ประตูทางเข้าและทางขึ้นบันไดตรงหน้าแน่นขนัดไปด้วยฝูงชน เห็นเพียงศีรษะของผู้คนเท่านั้น
โจวเสาจิ่นพูดอะไรไม่ออก
โชคดีที่ฮูหยินหวังไปหาวิธีแล้ว ไม่อย่างนั้นหากให้พวกนางเบียดเสียดขึ้นไปเช่นนี้ นางอาจไม่เป็นอะไร กลัวแต่ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะอึดอัดใจจนเป็นลมล้มพับไปได้
นางปล่อยผ้าม่านเกี้ยวลงอย่างเป็นกังวล ทันใดนั้นหางตาก็เหลือบไปเห็นเบื้องหลังสีเขียวอ่อนของคนผู้หนึ่ง
หลังกว้างผึ่งผายนั้น ดูคุ้นตายิ่งนัก
โจวเสาจิ่นเลิกผ้าม่านขึ้นมองไปอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
บริเวณตีนเขา มีบุรุษหลายคนกำลังเดินมุ่งหน้าขึ้นไปบนเขาพร้อมกับฝูงชน
บริเวณอื่นล้วนแน่นขนัดจนไม่อาจขยับได้ ทว่าพวกเขากลับเดินขึ้นไปได้อย่างราบรื่น
คนที่เดินอยู่ตรงกลางผู้นั้นสวมชุดจื๋อตัวผ้าไหมหังโจวสีเขียวอ่อน คาดเข็มขัดหยก คนที่อยู่ด้านซ้ายของเขาสวมชุดจื๋อตัวสีน้ำเงินไพลินลายเมฆมงคล รูปร่างสูงใหญ่ คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอจากที่ไหนมาก่อนเหมือนกัน คนที่อยู่ด้านขวาของเขาสวมชุดจื๋อตัวสีม่วงแดงลายค้างคาวห้าตัว ทั้งสูงและอ้วนท้วน เวลาเดินดูราวกับว่าไขมันกำลังกระเพื่อมไหวส่ายไปมาอยู่ก็ไม่ปาน มีชายฉกรรจ์ร่างกายแข็งแรงกำยำหลายคนแวดล้อมพวกเขาทั้งสามคนเอาไว้ หนึ่งในจำนวนนั้นมีคนรูปร่างผอมสูง สวมชุดจื๋อตัวเนื้อผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีน้ำตาล บริเวณเอวคาดเข็มขัดผ้าสีเดียวกันกับชุด ท่ามกลางฝูงชนแน่นขนัดนั้น เบื้องหลังนั้นแฝงความเย็นชาที่อธิบายไม่ได้อยู่หลายส่วน ดูเสมือนกับว่าเป็นคนแปลกหน้าที่บังเอิญพรวดพราดมาถึงตัวคนเหล่านั้นโดยไม่ได้ตั้งใจเท่านั้น
แต่โจวเสาจิ่นดูแล้วกลับรู้สึกว่าเหมือนไหวซานยิ่งนัก
“หรือว่าท่านน้าฉือกับสหายของเขาจะนัดเจอกันที่วัดหลิงอิ่น?” นางพึมพำกล่าวกับตัวเอง
หากท่านน้าฉือนัดคนมาเดินที่วัดหลิงอิ่นจริง ก็คงไม่สะดวกที่จะพาพวกนางมาด้วยจริงๆ เนื่องจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นผู้อาวุโส อย่างไรก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกังวลถึงความชอบของฮูหยินผู้เฒ่ากัว แต่ความชอบของผู้สูงอายุกับคนหนุ่มสาวนั้นก็ไม่เหมือนกันอีก
ที่แท้ท่านน้าฉือก็แอบออกมาเที่ยวเล่นนี่เอง!
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม ปล่อยผ้าม่านเกี้ยวลง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าวัดหลิงอิ่นเป็นมิตรขึ้นมาก คนก็รู้สึกคลายกังวลลงตามไปด้วย
วัดเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงล้วนไม่ต่างกันมาก หลังจากที่ได้เห็นวัดที่เขาผู่ถัวมาแล้ว พอได้มาเห็นวัดอื่นๆ จึงมีความรู้สึกประเภทหนึ่งที่ว่า ‘ปีนขึ้นเขาไท่ซานมองพื้นดินเบื้องล่าง[1]’
โจวเสาจิ่นติดตามฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปถวายธูปที่วิหารมหาเทพ จากนั้นฮูหยินหวังพาพวกนางไปที่ไปห้องเสี่ยงเซียมซีที่อยู่ข้างๆ
เบื้องหน้า เฉิงฉือกับคนกลุ่มหนึ่งเพิ่งจะก้าวลงบันไดไป
โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมาก
คนที่สวมชุดจื๋อตัวสีน้ำเงินไพลินลายเมฆมงคลผู้นั้นแท้จริงแล้วคือเซียวเจิ้นไห่คนที่นางเจอที่สะพานเจียงตงในวันนั้น
ส่วนคนอีกผู้หนึ่งนางไม่รู้จัก ขาวๆ อ้วนๆ ราวกับหมั่นโถวลูกหนึ่ง องคาพยพทั้งห้ายู่เข้าหากัน ทว่าสีผิวแดงเรื่อเปล่งปลั่งประหนึ่งทารกน้อย ผิวบอบบางยิ่งนัก
ไหวซานที่สวมชุดจื๋อตัวผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีน้ำตาลนั้นเอามือกอดอกเอาไว้ทั้งสองข้าง เดินตามหลังเฉิงฉือไปด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์
ทันใดนั้นสายตาของพวกเขาก็สบประสานเข้าหากันพอดี
นันย์ตาของไหวซานมีประกายสายหนึ่งวาบผ่าน ทว่าสีหน้าของเฉิงฉือกลับยังคงเดิมพลางคุยอะไรบางอย่างกับเซียวเจิ้นไห่ต่อ
ทันใดนั้นโจวเสาจิ่นก็รู้ได้ว่า เฉิงฉือไม่ต้องการให้คนเหล่านั้นรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเขา
นางสูดลมหายใจยาวครั้งหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ พยายามวางท่าทางให้นิ่งและเป็นปกติที่สุด ให้เหมือนกับบรรดาเด็กสาวที่เพิ่งก้าวเข้ามาเดินเล่นในงานวัดแล้วเพียงมองพวกเขาด้วยความอยากรู้เห็นเหล่านั้น พลางคว้าตัวชุนหว่านเอาไว้แน่น กระซิบเสียงเบาว่า “ห้ามส่งเสียง!” จากนั้นย้ายความสนใจไปที่ร่างของสตรีผู้หนึ่งที่กำลังใช้มือข้างหนึ่งถือจานขายผลหลี่หิมะ[2]อยู่ข้างๆ ยิ้มพลางถามนางด้วยภาษาทางการว่า “ผลหลี่หิมะนี้ลูกละเท่าไรหรือ”
“ลูกละสามเหวินเจ้าค่ะ!” สตรีผู้นั้นตอบ พลางเปิดผ้าสีฟ้าที่คลุมอยู่ออก หยิบผลหลี่หิมะลูกใหญ่และกลมให้โจวเสาจิ่นลูกหนึ่ง “คุณหนูจะซื้อสักลูกหรือไม่เจ้าคะ”
“ซื้อ” โจวเสาจิ่นเห็นชุนหว่านและคนอื่นๆ ต่างล้อมวงเข้ามา ไม่มีใครเหลือบสายตาไปมองเฉิงฉือ ถึงได้กล่าวขึ้นว่า “พวกเราเอาคนละลูก” ถือเสียว่าเป็นของรางวัลที่พวกนางเชื่อฟัง
เฉิงฉือเดินผ่านด้านข้างของพวกนาง
โจวเสาจิ่นได้ยินคนที่ชื่อเซียวเจิ้นไห่ผู้นั้นกล่าวขึ้นว่า “ยังคงเป็นเจียงหนานที่มีหญิงงาม! คิดไม่ถึงว่าการที่ข้าออกมาเดินเล่นโดยไม่ตั้งใจนี้ จะได้พบกับหญิงงามผู้หนึ่ง เสียดายที่สาวน้อยผู้นั้นแต่งกายงดงามหรูหรา โดยเฉพาะปิ่นปักผมไข่มุกบนศีรษะชิ้นนั้นเป็นไข่มุกจากทางใต้ที่หาได้ยากยิ่ง เห็นได้ชัดว่ามาจากตระกูลร่ำรวย หรือว่าจะไปสอบถามดูสักหน่อยว่าเป็นหญิงสาวจากตระกูลใดจะได้นำกลับไปเป็นหญิงอุ่นเตียงผู้หนึ่งก็ดีเหมือนกัน…”
คนขาวๆ อ้วนๆ ผู้นั้นยิ่งแล้วใหญ่ ถึงกับกล่าวขึ้นว่า “ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้น ส่งคนตามไปดูสักหน่อยก็ได้ทราบรายละเอียดแล้ว พี่ชายเซียวทั้งร่ำรวยและหล่อเหลา ขอเพียงมีความสนใจ หญิงสาวตระกูลใดบ้างจะไม่ยื่นมือเข้ามาฉวยเอาไว้…”
โจวเสาจิ่นขนลุกขนชัน
ถึงว่าท่านฉือไม่อยากให้คนพวกนั้นรู้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา ที่แท้ก็เป็นเพราะคนสองผู้นี้ต่างก็ไม่ใช่คนดีอะไรนี่เอง!
อย่างไรก็ตาม แล้วท่านน้าฉือไปอยู่กับคนประเภทนี้ได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดพิจารณาอยู่ในใจ พลางดึงมือชุนหว่านมุ่งหน้าวิ่งไปยังห้องข้างวิหาร
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังลุกขึ้นมาโดยมีฮูหยินหวังช่วยพยุงอยู่หน้าโต๊ะของพระอาวุโส เห็นสีหน้าของโจวเสาจิ่นซีดเผือด จึงขมวดคิ้วมุ่นน้อยๆ อย่างอดไม่ได้ พลางถามขึ้นว่า “ไปเจอใครทำอะไรเจ้าอย่างไม่ให้เกียรติมาหรือเปล่า”
ขณะที่นางกล่าว ก็ชำเลืองมองจี๋อิ๋งที่ติดตามอยู่ด้านหลังนางอย่างใกล้ชิดครั้งหนึ่ง
จี๋อิ๋งผู้บริสุทธิ์ แล้วก็ไม่มีทางเลือกด้วย นางลอบพึมพำอยู่ในใจ เป็นเฉิงจื่อชวนที่บอกให้ข้าคอยติดตามท่านไม่ให้ห่างแต่ก้าวเดียว…อีกอย่างข้าคนเดียวจะคอยสอดส่องโจวเสาจิ่นอีกคนได้หรือ…
“เปล่าเจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นรีบก้าวเข้าไปคล้องแขนของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้ พลางกล่าว “ข้าเห็นมีกลุ่มอันธพาลปะทะกันอยู่ด้านนอก ก็เลยรีบวิ่งเข้ามาเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีสีหน้าขุ่นเคืองเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “งานวัดใหญ่โตถึงเพียงนี้ ไม่ใช่ว่าทางการควรจะส่งคนมาเดินลาดตระเวนเอาไว้หรอกหรือ เหตุใดถึงปล่อยให้อันธพาลพวกนั้นเข้ามาได้”
ฮูหยินหวังรีบกล่าว “ปีที่ผ่านมาล้วนมีคนคอยกำกับดูแลอยู่เจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าปีนี้เกิดอะไรขึ้น ข้าจะไปดูสักหน่อยก็แล้วกันเจ้าค่ะ!”
“ไม่ต้องๆ” หากฮูหยินหวังได้พบกับเฉิงฉือ จะต้องก้าวออกไปทักทายเป็นแน่ เช่นนั้นเรื่องที่ท่านน้าฉือกับสหายมาจุดธูปที่วัดหลิงอิ่นคงจะปิดเอาไว้ไม่อยู่เสียแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวต้องไม่ชอบใจอย่างแน่นอน โจวเสาจิ่นหันไปโบกมือให้ฮูหยินหวังพลางกล่าว “ตอนที่ข้าเข้ามาข้าเห็นมีคนจากทางการมุ่งหน้าไปทางนั้นแล้ว ด้วยเหตุนี้ถึงได้หลบออกมา บัณฑิตไม่ยืนอยู่ใต้กำแพงที่เสี่ยงอันตราย [3] จะได้หลีกเลี่ยงการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องยุ่งยากโดยไม่ตั้งใจได้”
บัณฑิตไม่ยืนอยู่ใต้กำแพงที่เสี่ยงอันตรายอะไรกัน ขี้ขลาดกลัวว่าจะมีเรื่องมากกว่ากระมัง
ฮูหยินหวังไม่ค่อยเห็นด้วยอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ากลับแสดงออกว่าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ขานรับยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่อยากให้เกิดเหตุไม่พึงประสงค์ขึ้น จึงสั่งการสื่อมามาว่า “เจ้าไปดูหน่อย หากคนพวกนั้นไปไกลแล้ว พวกเราจะได้ออกเดินทางไปที่ทะเลสาบซีหู! ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยฝูงชน จากสถานการณ์เช่นนี้ หากพวกเราไปให้ถึงทะเลสาบซีหูให้ทันก่อนพลบค่ำได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”
โจวเสาจิ่นอยากจะถ่วงเวลาให้เฉิงฉืออีกสักเล็กน้อย จึงกล่าวกับสื่อมามายิ้มๆ ว่า “หมัวมัวออกไปช่วยเรียกปี้เถาเข้ามาให้ข้าด้วยนะเจ้าคะ เมื่อครู่ข้าให้นางไปซื้อผลหลี่ทว่าลืมให้เงินนางไปด้วย”
สื่อมามาขานรับยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” แล้วออกจากห้องข้างไป
ไม่นาน ปี้เถาและสาวใช้เด็กอีกหลายคนก็ถือผลหลี่เดินเข้ามา
โจวเสาจิ่นจึงให้ปี้เถานำผลหลี่ไปวางไว้ในเกี้ยวของฮูหยินผู้เฒ่ากัว กล่าวว่า “ไม่คิดว่าอากาศจะร้อนถึงเพียงนี้ อากาศก็ไม่ค่อยดีนัก ไม่รู้ว่าผลหลี่นี้จะอร่อยหรือไม่ ทว่ากลิ่นหอมยิ่งนัก หากท่านรู้สึกแน่นหน้าอก ลองดมผลหลี่นี้ดูนะเจ้าคะ”
“ยังคงเป็นเจ้าที่รอบคอบ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็ดีใจยิ่งนัก
สื่อมามาเดินเข้ามา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเดินรอบๆ วิหารไปรอบหนึ่ง ไม่เห็นอันธพาลพวกนั้นแล้ว คงถูกทางการจัดการไปแล้วเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นเบาใจลง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าอย่างพึงพอใจ กล่าวขึ้นว่า “นี่ถึงจะเรียกว่ามีพ่อเมืองปกครองอยู่!” เดินออกจากห้องข้างโดยมีโจวเสาจิ่นช่วยประคอง มุ่งหน้าไปยังถนนเซียงอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ
เกี้ยวของร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่กำลังจอดรอพวกนางอยู่บริเวณหน้าประตูพระจันทร์ที่อยู่ไม่ไกล
ฮูหยินหวังกล่าวยิ้มๆ ว่า “ปีๆ หนึ่งบริจาคเงินให้พวกเขาไปตั้งหลายร้อยเหลี่ยง หากความสะดวกเล็กน้อยเพียงนี้ยังกระทำให้ไม่ได้ เช่นนั้นต่อไปใครจะเชื่อในธูปเทียนของพวกเขาอีก!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะโดยไม่ได้ออกความเห็นอะไร
ทุกคนออกจากวัดหลิงอิ่นพร้อมกัน
ที่ทะเลสาบซีหูก็เต็มไปด้วยฝูงชนเช่นกัน กว่าจะหาเรือสำราญที่ฉินจื่อผิงจัดเตรียมเอาไว้จนเจอได้ ดวงอาทิตย์ก็เคลื่อนต่ำลงไปทางฟากตะวักตกอย่างที่คาดเอาไว้พอดี
ฮูหยินหวังประจบประแจงฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่หยุดว่า “ยังคงเป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าที่มากด้วยประสบการณ์ ถึงแม้จะเป็นการมาเมืองหังโจวเป็นครั้งแรก แต่เพียงแค่มองสภาพการณ์บนท้องถนนก็คาดเดาได้ถูกต้องไปกว่าเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว ข้ามีอายุมากว่าสี่สิบปี และก็เป็นย่าคนแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเมื่อใดถึงจะมีวิสัยทัศน์ได้อย่างฮูหยินผู้เฒ่า…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า ยกผลหลี่ในมือขึ้นมาดมไม่หยุด เห็นได้ชัดว่า พึงพอใจกับความคิดนี้ของโจวเสาจิ่นเป็นอย่างมาก
ฉินจื่อผิงและบ่าวรับใช้อีกหลายคนต้อนรับฮูหยินผู้เฒ่ากัวขึ้นเรือ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นว่าบ่าวรับใช้เหล่านั้นไม่คุ้นหน้ายิ่งนัก กระทำอะไรก็หยาบกระด้าง จึงถามขึ้นว่า “คนเหล่านี้มาจากที่ใดหรือ”
ฉินจื่อผิงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เดิมทีเป็นคนที่รับใช้อยู่บนเรือลำนี้ ข้ากลัวว่าคนจะไม่พอ จึงให้อยู่เป็นผู้ช่วยของสาวใช้บนเรือชั่วคราวขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า เดินนำโจวเสาจินเข้าไปนั่งตรงกลางเรือ
เรือสำราญลำนี้ไม่เหมือนกับเรือสำราญที่พวกนางนั่งมาจากจินหลิง เรือสำราญลำนี้หรูหรากว่า พื้นกระดานไม้สีแดงเลื่อม โคมไฟผ้าไหมสีเหลือง เบาะรองนั่งผ้าไหมสีแดงส้ม จอกชาหลากสี กระถางธูปลายเส้นเคลือบ…ไม่เหมือนกับของที่คนทั่วไปใช้กัน
ฉินจื่อผิงกล่าวอธิบายยิ้มๆ ว่า “นี่เป็นเรือสำราญของนายท่านที่ร่ำรวยที่สุดในเจียงหนาน พอได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่ามา จึงตั้งใจส่งมาให้เป็นการเฉพาะขอรับ”
สามีและบุตรชายของฮูหยินผู้เฒ่าเป็นขุนนางระดับสูงอยู่ในราชสำนัก การประจบประแจงลักษณะนี้ไม่รู้ว่าได้พบเห็นมาแล้วเท่าไร
นางนั่งลงบนตั่งหลัวฮั่นอย่างไม่ให้ความสนใจนัก
เรือค่อยๆ เคลื่อนตัวออก
เริ่มแรกโจวเสาจิ่นยังไม่รู้สึกตัว เข้าใจว่าเป็นเรือลำข้างๆ กำลังจะออกจากท่า กระทั่งภาพทิวทัศน์นอกหน้าต่างเปลี่ยนเป็นภาพภูเขาสีเขียวอ่อนและน้ำสีมรกต นางถึงรู้สึกตัว กล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือยังไม่ได้ขึ้นเรือเลยนี่นา! พวกเราไม่รอท่านน้าฉือก่อนหรือ”
“นายท่านสี่จะขึ้นเรือที่เจดีย์เหลยเฟิงขอรับ” ฉินจื่อผิงกล่าวยิ้มๆ “เขาสั่งให้ข้าพาฮูหยินผู้เฒ่าและคุณหนูรองไปชมทิวทัศน์ของทะเลสาบซีหูก่อน” อธิบายต่อว่า “ทะเลสาบซีหูนี้ไม่รู้ว่านายท่านสี่เคยมาแล้วตั้งกี่ครั้งขอรับ”
จากความหมายของคำพูดดังกล่าวคือต้องการสื่อว่าเบื่อทิวทัศน์โดยรอบของทะเลสาบซีหูแล้ว
แต่โจวเสาจิ่นกลับไม่ค่อยเชื่อคำพูดของฉินจื่อผิงนัก
นางคิดว่าเป็นเพราะเฉิงฉือต้องอยู่เป็นเพื่อนสหายของเขา จึงไม่อาจเร่งมาให้ถึงท่าเรือทะเลสาบซีหูเพื่อออกเรือพร้อมกับพวกนางได้ทัน ด้วยเหตุนี้จึงเลือกที่จะขึ้นเรือที่เจดีย์เหลยเฟิงแทน
เห็นได้ชัดว่าสหายของท่านน้าฉือเหล่านี้ไม่ใช่คนดีอะไร!
ถ้าเป็นสหายที่ดี วันนี้เป็นเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ ก็น่าจะปล่อยให้ท่านน้าฉือกลับมาอยู่เป็นเพื่อนคนในครอบครัวให้ไวขึ้นสักหน่อยถึงจะถูก
แน่นอนว่าโจวเสาจิ่นไม่อาจเปิดโปงเฉิงฉือได้ ขณะที่นางตำหนิอยู่ในใจนั้น ก็เกิดความกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะเคืองโกรธด้วยเรื่องนี้ จึงยิ้มร่าพลางเข้าไปคุยเล่นกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ดูเหมือนว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติอะไร ยิ้มตาหยีคุยกับโจวเสาจิ่น
สามก้าวเป็นหนึ่งทิวทัศน์ อีกสิบก้าวก็เข้าสู่อีกหนึ่งภาพวาด
ทิวทัศน์ของทะเลสาบซีหูช่างสมกับคำร่ำลือ ทว่าตอนที่โจวเสาจิ่นได้ยินฮูหยินหวังกล่าวว่าทิวทัศน์เหล่านี้ล้วนเป็นฝีมือของคน ชั่วขณะนั้นความสนใจของโจวเสาจิ่นก็ลดน้อยลง เริ่มหวนคิดถึงความยิ่งใหญ่ตระการตาของจิงเฉิงขึ้นมา
ไม่ง่ายเลยกว่าเรือจะแล่นมาถึงเจดีย์เหลยเฟิง ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว
ฮูหยินหวังถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่าต้องการขึ้นฝั่งไปหยิบอิฐเอากลับจินหลิงไปด้วยสักสองสามก้อนหรือไม่
ทุกคนต่างไม่เข้าใจ
ฮูหยินหวังกล่าวยิ้มๆ ว่า “รัชสมัยก่อนมีสตรีผู้หนึ่งนานแล้วก็ไม่มีบุตร ขอพรพระมาทุกที่ก็ไม่สัมฤทธิ์ผล ปรากฏว่ามีอยู่วันหนึ่งมาเสี่ยงเซียมซีที่วัดหลิงอิ่น ในใบเซียมซีบอกไว้ว่าเมื่อออกจากวัดหลิงอิ่น ถ้าเจออะไรก็ให้นางกราบไว้บูชาของสิ่งนั้น ใครจะรู้ว่าสิ่งที่สตรีผู้นั้นเห็นยามออกมาจากวัดจะเป็นเจดีย์เหลยเฟิง แต่ครอบครัวของนางยากจน จะมีเงินทองไปบูชาเจดีย์หนึ่งองค์ได้อย่างไร สตรีผู้นั้นคิดหาวิธีกว่าครึ่งค่อนวัน สุดท้ายอุ้มอิฐก้อนหนึ่งกลับไปบูชาบนหิ้งพระ แล้วกราบไหว้ทุกวันทุกคืน ผลปรากฏว่าไม่นานนางก็ให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งคน หลังจากที่เรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกมา จึงมักจะมีสตรีในเมืองหังโจวแอบไปอุ้มอิฐที่เจดีย์เหลยเฟิงในเวลากลางคืนกลับไปกราบไหว้บูชา…ว่ากันว่าขอบุตรศักดิสิทธิ์ยิ่งนักเจ้าค่ะ”
…………………………………………………………..
[1] ปีนขึ้นเขาไท่ซานมองพื้นดินเบื้องล่าง (登泰山而小天下) เปรียบเปรยถึงคนที่มีประสบการณ์และมุมมองที่กว้างไกล จะเห็นสิ่งต่างๆ ได้รอบด้านและกว้างขึ้น
[2] ผลหลี่หิมะ คือสาลี่หิมะ
[3] บัณฑิตไม่ยืนอยู่ใต้กำแพงที่เสี่ยงอันตราย เปรียบเปรยถึงการอยู่ให้ห่างจากเรื่องที่เสี่ยงอันตราย หรือเมื่อค้นพบว่ามีอันตรายก็ควรจะรีบถอยออกมาให้ห่าง
Related