั้น
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดอยู่ในใจ ในที่สุดนางก็ไม่ได้ง่วงเหงาหาวนอนอย่างเมื่อครู่นี้แล้ว
หลังจากฟังการแสดงธรรมจบแล้ว ท่านเจ้าอาวาสมากล่าวทักทายฮูหยินผู้เฒ่าด้วยตัวเองหลายประโยคแล้วค่อยเดินจากไป
พวกเขากลับไปพักผ่อนที่ห้องพักท่ามกลางสายตาชื่นชมระคนอิจฉาของฝูงชนที่มาสักการะ
หลังจากรับประทานอาหารเจอันหรูหราไปแล้ว เฉิงฉือก็ถูกท่านเจ้าอาวาสเชิญไปดื่มน้ำชาอีกครั้ง ส่วนโจวเสาจิ่นกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวนอนพักกลางวันไปครู่หนึ่ง กระทั่งตอนที่พวกนางตื่นขึ้นมา หีบสัมภาระต่างๆ ก็จัดเก็บจนเกือบจะเสร็จแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจิบชาที่สื่อมามายกมาให้พลางกล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า “ข้าว่าพวกเราอาจต้องบริจาคเงินค่าธูปและเทียนให้วัดฝาอวี่อีกสักหน่อย สมทบทุนช่วยพวกเขาสร้างวิหารมหาเทพให้แล้วเสร็จ”
โจวเสาจิ่นเหงื่อตก
สื่อมามาไปเชิญเฉิงฉือเข้ามา
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “การช่วยพวกเขาสร้างวิหารมหาเทพไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพียงแต่ว่ามนุษย์ที่ไม่รู้จักพอก็เหมือนกับงูที่ปรารถนาจะกลืนกินช้าง หากพวกเรารับปากง่ายเกินไป ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจอยากจะสร้างวิหารอรหันต์ขึ้นอีกหลังหนึ่งก็เป็นได้…เรื่องนี้ท่านอย่าได้ใส่ใจเลย ปล่อยให้ข้าเป็นผู้จัดการก็พอแล้ว ข้ารับรองว่าจะให้พวกเขาสลักชื่อของท่านเอาไว้บนศิลาผู้บริจาคเป็นชื่อแรกแน่นอนขอรับ”
“เจ้าเด็กคนนี้” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวอย่างเคืองๆ “ข้าทำเพื่อศิลาผู้บริจาคนั่นหรืออย่างไร ข้าทำเพื่ออยากขอให้พระพุทธองค์อำนวยพรและปกปักรักษาพวกเจ้าสามพี่น้องให้สุขสงบและราบรื่น คุ้มครองให้สวี่เกอเอ๋อร์และรั่งเกอเอ๋อร์อยู่ดีมีสุข ได้แต่งงานกับสะใภ้ที่มีคุณธรรมและมีเหตุผล…แล้วก็ขอให้พระพุทธองค์อำนวยพรให้เสาจิ่นของพวกเราได้แต่งงานกับสามีที่ปรารถนา!”
โจวเสาจิ่นเขินจนหน้าแดงเรื่อ กล่าวประโยคหนึ่งว่า “ข้าจะไปดูสักหน่อยว่าพวกชุนหว่านเก็บของกันเสร็จแล้วหรือยังนะเจ้าคะ” แล้วก็รีบวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า กำชับย้ำกับเฉิงฉืออีกครั้งว่า “หากเจ้าอยู่ข้างนอกแล้วได้เจอบุตรชายของตระกูลใดที่ดีๆ ก็ช่วยดูให้ด้วย”
เฉิงฉือยิ้มพลางขานตอบว่า “ข้าทราบแล้วขอรับ!”
***
ยามซื่อ[1]ของวันรุ่งขึ้น พวกเขากล่าวอำลาท่านเจ้าอาวาส พระอาวุโสและพระผู้ให้การต้อนรับของวัดฝาอวี่
ท่านเจ้าอาวาสวัดฝาอวี่ไปส่งพวกเขาจนถึงท่าเรือ ยังนัดแนะเวลาพบกันใหม่ครั้งหน้ากับเฉิงฉือแล้วเรียบร้อย มองจนพวกโจวเสาจิ่นขึ้นเรือแล้ว กระทั่งเรือออกจากท่าเรือแล้ว เขาถึงได้กลับวัดฝาอวี่ไปพร้อมกับนักบวชรูปอื่นๆ
โจวเสาจิ่นพิงหน้าต่างเรือเอาไว้พลางมองไปที่เขาผู่ถัวอันเขียวขจี ภายในใจมีทั้งความรู้สึกเศร้าที่ต้องจากลาและความรู้สึกยินดีที่ได้กลับบ้าน
นางไม่ได้พบหน้าพี่สาวมาเป็นเวลานานแล้ว และเพราะคนอยู่ระหว่างเดินทาง แม้แต่จดหมายก็เขียนไปหาพี่สาวไม่ได้
เมื่อถึงเวลาจุดตะเกียง เรือของพวกนางก็แล่นมาถึงท่าเรือหนิงโป
ไม่เหมือนกับเรือสำราญและเรือสำปั้นสวนที่จอดอยู่ใกล้ๆ สะพานเจียงตงที่เมืองจินหลิง เรือที่จอดอยู่ที่ท่าเรือหนิงโปส่วนใหญ่เป็นเรือสำเภา นอกจากนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นเรือสำเภาขนาดใหญ่สี่กระโดงและห้ากระโดง ตอนที่เรือสำเภาสามกระโดงของพวกนางแล่นผ่านข้างๆ เรือขนาดใหญ่เหล่านี้ ต้องชะโงกหัวขึ้นถึงจะมองเห็นเสากระโดงเรือของพวกเขา ให้ความรู้สึกประหนึ่งถูกข่มอยู่ใต้ภูเขาไท่ซานเล็กน้อย
ชุนหว่านและอีกหลายคนเบียดเสียดกันอยู่ตรงด้านหน้าของหน้าต่างเรือกล่าวชื่นชมไม่หยุด เร้าให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่อยู่ข้างๆ หน้าต่างเรือยืนขึ้นและเหลือบมองตามไปด้วย
ทันใดนั้นโจวเสาจิ่นที่ประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่ก็นึกถึงชายหญิงคู่หนึ่งที่ตนเห็นในช่องหน้าต่างห้องโดยสารของผู้อื่นจากบนเรือในวันนั้น
นางรีบสั่งให้ชุนหว่านและอีกหลายคนนั้นไปปิดหน้าต่างทุกบานของเรือเสีย
ชุนหว่านและคนอื่นๆ หัวเราะร่าพลางเดินจากไป
หวังเสี่ยวผู้เป็นหลงจู๊ของสาขาหนิงโปพาเสมียนอีกหลายคนของสาขาขึ้นเรือมาคารวะเฉิงฉือ กล่าวขึ้นว่า “ข้าจองที่พักหลังหนึ่งจากโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดของเมืองหนิงโปเอาไว้แล้ว หากท่านรู้สึกว่าที่พักจอแจเกินไป ด้านหลังของสาขายังมีสถานที่ให้พักอยู่อีกที่หนึ่ง ยามปกติเอาไว้สำหรับรับรองบรรดาหลงจู๊ที่มาจากสาขาใหญ่ เพียงแต่ว่าค่อนข้างเล็กไปสักหน่อยขอรับ” กล่าวอีกว่า “ถึงแม้เมืองหนิงโปจะเทียบกับหังโจวไม่ได้ ทว่าเด่นกว่าตรงที่มีการค้าขายสินค้าจากต่างแดนมาก สินค้าที่มาเทียบท่าเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็น เครื่องเงิน กล่องยานัตถุ์ นาฬิกา ตุ๊กตา ชาดแต่งหน้าต่างๆ ต่างก็ล้วนแล้วแต่มีลักษณะพิเศษเฉพาะของตัวเอง ฮูหยินผู้เฒ่าและคุณหนูนานๆ ได้มาครั้งหนึ่ง ท่านลองดูว่าอยากจะพักอยู่ที่หนิงโปอีกสักสองวันหรือไม่ จะได้ดูว่าความคึกครื้นของเมืองหนิงโปต่างจากที่อื่นอย่างไรบ้างขอรับ”
ทันใดนั้นเฉิงฉือก็นึกถึงท่าทางของโจวเสาจิ่นที่มุ่ยปากและหันไปมองจี๋อิ๋งตาปริบๆ พลางกล่าวอย่างกระจองอแงว่า ข้าก็อยากจะซื้อของเหมือนกัน ขึ้นมา…หลายปีมานี้มารดาเอาแต่โทษตัวเองมาตลอด ถึงแม้จะบอกว่าไม่ได้จำศีล ทว่าก็ใช้ชีวิตอย่างนักบวชจำศีล…เขานึกถึงมารดาที่เมื่อก่อนไม่ชอบสวมอะไรที่เป็นสีแดงสีเขียว ทว่ากลับชอบให้สาวใช้ที่อยู่ข้างกายแต่งตัวสง่าและงดงาม…ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้วว่าจะทำให้มารดามีความสุข เช่นนั้นก็ไปเป็นเพื่อนมารดาสักครั้งก็แล้วกัน ถึงแม้เรื่องพวกนี้จะดูไร้สาระและบ้าบิ่นไปสักเล็กน้อยก็ตาม
“ความคิดนี้ของเจ้าดียิ่ง” เขากล่าวยิ้มๆ “แต่พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมก็จอแจจริงๆ พักอยู่ที่สาขาก็แล้วกัน!”
หวังเสี่ยวดีใจยิ่งนัก รีบลุกขึ้นกล่าว “ขอรับ” สั่งการให้เสมียนใหญ่กลับไปทำความสะอาดอีกครั้งหนึ่ง ส่วนตัวเองอยู่สนทนาเป็นเพื่อนเฉิงฉือขณะรอให้บรรดาสตรีที่อยู่หลังเรือจัดเก็บสิ่งของ
บรรดาสตรีที่อยู่หลังเรือได้รับข่าวแล้วก็แตกตื่นด้วยความตื่นเต้น
ชุนหว่านยืดตัวขึ้นเทียบเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีเขียวมรกตแถบชมพูอ่อนตัวหนึ่งพลางถามปี้เถาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “เป็นอย่างไรบ้าง พรุ่งนี้ข้าสวมเสื้อตัวนี้ดีหรือไม่”
“ดียิ่งนักเจ้าค่ะ” ปี้เถาช่วยออกความคิดเห็นให้นางอย่างสุดความสามารถ “แล้วก็สวมตุ้มหูทองดอกติงเซียงที่คุณหนูรองมอบให้ท่านเมื่อคราวที่แล้วคู่นั้นด้วยเจ้าค่ะ”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน” ชุนหว่านนำเสื้อผ้าชุดที่ลองเทียบชุดนั้นไปเก็บไว้ในย่าม แล้วไปหาตุ้มหูทองดอกติงเซียงที่โจวเสาจิ่นมอบให้คู่นั้น
ทว่ากลับมีสาวใช้เด็กผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา กล่าวว่า “พี่สาวชุนหว่าน คุณหนูต้องการสวมรองเท้าสีขาวพระจันทร์ที่ปักลายผีเสื้อติดไข่มุกคู่นั้น ข้าหามาครึ่งค่อนวันแล้วก็หาไม่เจอเจ้าค่ะ”
คำพูดนี้เพิ่งจะจบลง ก็มีสาวใช้เด็กอีกคนวิ่งเข้ามา กล่าวว่า “พี่สาวชุนหว่าน คุณหนูถามว่าเก็บของเสร็จหรือยังเจ้าค่ะ”
ชุนหว่านเองก็จัดการได้ไม่มากนัก จึงเอาย่ามเสื้อผ้ายัดเข้าไปที่อกของปี้เถา กล่าวว่า “เจ้าช่วยข้าเก็บของหน่อย ข้าจะไปรับใช้คุณหนู”
ปี้เถากล่าวยิ้มๆ ว่า “อื้ม” เสียงหนึ่ง กำลังจะช่วยนางเก็บของ ก็มีสาวใช้เด็กตะโกนเรียกชื่อของนาง “พี่สาวปี้เถา ห้องครัวถามว่าของว่างยามดึกของคุณหนูรองคืนนี้คืออะไรเจ้าคะ พวกเขาเองก็จะได้นำวัตถุดิบไปด้วย เผื่อว่าทางสาขาจะเตรียมเอาไว้ไม่พอ ทำออกมาแล้วจะไม่อร่อยเจ้าค่ะ”
นางมองย่ามในมือครู่หนึ่ง แล้วก็มองสาวใช้เด็กที่รออยู่ที่ประตูครู่หนึ่ง จำต้องยิ้มอย่างขมขื่นพลางเอ่ยสั่งการสาวใช้เด็กผู้นั้นว่า “นี่คือของที่ประเดี๋ยวพี่สาวชุนหว่านจะนำลงเรือไปด้วย เจ้าคอยดูอยู่ตรงนี้ ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็กลับมา”
สาวใช้เด็กขานรับแล้วเฝ้าอยู่ที่ประตู
ปี้เถารีบไปที่ห้องครัว
ความวุ่นวายเหล่านี้ล้วนไม่เกี่ยวกับโจวเสาจิ่น นางนั่งดื่มชาเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัว “…ตอนนี้ไม่เหมือนกับช่วงก่อตั้งรัชสมัยช่วงนั้น ยิ่งอยู่การไปมาหาสู่เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างบรรดาข้าราชสำนักก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น แต่ก็เท่ากับว่าเงินเดือนของทุกคนต่างถูกเอาไปใช้กับตรงนั้น ไม่มีเงิน อีกทั้งไม่อยากเสียหน้า จึงจำต้องหาหาวิธีการใหม่ สินค้าที่นำมาเทียบท่าที่หนิงโปนี้จึงถือเป็นของที่เหมาะเจาะพอดี สินค้าของพวกเขาล้วนแล้วแต่มีราคาถูก แต่ว่าหน้าตาแปลกใหม่ พวกเราไม่เคยพบเห็นมาก่อน ซื้อกลับไปเป็นของฝากหาดูยากสักชิ้นก็พอ หากจะเก็บเอาไว้เล่นๆ ล่ะก็อย่าเลย”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคงกลัวว่าพวกนางจะหน้ามืดตาลายซื้อของโดยไม่คิดจนกลายเป็นสุรุ่ยสุร่ายกระมัง
โจวเสาจิ่นเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้ม กระทั่งพวกชุนหว่านเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวลงจากเรือ
หวังเสี่ยวเตรียมเกี้ยวเอาไว้เรียบร้อยแล้ว พวกนางขึ้นเกี้ยว เกี้ยวส่ายไปส่ายมาตลอดทางจนถึงร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่สาขาหนิงโป
หน้าร้านของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ไม่เพียงใหญ่โตกว้างขวาง แต่ทำเลที่ตั้งก็ยังดีมากอีกด้วย
ร้านตั๋วแลกเงินอยู่ตรงข้ามกับสะพานหลังหนึ่งพอดี ตรงหน้าเป็นหอสุราสามชั้นหลังหนึ่ง เยื้องถัดไปเป็นโรงรับจำนำที่มีหน้าร้านกว้างขวางขนาดห้าห้องกั้นหลังหนึ่ง ถัดไปอีกเป็นร้านยาเก่าแก่กว่าร้อยปีหนึ่งร้าน ตอนที่เกี้ยวของพวกเขามาถึงร้านตั๋วแลกเงินนั้นก็ยามโหย่ว[2]แล้ว บนสะพานมีคนเดินไปเดินมา คึกครื้นยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นมองแล้วรู้สึกว่าลานด้านหลังของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่จะต้องไม่เล็กอย่างแน่นอน
กระทั่งเกี้ยวของนางลงจอดบนพื้น โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้นก็เห็นห้องขนาดห้าห้องกั้นห้องหนึ่ง ห้องข้างเคียงทางด้านซ้ายและขวาแต่ละห้องที่มีขนาดสามห้องกั้นนั้นก็ยังห้องปีกสองห้องของตัวเอง ลานตรงกลางปูเอาไว้ด้วยอิฐหิน เนื่องจากเข้าใกล้ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ต้นกุ้ยฮวาที่ปลูกเอาไว้ตรงกลางลานสองต้นนั้นจึงเต็มไปด้วยเกสรดอกกุ้ยฮวาสีเหลืองทอง กลิ่นหอมหวานยิ่งนัก
************************************
[1] ยามซื่อ ประมาณเก้านาฬิกา
[2] ยามโหย่ว ประมาณสิบแปดนาฬิกา
Related