ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 1 ฝันร้าย

โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นจากความฝันด้วยเหงื่อชุ่มหน้า ลุกพรวดขึ้นนั่ง  

 

 

นางฝันเห็นเฉิงลู่อีกแล้ว!  

 

 

สีหน้าที่น่ากลัว กรรไกรที่วิบวับแวววาว สองมือขาวเนียนละเอียดที่ถูกย้อมจนแดงฉานด้วยเลือด ท้องฟ้าสีครามราวถูกฟอกด้วยน้ำ ความเจ็บปวดที่มากจนไม่อาจสูดลมหายใจ ทั้งหมดผสมคละเคล้าเข้าไว้ด้วยกัน เสมือนกับตาข่ายที่กางออก แล้วรัดนางไว้แน่นอยู่กลางตาข่าย  

 

 

พี่สาวบอกว่า นางถูกรบกวนด้วยสิ่งของที่ไม่ดี  

 

 

แต่เพราะเหตุใดทุกอย่างในความฝันนั้นช่างเสมือนจริงนัก  

 

 

นางจำได้อย่างแม่นยำแม้กระทั่งอุณหภูมิของเลือดที่อาบอยู่บนมือและความเจ็บปวดยามถูกบีบคอแน่น  

 

 

ทว่าหากว่านี่ไม่ใช่ความฝัน แล้วนางหนีรอดจากเงื้อมมือของเฉิงลู่ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง และยังกลับมาในช่วงเวลาที่ตนเองอายุสิบสองปีอย่างปลอดภัยได้อย่างไร  

 

 

ภายในจิตใจของโจวเสาจิ่นเต็มไปด้วยความอ่อนล้าและไม่เข้าใจ ยังมีความไม่สงบอีกเล็กน้อย  

 

 

เตียงขนาดเล็กที่ทาด้วยน้ำมันเคลือบเงาแขวนไว้ด้วยผ้าม่านบางเบาที่ทอจากใยหนอน แสงจางๆ ของยามรุ่งสางลอดเข้ามาตามช่องตาข่ายหน้าต่างที่ติดไว้ด้วยกระดาษ ทำให้มองเห็นโถดอกเหมย แจกันลายดอกไม้ และต้นอวี้ซื่อ  [1]  ที่วางประดับอยู่บนชั้นวางแกะสลักที่ทาด้วยน้ำมันเคลือบสีแดงอันล้ำค่าที่ตั้งอยู่ด้านข้างของหน้าต่างนั้นได้รางๆ  

 

 

นี่คือห้องนอนของนาง  

 

 

ห้องนอนที่อยู่มาแล้วสิบสองปี  

 

 

ภายในความทรงจำของนาง หลังจากนี้นางยังจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสามปี จนกระทั่งอายุสิบห้าปี…เฉิงลู่และอู๋เป่าจางหมั้นหมายกันแล้ว นางถูกเฉิงเจียหลอกให้ไปด้านหลังสวนดอกไม้ ได้พบกับเฉิงสวี่ที่ดื่มเหล้ามาจนเมามาย  

 

 

โจวเสาจิ่นตัวสั่นเล็กน้อย หยุดความทรงจำนั้นลงกะทันหัน  

 

 

จะต้องมีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้องเกิดขึ้นเป็นแน่!  

 

 

นางนึกแล้วนึกอีก ดึงผ้าห่มออกและลงจากเตียง เดินไปยังห้องเล็กที่อยู่ด้านข้าง  

 

 

ข้างในนั้นมี**บของนางวางไว้ และยังมีกระจกทรงตะวันตกขนาดครึ่งตัวหนึ่งบานที่ท่านพ่อให้คนขนกลับมาฝากนางและพี่สาวเมื่อหลายวันก่อน  

 

 

หน้าตาของคนในกระจกราวกับภาพวาด ท่วงท่าอ่อนโยนบอบบาง รูปโฉมงามสง่า เสมือนกับต้นกล้วยไม้บริสุทธิ์ต้นหนึ่งที่ได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถันอยู่ในห้องเรือนกระจก ชูช่อพร้อมที่จะเบ่งบาน  

 

 

นี่คือตนเองอย่างแน่นอน  

 

 

ทว่าก็เหมือนกับว่าไม่ใช่!  

 

 

ในความคิดของโจวเสาจิ่นมีอีกหนึ่งใบหน้าปรากฎออกมา  

 

 

ผิวที่ขาวเนียนละเอียด คิ้วที่ขมวดมุ่น สภาพที่ดูเหนื่อยล้า ใบหน้าที่บางซีด…ลักษณะใบหน้าคล้ายกับคนในกระจกเจ็ดถึงแปดส่วน ทว่าสีบนใบหน้ากลับไม่เท่าหนึ่งในสามส่วนของคนในกระจก…เสมือนกับว่าคนในกระจกได้รับความเจ็บปวดมา จนสีซีดเผือด  

 

 

นั่นถึงจะดูเหมือนเป็นตนเอง!  

 

 

ความคิดแวบขึ้นมา โจวเสาจิ่นตื่นตกใจอย่างมากไปทีหนึ่ง  

 

 

ทว่าเมื่อเชื่อมโยงเรื่องนี้เข้าด้วยกัน ก็ราวกับน้ำที่ล้นภูเขาทองคำ ที่อุดอย่างไรก็อุดไว้ไม่อยู่  

 

 

นางฝันร้ายหรือ เห็นได้ชัดว่าเป็นการเกิดใหม่ด้วยซ้ำ!  

 

 

ทว่าพี่สาวคือคนที่เชื่อถือได้และพึ่งพาได้มากที่สุดในชีวิตของนาง จะหลอกนางได้อย่างไร  

 

 

โจวเสาจิ่นกัดริมฝีปาก อยากจะขยับเข้าไปใกล้หน้ากระจกแล้วมองอย่างละเอียดอีกครั้ง ทว่ากลับมีเสียงบางอย่างดังเข้ามาจากนอกประตู และยังมีเสียงเบานุ่มและอ่อนโยนทว่าสงบใจผู้คนได้ของพี่สาว โจวชูจิ่น “คุณหนูรองยังไม่ตื่นอีกหรือ เมื่อคืนนางหลับสบายดีหรือไม่ ได้พูดอะไรแปลกๆ อีกหรือเปล่า”  

 

 

“ไม่มีเจ้าค่ะ” เป็นเสียงตอบของแม่นมฝานหลิวซื่อของโจวเสาจิ่น “ธูปหอมคลายความเครียดที่ท่านผสมขึ้นมาเองนั้นใช้ได้ผลยิ่งนัก คุณหนูรองนอนหลับจนถึงฟ้าสว่าง ข้ากับซือเซียงเฝ้าอยู่ที่หน้าเตียงตลอด จนเห็นว่าฟ้าสว่างแล้วจึงเหลือชุนหว่านเอาไว้ แล้วกลับห้องมาล้างหน้าล้างตา”  

 

 

โจวเสาจิ่นออกมาจากห้องเล็กด้านข้างนั้นอย่างลุกลี้ลุกลน แล้วเอนตัวนอนลงบนเตียง  

 

 

มองเห็นเพียงผ้าม่านโยกไหวทีหนึ่ง โจวชูจิ่นก็เดินเข้ามาด้วยความช่วยเหลือจากฉือเซียงสาวใช้ผู้อ่อนน้อมถ่อมตน  

 

 

“ลำบากพวกเจ้าแล้ว!” นางกล่าว “เดี๋ยวให้แม่นมฝานไปเบิกเงินจากสมุดบัญชีมาห้าเหลี่ยง ถือเสียว่าเป็นค่าขนมที่ข้ามอบให้ทุกคน”  

 

 

ซือเซียงกล่าวขอบคุณเสียงเบาสองสามครั้ง  

 

 

โจวชูจิ่นเดินเข้ามา  

 

 

โจวเสาจิ่นหลับตาลงแสร้งทำเป็นหลับ  

 

 

โจวชูจิ่นไม่ได้สงสัยอะไร โน้มตัวลงไปแตะหน้าผากของโจวเสาจิ่นอย่างอ่อนโยน ยังกระชับผ้าห่มแนบลำตัวให้นาง หลังจากนั้นถอนหายใจทีหนึ่ง สั่งแม่นมฝานหลิวซื่อเสียงเบาว่า “เพราะว่าธูปหอมนี้ใช้ได้ผล ต่อจากนี้ไปยามคุณหนูรองเข้านอน พวกเจ้าก็จงจุดมันไว้ ข้าได้รับอนุญาตจากท่านยายแล้ว วันนี้จะเดินทางไปที่วัดฮุ่ยจี้ทางตอนใต้ของเมืองเสียหน่อย ได้ยินมาว่าน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ของท่านแม่ชีจิ้งฟาง ท่านเจ้าอาวาสวัดนั้นสามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายและรักษาโรคได้อย่างหายขาด ข้าจะไปทำพิธีให้คุณหนูรอง และขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พวกเจ้าทุกคนอยู่ในจวนดูแลคุณหนูรองให้ดี ห้ามให้เกิดเรื่องวุ่นอันใดขึ้นเป็นเด็ดขาด ข้าจะรีบกลับมาก่อนยามเซินเจิ้ง  [2]  หากว่ามีคนถามว่าทำไมช่วงสองวันนี้ไม่เห็นคุณหนูรอง เจ้าก็บอกไปว่าคุณหนูยังไม่หายดีจากไข้หวัด ไม่เหมาะจะออกไปข้างนอก เข้าใจหรือไม่” ตอนที่กล่าวถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของนางเคร่งเครียดขึ้นมาทันที  

 

 

“เจ้าค่ะ!” บรรดาสาวใช้เห็นสีหน้าของนาง ทุกคนล้วนรับคำสั่งด้วยความระมัดระวัง  

 

 

โจวชูจิ่นแตะที่หน้าผากของโจวเสาจิ่นอีกครั้ง แล้วค่อยออกจากห้องไป  

 

 

ขอบตาของโจวเสาจิ่นเปียกชุ่ม  

 

 

ท่านพ่อของนางมีนามว่าโจวเจิ้น เป็นผู้ประสบความสำเร็จผู้หนึ่ง เขาสอบผ่านขุนนางขั้นสูง จิ้นซื่อ ในปีปิ่งซวี รัชศกจื้อเต๋อที่เก้า สมัยที่ยังเป็นเด็กหนุ่มนั้นได้เข้าศึกษาที่สำนักของตระกูลเฉิงแห่งจินหลิงอันมีชื่อเสียง ด้วยหน้าตาที่โดดเด่น อยู่ในศีลธรรม มีพรสวรรค์และชาญฉลาด จึงได้รับการยกย่องจาก นายท่านใหญ่เฉิงอี๋ แห่งตระกูลเฉิงจวนรอง ที่เข้าศึกษาอยู่ที่สำนักศึกษาตระกูลเฉิงในเวลาเดียวกัน ผู้เป็นพ่อสื่อสนับสนุนญาติผู้น้องของตนเองที่เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเฉิง จวน สี่นามว่าเฉิงเฮ่อให้แต่งงานกับโจวเจิ้น  

 

 

เมื่อแต่งเข้ามาแล้วนางก็ตั้งครรภ์ ทว่าขณะคลอดลูกนั้นกลับมีภาวะเลือดออกมาก ทิ้งทารกน้อยที่ร้องไห้จ้าด้วยความหิวโหยไว้แล้วก็จากโลกนี้ไป  

 

 

เด็กสาวคนนี้ก็คือโจวชูจิ่น พี่สาวของโจวเสาจิ่นนั่นเอง  

 

 

หนึ่งปีให้หลัง โจวเจิ้นก็แต่งงานกับแม่ผู้ให้กำเนิดโจวเสาจิ่น นามว่าจวงเหลียงอวี้  

 

 

จวงเหลียงอวี้มาจากครอบครัวข้าราชการที่ล้มหายตายจากไปหมดแล้ว มารดาของนางเสียไปตั้งแต่นางยังเป็นเด็ก จึงเติบโตมากับย่าที่แก่ชรามากแล้ว ยามที่นางเข้าพิธีแต่งงานนั้นก็อายุเกินยี่สิบปีแล้ว นายจวงผู้เป็นบิดานั้นได้รับสืบทอดอักษรภาพมาจากบรรพบุรุษภาพหนึ่ง จำต้องยกให้นางนำติดตัวไปเป็นหนึ่งในยี่สิบสี่อย่างสินสมรสฝั่งเจ้าสาว  

 

 

โจวเจิ้นพึงพอใจเป็นอย่างมากกับการแต่งงานในครั้งนี้  

 

 

จวงเหลียงอวี้ไม่เพียงมีมารยาทงาม รู้จักวางตัวในสังคม ยังมีลักษณะที่อ่อนโยน มีความสามารถทางดนตรี เชี่ยวชาญทั้งการเขียนภาพและอักษร สนใจพวกหินมีค่าต่างๆ เป็นงานอดิเรก และด้วยว่าตนเองนั้นไม่มีมารดา จึงปฏิบัติต่อโจวชูจิ่นเสมือนกับบุตรในอุทรของตัวเอง ดูแลอย่างใส่ใจ เลี้ยงดูและสั่งสอนด้วยความเอาใจใส่ กล่าวได้ว่ายามอากาศหนาวก็คอยระวังเรื่องความเย็น ยามอากาศร้อนก็คอยระวังเรื่องถูกแดดแผดเผา ไม่ให้นางต้องเผชิญความโศกเศร้าใดๆ ทุกครั้งยามถึงเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง เทศกาลวันไหว้พระจันทร์ และวันตรุษจีนก็จะจัดเตรียมของขวัญต่างๆ แล้วพาโจวชูจิ่นกลับไปเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่ากวน ท่านยายของนางที่จวนตระกูลเฉิง อยู่คุยสัพเพเหระเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากวน ทำความเข้าใจความคิดของฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่มีต่อโจวชูจิ่น ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยกย่องจวงเหลียงอวี้ที่มีความสามารถและคุณธรรมเป็นอย่างมาก ให้ความโปรดปรานแก่นางอย่างไม่ปิดบัง ในวันตรุษจีนหรือเทศกาลต่างๆ ล้วนไม่ลืมที่จะให้ของขวัญแก่จวงเหลียงอวี้ ทุกคนในจวนตระกูลเฉิงเห็นเช่นนั้น ต่างก็ชื่นชอบจวงเหลียงอวี้ตามไปด้วย ปฏิบัติต่อนางด้วยความเคารพอย่างที่สุด  

 

 

โจวเจิ้นได้รับทั้งครอบครัวที่ดีราวกับดอกไม้งามและสหายสนิท ทั้งยังปกครองจวนด้วยคุณธรรมและความถูกต้อง ประคองจวงเหลียงอวี้ไว้ทั้งสองมือด้วยกลัวจะทำหล่น หรือเก็บไว้ในปากด้วยกลัวจะละลายหายไป ยามอ่านหนังสือสอบก็อ่านอย่างขยันขันแข่งยิ่ง มุ่งหวังสอบให้ได้ตำแหน่งขุนนางในราชสำนักให้จวงเหลียงอวี้ได้มียศศักดิ์ ให้จวงเหลียงอวี้สามารถอยู่ต่อหน้าผู้คนได้อย่างมีเกียรติ  

 

 

ทว่าเกรงว่าเรื่องดีมักอยู่ไม่ยืนยาว จวงเหลียงอวี้ยามให้กำเนิดโจวเสาจิ่นนั้นมีภาวะคลอดบุตรยาก ถึงแม้ว่าจะได้โสมร้อยปีที่ส่งมาจากตระกูลเฉิงช่วยไว้ ทว่าท้ายที่สุดแล้วกลับมีชีวิตต่อไปได้ไม่ถึงครึ่งปี นางผู้งดงามก็จากโลกนี้ไป  

 

 

โจวเจิ้นสะเทือนใจเป็นอย่างมาก ตัดสินใจไว้ทุกข์ให้จวงเหลียงอวี้เป็นเวลาสามปี  

 

 

ตระกูลโจวนั้นมีพื้นเพมาจากเมืองรื่อเจ้าแห่งซานตง ท่านปู่ของโจวเสาจิ่นเคยรับราชการเป็นเจ้าเมืองอยู่ที่จินหวา ได้เห็นความรุ่งเรืองของเจียงหนานแล้ว ก็ไม่อยากกลับบ้านเดิมอีก ปรารถนาจะตั้งรกรากอยู่ที่จินหลิง จึงไม่ได้ติดต่อกับบ้านเดิมมาเป็นเวลานานแล้ว เช่นเดียวกัน ท่านยายและบิดาของจวงเหลียงอวี้ก็ได้เสียชีวิตทีละคนตามกันไป ภายในบ้านมีเพียงลุงผู้ไม่เอาไหน ที่เอาแต่เที่ยวเล่นกินดื่มเหลืออยู่หนึ่งคนเท่านั้น โจวเจิ้นยังเป็นลูกโทน ไม่มีพี่น้องสักคน และเขาไม่แต่งงานใหม่ จะมีใครมาดูแลโจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นที่ยังเป็นเพียงทารก? โดยเฉพาะโจวชูจิ่นที่ถึงวัยต้องเรียนเขียนอ่านแล้ว จะมีใครมาสอนนางกัน?  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนคิดแล้วคิดอีก หลังจากที่ปรึกษากับโจวเจิ้นแล้ว จึงรับโจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นมาอยู่ที่จวนตระกูลเฉิง ให้การเลี้ยงดูอยู่ที่เรือนของตัวเอง  

 

 

โจวเสาจิ่นยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ทว่าโจวชูจิ่นที่อายุเจ็ดขวบกลับรู้สึกอย่างเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างว่า ถึงจวนตระกูลเฉิงจะดีกว่า แต่ก็ไม่ใช่บ้านของตัวเอง ถึงท่านยายจะดีแค่ไหน แต่ก็ไม่ใช่ท่านพ่อท่านแม่ของตัวเอง อากัปกิริยาของนางค่อยๆ มีบางส่วนที่ถอดแบบมาจากจวงเหลียงอวี้ เสมือนกับผู้ใหญ่ในร่างของเด็กผู้หนึ่ง คนในจวนตระกูลเฉิงที่ไม่รู้ความเป็นมานี้ จึงรู้สึกไปว่าโจวชูจิ่นนั้นถอดแบบมาจากบัณฑิตผู้เพียบพร้อม มีกลิ่นอายของมหาบัณฑิต จวงเหลียงอวี้เลี้ยงดูและสั่งสอนนางมาได้อย่างดีเยี่ยม  

 

 

โจวชูจิ่นยิ่งวางตัวมากยิ่งขึ้น ปฏิบัติต่อผู้ที่อยู่เหนือกว่าด้วยความเคารพนบนอบ ต่อผู้ที่อยู่ต่ำกว่าด้วยความอ่อนโยน และต่อลูกพี่ลูกน้องชายหญิงด้วยความสุภาพให้เกียรติ ไม่มีใครสักคนในจวนตระกูลเฉิงที่ไม่กล่าวยกย่องนาง ด้วยเหตุนี้แม้กระทั่งโจวเสาจิ่นยังได้รับความโปรดปรานจากคนในตระกูลเฉิงไปด้วย ทุกคนต่างเรียกขานนางอย่างให้เกียรติว่า ‘คุณหนูรอง’  

 

 

โจวเจิ้นเห็นว่าบุตรสาวมีผู้ดูแลแล้ว จึงพุ่งความสนใจทั้งหมดไว้ที่การเตรียมตัวสอบเข้าราชสำนัก  

 

 

ในปีที่สองหลังการจากไปของจวงเหลียงอวี้ เขาก็สำเร็จการสอบขุนนาง สอบผ่านเป็น จิ้นซื่อ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายอำเภอของผูเฉิงแห่งฝูเจี้ยน  

 

 

เวลานี้ คนที่พยายามจะหาคู่ให้โจวเจิ้นนั้นราวกับปลาที่แหวกว่ายข้ามแม่น้ำ  

 

 

ทว่าโจวเจิ้นกลับยึดมั่นในคำสัญญา ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวจากตระกูลสูงเพียงใด เขาก็เพียงแต่ปฏิเสธอย่างสุภาพทั้งหมด  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเห็นว่าฝูเจี้ยนนั้นช่างห่างไกล เด็กทั้งสองคนก็ยังเล็กนัก จะทนอยู่ในที่ห่างไกลเช่นนั้นได้อย่างไร นางจึงไหว้วานเฉิงอี๋ให้ไปพบโจวเจิ้นและออกหน้าพูดแทนว่านางต้องการให้เด็กทั้งสองอยู่ในความดูแลของตน  

 

 

โจวเจิ้นเองก็กำลังเป็นกังวลกับเรื่องนี้ คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่ากวนตรงกับความจำเป็นของเขาพอดี ทันทีที่ตอบรับแล้ว เขาก็ให้หม่าฟู่ซาน สองสามีภรรยา ช่วยเป็นธุระคอยดูแลเรื่องต่างๆ ของจวนตระกูลโจว และช่วยคอยสอดส่องดูแลสองสาวพี่น้องตระกูลโจว ส่วนตัวเขาเดินทางไปรับตำแหน่งพร้อมกับนำบ่าวรับใช้เก่าแก่สองคนและผู้ให้คำปรึกษาที่ตระกูลเฉิงแนะนำมาให้ไปด้วย  

 

 

รัชศกจื้อเต๋อที่สิบสี่ โจวเจิ้นได้เลื่อนขั้นไปปกครองอยู่ที่เมืองหนานชางแห่งเจียงซี  

 

 

เขาแต่งงานใหม่อีกครั้ง  

 

 

เขาเขียนจดหมายกลับไปที่จินหลิงด้วยประสงค์จะรับบุตรสาวทั้งสองคนมาที่หนานชาง  

 

 

เรื่องราวกว่าเจ็ดปี แม้แต่การเลี้ยงลูกสุนัขหรือลูกแมวสักตัวก็ยังเกิดความผูกพัน นับประสาอะไรกับเด็กสาวสองคนที่อ่อนเยาว์และงดงามราวกับดอกไม้และหยก ผู้ปรนนิบัติและมอบความสุขให้ในทุกๆ วัน ฮูหยินผู้เฒ่ากวนนึกขึ้นแล้วก็เจ็บปวดหัวใจราวกับหัวใจถูกควักออกมาอย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้ส่งโจวเสาจิ่นสองพี่น้องไป ทั้งกล่าวว่า “ชูจิ่นกำลังจะแต่งออกไปเป็นฮูหยินเอกให้กับตระกูลเลี่ยว ฮูหยินที่เพิ่งแต่งเข้ามาใหม่ผู้นั้นก็มาจากตระกูลพ่อค้า เกรงว่าตัวหนังสือก็อาจจะรู้เพียงไม่กี่คำ แล้วจะให้คำแนะนำสั่งสอนชูจิ่นและเสาจิ่นได้อย่างไร ให้พวกนางสองพี่น้องอยู่กับข้านี่แหละ! เช่นนี้แล้วในวันข้างหน้าก็จะเป็นการดีต่อเสาจิ่นยามถึงคราวต้องจับคู่ดูตัว”  

 

 

ในเวลานี้โจวชูจิ่นที่อายุได้สิบสี่ปีเติบโตขึ้นมาด้วยรูปโฉมงดงาม สุภาพเรียบร้อย เฉกเช่นเดียวกับดอกบัวที่โผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาอย่างสง่า งาม นายท่านใหญ่เฉิงจิงแห่งตระกูลเฉิงจวนหลักเป็น ผู้ทาบทามให้หมั้นหมายไปเป็นฮูหยินให้กับเลี่ยวเส้าถัง บุตรชายผู้สืบทอดตระกูลเลี่ยวแห่งเมืองเจิ้นเจียง ผู้ซึ่งเป็นขุนนางอยู่ในราชสำนักแห่งเจียงหนานเหมือนกัน ผ่านมาหลายปีก็ใกล้จะถึงเวลาต้องทำพิธีปักปิ่นแล้ว  

 

 

เพื่อเห็นแก่เรื่องการแต่งงานของลูกสาวทั้งสอง โจวเจิ้นจึงทำได้เพียงยอมโอนอ่อนผ่อนตาม  

 

 

โจวเสาจิ่นและพี่สาวจึงอยู่เช่นนี้ต่อไป กลายเป็นว่าอาศัยอยู่ที่จวนตระกูลเฉิงไปแล้วอีกสี่ปี  

 

 

กระทั่งโจวเสาจิ่นตื่นขึ้นจากการลื่นไถลตกลงมาจากบนหิน ลืมตาขึ้นมากลับพบว่าตนเองนั้นไม่เพียงกลับมาถึงเรือนสวนดอกไม้หอมที่เคยอาศัยอยู่ตอนเป็นเด็ก ลักษณะรูปร่างของตนเองก็เปลี่ยนกลับไปเป็นช่วงที่อายุสิบสองปีด้วย ทันใดนั้นก็ตกใจจนแทบสิ้นสติ รับรู้เพียงออกตามหาพี่สาวด้วยใบหน้าขาวซีด รอจนได้พบกับพี่สาว นางเองก็เปลี่ยนจากสตรีที่แต่งงานแล้วในวัยสามสิบ กลายมาเป็นดรุณีแรกแย้มคนหนึ่งที่อายุสิบเจ็ดสิบแปดปี เบื้องหน้านางดับวูบ และเป็นลมไป  

 

 

เมื่อนางได้สติตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ห้องก็ยังคงเป็นห้องเดิมห้องนั้น ตนเองก็ยังคงเป็นตนเองคนเดิมคนนั้น พี่สาวและแม่นมจับกลุ่มอยู่ข้างเตียง คนหนึ่งนั้นใบหน้าเต็มไปด้วยความเป็นกังวล อีกคนหนึ่งนั้นก็ร้องไห้จนดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ซือเซียงกับฉือเซียงยิ่งแล้วใหญ่ เดินไปเดินมาอย่างร้อนรน  

 

 

เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่  

 

 

นางหนีรอดมาจากเงื้อมมือของเฉิงลู่ได้อย่างไร  

 

 

ทำไมไม่ใช่นางที่กลับชาติมาเกิดใหม่ แต่เป็นการย้อนกลับมาตอนที่อายุสิบสองปี  

 

 

โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจ ตัวสั่นเล็กน้อย  

 

 

โจวชูจิ่นเพียงคิดว่าโจวเสาจิ่นฝันร้ายเลยทำให้นางตกใจกลัว จึงกอดนางไว้แล้วพูดปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไม่หยุด  

 

 

อ้อมกอดที่อบอุ่น คำพูดที่อ่อนโยน กลิ่นที่คุ้นเคย และยังความเชื่อใจที่มีต่อพี่สาว ทำให้จิตใจของโจวเสาจิ่นค่อยๆ สงบลง นางให้สาวใช้ในห้องออกไป ร้องไห้สะอึกสะอื้นเล่าเรื่องราวที่ได้พบเจอมาให้พี่สาวฟัง  

 

 

 

 

 

——  

 

 

[1]  ต้นอวี้ซื่อ แปลว่า ต้นบอนไซหยก  

 

 

[2]  ยามเซินเจิ้ง คือเวลาบ่ายสีโมง  

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset