ฮูหยินซ่งทราบว่าฮูหยินผู้เฒ่าเบื้องหน้าผู้นี้คือมารดาของเฉิงจิง ผู้เป็นที่ปรึกษาประจำพระที่นั่งเหวินหวา เจ้ากรมพิธีการคนใหม่ นางจึงกระตือรือร้นยิ่งนัก ไม่เพียงยิ้มแย้มแจ่มใส คำพูดและการกระทำยังเผยความเป็นมิตรออกมาอย่างล้นเหลือ “เนื่องจากข้าเป็นคนหน้าหนาผู้หนึ่ง เช่นนั้นข้าจึงไม่เกรงใจฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว วันใดที่ฮูหยินผู้เฒ่ามีเวลาว่าง จะต้องไปเที่ยวเมืองหลวงนะเจ้าคะ ข้าจะได้เป็นเจ้าบ้านต้อนรับได้อย่างเต็มที่” จากนั้นถอดกำไลเกลียวทองคำที่มือออกเพื่อมอบให้โจวเสาจิ่น “ไม่รู้ว่าจะได้พบคุณหนูรองที่นี่ ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากข้า ขอคุณหนูรองอย่าได้ปฏิเสธ”
นี่เป็นการพบปะกันระหว่างสองครอบครัว โจวเสาจิ่นจึงไม่อาจบ่ายเบี่ยง ทำให้ผู้อื่นคิดว่าตระกูลเฉิงไม่มีวิสัยทัศน์ได้
นางก้าวออกไปกล่าวขอบคุณอย่างยิ้มแย้ม รับกำไลข้อมือมาแล้วยื่นส่งให้ชุนหว่านที่อยู่ข้างๆ
ฮูหยินซ่งผู้นั้นก็เป็นคุณหนูจากตระกูลบัณฑิตที่สืบทอดต่อกันมา เพียงแต่ว่าพอมาถึงรุ่นของนางนี้ก็สู้ไม่ได้กับเมื่อก่อนแล้ว ถึงแม้ต่อมาจะแต่งให้กับซ่งจิ่นหราน และได้ติดตามไปอยู่ที่จิงเฉิง แต่เวลาส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นการดูแลงานบ้านอยู่แต่ในห้องหอ ประสบการณ์ถือว่ายังจำกัดนัก โจวเสาจิ่นมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น อีกทั้งไม่มีความใจแคบ ในสายตาของฮูหยินซ่งแล้ว นี่ต่างหากถึงจะเป็นลักษณะของบุตรสาวจากครอบครัวในอุดมคติอย่างแท้จริง จึงชื่นชอบยิ่งนักอย่างห้ามไม่อยู่ หลังจากรับประทานมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนที่ทุกคนต่างก็ย้ายไปนั่งดื่มชาที่ห้องรับรองนั้น นางดึงโจวเสาจิ่นไปสอบถามไม่หยุด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นคนฉลาด ฟังจากน้ำเสียงของบุตรชายคนเล็กแล้ว หยวนเหวยชางกับซ่งจิ่งหรานนั้นไม่ค่อยสนิทสนมกันนัก บุตรชายคนโตอย่างเฉิงจิงเพิ่งเข้าไปในราชสำนัก ลำดับอาวุโสจึงต่ำสุด จะสนับสนุนตระกูลหยวนต่อไปหรือจะหาประโยชน์ระหว่างหยวนเหวยชางและซ่งจิ่งหรานดีนั้น หากพูดกันในเวลานี้ยังถือว่าเร็วไปสักหน่อย การปฏิบัติต่อฮูหยินซ่งที่เห็นได้ชัดว่าเบาะแสยังไม่ค่อยชัดเจนผู้นี้อย่างสนิทสนมเกินไปถือว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่ควรสนิทสนมมากเกินไป ดังนั้นสำหรับคำถามของฮูหยินซ่งเหล่านั้น บางอย่างนางก็เก็บไว้ไม่ตอบ
ฮูหยินซ่งได้ยินว่าโจวเสาจิ่นกับตระกูลเฉิงเป็นญาติผ่านการดองกัน ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าโจวเสาจิ่นคัดอักษรได้ดี จึงเชิญให้โจวเสาจิ่นช่วยคัดพระธรรม ‘ศูรางคมสูตร’ ให้หนึ่งบท นำไปถวายที่เขาผู่ถัว ฮูหยินซ่งอดอัศจรรย์ใจไม่ได้ ฮูหยินซ่งรู้จักเพียงชื่อของตัวเองเท่านั้น นางจึงอดไม่ได้ที่จะหยั่งเชิงถามเรื่องแต่งงานของโจวเสาจิ่นขึ้นมา
ถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน ทว่ารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องของสามัญสำนึก แต่สำหรับสหายเก่าแก่ที่ฮูหยินซ่งเอ่ยถึงนั้นกลับไม่รู้สึกสนใจเลยแม้แต่นิดเดียว
ฮูหยินซ่งผู้นี้ยังขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าสหายเก่าแก่ของนางผู้นั้นก็คงจะไม่ต่างกันเท่าไร!
ดังนั้นหลังจากดื่มชาเสร็จแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงไล่โจวเสาจิ่นกลับไปคัดพระธรรมที่ห้อง “อีกสองวันพวกเราอาจจะพักที่ซูโจว ที่ซูโจวก็มีวัดเลื่องชื่อมากมาย ถึงเวลานั้นคงจะต้องไปกราบไหว้สักหน่อย”
โจวเสาจิ่นเพียงไม่ค่อยรอบคอบเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ พอฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยนางก็เข้าใจความหมายของฮูหยินผู้เฒ่าได้ในทันที นอกจากนี้นางก็ไม่ค่อยชอบเรื่องการจับคู่อย่างที่ฮูหยินซ่งกล่าวถึงสักเท่าไร นางคิดว่าชีวิตในชาตินี้หากต้องแต่งงานกับใคร ก็ต้องเป็นการแต่งงานที่บิดาและพี่สาวเห็นดีด้วยถึงจะถูก
ชาติก่อน ทุกครั้งที่ถึงวันขึ้นปีใหม่ นางมักจะอิจฉาบรรดาคนที่ได้กลับบ้านเดิมของภรรยาพร้อมกับสามี จากนั้นสองสามีภรรยาก็นั่งล้อมวงกันกินเลี้ยงกับญาติพี่น้องของบ้านภรรยา
นางยิ้มพลางขานรับว่า “เจ้าค่ะ” แล้วพาบ่าวรับใช้กลับไปที่ห้องปีกตะวันออก
ชุนหว่านช่วยฝนหมึกให้โจวเสาจิ่นอย่างหดหู่
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปพักผ่อนเถิด! ฮูหยินผู้เฒ่าเพียงกล่าวกับฮูหยินซ่งไปเป็นพิธีเท่านั้น เหตุใดเจ้าถึงถือเอามาถือเป็นจริงเป็นจังได้!”
“อา!” ชุนหว่านเบิกดวงตาโพลง กล่าวขึ้นว่า “จริงหรือเจ้าคะ แต่ข้าดูท่าทางของฮูหยินผู้เฒ่าแล้วไม่เหมือนกับพูดเล่นเลยนะเจ้าคะ…”
“หากแม้แต่เจ้ายังดูออกว่าเป็นข้ออ้างของฮูหยินผู้เฒ่า เช่นนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจะปิดฮูหยินซ่งไว้ได้อย่างไร” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “เจ้าเชื่อข้าเถอะว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นอน ไปพักผ่อนเถิด!”
“น่าแปลกจริงๆ!” ชุนหว่านพึมพำขณะถอยออกไป “ตั้งแต่เมื่อใดกันที่แม้แต่ความคิดในใจของฮูหยินผู้เฒ่า คุณหนูรองก็มองออกแล้ว…”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ชะงักอย่างห้ามไม่อยู่
จริงด้วย!
ตั้งแต่เมื่อใดกันที่นางฟังเข้าใจแม้กระทั่งคำพูดอ้อมๆ ของฮูหยินผู้เฒ่า…โจวเสาจิ่นที่แอบอยู่ใต้ผ้าห่มด้วยอาการสั่นกลัวแล้วผลักเรื่องยากลำบากทุกอย่างไปให้พี่สาวเป็นคนจัดการผู้นั้น พอคิดขึ้นมาอย่างกะทันหันในตอนนี้แล้วเปลี่ยนไปมากจริงๆ…
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางยื่นมือไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งบนชั้นวางของตกแต่งมีค่ามาพลิกดู
หนังสือเล่มนั้นเป็นหนังสือเชิดชูคุณงามความดีของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ค่อนข้างมีอายุเก่าแก่แล้ว นางพลิกไปพลิกมา แต่อ่านต่อไปไม่ไหวจริงๆ
ฝานหลิวซื่อยิ้มตาหยีขณะเดินเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง แม่นางจี๋อิ๋งมาหาเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นกำลังรู้สึกเบื่อๆ พอดี จึงรีบออกไปต้อนรับ
จี๋อิ๋งสวมเสื้อคอป้ายกับกางเกงของบุรุษ จะลากนางไปเล่นที่หาดทรายข้างแม่น้ำเฉียนถัง “…สถานที่ที่นายท่านสี่หามานี้ดีจริงๆ รอข้าไปซูโจวแล้ว คงทำอะไรไม่สะดวกเช่นนี้อีกแล้ว เจ้าบอกว่าอยากถอดถุงเท้าแล้วเดินเท้าเปล่าบนหาดทรายมิใช่หรือ พวกเราใช้โอกาสที่ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังมีแขกและนายท่านสี่กำลังพักผ่อนนี้ไปเล่นครู่เดียวก็กลับมาแล้ว”
โจวเสาจิ่นอยู่ในกฎระเบียบจนชินเสียแล้ว ถึงแม้ช่วงนี้จะทำตัวสบายๆ กว่าตอนอยู่ที่ซอยจิ่วหรู แต่บางอย่างก็ยังติดเป็นนิสัยอยู่ พอได้ยินก็ใจเต้นตึกตัก กล่าวอย่างลังเลว่า “เช่นนี้ไม่ค่อยดีกระมัง! พวกเราน่าจะไปบอกท่านน้าฉือสักหน่อย”
ในความรู้สึกของนางแล้ว เฉิงฉือพูดง่ายกว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัว
จี๋อิ๋งกลับเห็นต่าง กล่าวขึ้นว่า “ให้ไปบอกนายท่านสี่ไม่สู้ไปบอกฮูหยินผู้เฒ่าดีกว่า! ข้าดูแล้วฮูหยินผู้เฒ่าปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างมีเมตตา อีกทั้งยังเป็นมิตร เหตุใดนายท่านสี่ถึงไม่เหมือนฮูหยินผู้เฒ่าเลยแม้แต่นิดเดียว!”
ตามหลักแล้ว พวกนางจะออกไปข้างนอกควรจะไปบอกฮูหยินผู้เฒ่า
โจวเสาจิ่นกล่าว “หรือไม่ เจ้าไปบอกฮูหยินผู้เฒ่าสักหน่อยดีหรือไม่”
จี๋อิ๋งดันตัวโจวเสาจิ่น “หากเจ้าพูดกับนายท่านสี่ได้ ยังต้องให้ข้าไปทำขายหน้าต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าอีกเพื่ออันใด”
โจวเสาจิ่นยกยิ้มที่มุมปาก แล้วไปหาเฉิงฉือ
เฉิงฉือกำลังกำลังอ่านตำราการเล่นหมากล้อมอยู่ลำพัง พอทราบเจตนาของนางแล้วไม่เพียงอนุญาตให้นางไปเล่นที่หาดทรายริมแม่น้ำเฉียนถังกับจี๋อิ๋งเท่านั้น ยังสั่งให้ฉินจื่อผิงตามไปด้วย กล่าวขึ้นว่า “หากฮูหยินผู้เฒ่าถามขึ้นมา เจ้าก็บอกไปว่าเป็นข้าที่ให้เจ้าไป”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ดีใจจนเกือบจะกระโดดตัวลอยขึ้นมา กล่าวขอบคุณเฉิงฉือไม่หยุด ระหว่างทางที่เดินไปหาดทรายยังถามจี๋อิ๋งว่า “ท่านน้าฉือไม่มีคนที่เขาปรารถนาจะประจบประแจงที่สุดบ้างเลยหรือ ข้ากลับไปจะได้ปักรูปองค์กวนอิมให้เขาผืนหนึ่ง เขาจะได้เอาไปใช้เป็นของขวัญวันเกิดให้ผู้อื่นหรือไม่ก็ใช้ในยามไปสู่ขอภรรยาได้”
ชุนหว่านเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง รีบกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง ข้าจะช่วยแยกเส้นด้ายให้ท่านเองเจ้าค่ะ!”
จี๋อิ๋งเกลียดที่เหล็กไม่กลายเป็นเหล็กกล้า[1]เสียที กล่าวขึ้นอย่างดูแคลนว่า “นายท่านสี่ก็เพียงอนุญาตให้พวกเจ้าไปเล่นครู่หนึ่งเท่านั้นมิใช่หรือ มันควรค่าหรือที่พวกเจ้าต้องซาบซึ้งในบุญคุณเขาเสมือนซาบซึ้งในบุญคุณของบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเช่นนี้ ยังจะปักภาพองค์กวนอิมอะไรนั่นให้เขาอีก ข้าว่าพวกเจ้าซื้อขนมอะไรสักอย่างระหว่างทางไปให้เขาก็พอแล้ว ไม่ต้องเอาอกเอาใจถึงเพียงนั้นก็ได้กระมัง”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วกลับพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเป็นจริงเป็นจัง กล่าวขึ้นว่า “ข้าคิดว่าขนมก็ควรซื้อไปให้ด้วยสักสองกล่อง ภาพองค์กวนอิมก็ควรปักให้ด้วยผืนหนึ่ง” นางกล่าวจบก็หันไปถามฉินจื่อผิงที่เดินตามหลังพวกนางอยู่ไกลๆ ว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่านายท่านสี่ชอบกินขนมอะไร พวกเราจะได้ฝึกทำตามบ้าง!”
จี๋อิ๋งลากโจวเสาจิ่นไปด้วยความขุ่นเคือง “เจ้ามีพัฒนาการหน่อยได้หรือไม่!”
“มีพัฒนาการกับทำขนมให้ท่านน้าฉือมีตรงส่วนไหนที่ทำร่วมกันไม่ได้อย่างนั้นหรือ” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างไม่เข้าใจ
จี๋อิ๋งพูดไม่ออก
ฉินจื่อผิงอดทนอย่างหนักถึงไม่ปล่อยเสียงหัวเราะคิกออกมา
ที่ผ่านมาจี๋อิ๋งมักจะเงียบขรึมมาโดยตลอด แต่ตั้งแต่ได้พบกับโจวเสาจิ่น กลับกลายเป็นยิ่งอยู่ก็ยิ่งเปิดเผย มีชีวิตชีวา และกระตือรือร้นมากขึ้น ค่อยๆ เหมือนกับคำบอกเล่าเกี่ยวกับ ‘คุณหนูใหญ่ตระกูลจี้’ ของเจียงหูขึ้นมาเล็กน้อย
ฉินจื่อผิงกล่าวเสียงอบอุ่นว่า “นายท่านสี่กินได้ทุกอย่าง ขอเพียงทำให้อร่อยก็พอขอรับ”
โจวเสาจิ่นขมวดคิ้วมุ่นพลางกล่าว “นี่เป็นเรื่องที่ยากที่สุดแล้ว! อะไรจะอร่อยนั้น ทุกคนต่างก็มีความชอบของตัวเอง เจ้ายกตัวอย่างสักตัวอย่างไม่ได้หรือ อย่างเช่นชอบกินขนมแป้งกรอบ ชอบกลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวา เป็นต้น…”
ฉินจื่อผิงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ที่ท่านกล่าวมานี้ข้าไม่ทราบจริงๆ ต่อไปข้าจะสังเกตดูขอรับ”
โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกว่าที่ฉินจื่อผิงได้มาเป็นพ่อบ้านตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล
นางยิ้มพลางหันไปกล่าวขอบคุณฉินจื่อผิง แล้วเดินไปหาดทรายพร้อมกับจี๋อิ๋งและคนอื่นๆ ต่อ
แม่น้ำที่มีคลื่นยักษ์เดือดพล่านเมื่อช่วงเช้านั้นตอนนี้กลับค่อยๆ เคลื่อนตัวมากระทบฝั่งอย่างอ่อนโยน
โจวเสาจิ่นมองไปรอบๆ ทั้งสี่ด้าน เห็นฉินจื่อผิงพาบ่าวชายเด็กอีกสองสามคนนั่งเฝ้าอยู่บนฝั่ง นอกจากพวกเขาสองสามคนแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีก ถึงได้วางใจลงมา ถอดรองเท้าแล้วย่ำลงบนพื้นทราย
คลื่นน้ำโถมตัวเข้ามา โจวเสาจิ่นวิ่งหนีไปบนฝั่งแต่ก็หลบไม่พ้น ถูกคลื่นชัดจนกระโปรงเปียก
ความเย็นของน้ำซึมเข้าไปในถุงเท้าของนาง
นางยิ้มน้อยๆ พลางหมุนตัวกลับ เห็นชุนหว่านและอีกหลายคนกำลังเดินจูงมือเล่นกันอยู่บนหาดทราย
จี๋อิ๋งกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าไม่ถอดถุงเท้าหรือ”
“อีกประเดี๋ยวค่อยถอด” บางทีอาจเป็นเพราะไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย โจวเสาจิ่นกระตือรือร้นมากกว่าปกติเล็กน้อย กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเดินเล่นบนหาดทรายครู่หนึ่งก่อนแล้วค่อยถอดถุงเท้าก็ยังไม่สาย”
จี๋อิ๋งพยักหน้า แล้วถอดถุงเท้าของตัวเองออก
โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “เจ้าหาที่เปลี่ยวสักที่แล้วค่อยถอดไม่ได้หรือ พ่อบ้านฉินดูอยู่บนฝั่งอยู่นะ!”
“อยู่ไกลขนาดนี้ เขาจะเห็นอะไรได้” จี๋อิ๋งไม่ยี่หระ แล้วถอดถุงเท้าอีกข้างหนึ่งออก จุ่มเท้าข้างหนึ่งลงไปในน้ำ ตะโกนร้องขึ้นว่า “สบายยิ่งนัก! เจ้าก็รีบถอดถุงเท้าออกเถิด!”
โจวเสาจิ่นหันไปมองที่ชายฝั่ง
ฉินจื่อผิงนั่งสบายๆ อยู่ข้างทำนบ กำลังสนทนาอยู่กับพวกบ่าวชายที่ติดตามมาด้วย
ชุนหว่านและคนอื่นๆ ใช้ทรายก่อกำแพงเมืองเล่นซนกันแล้ว
โจวเสาจิ่นใช้กระโปรงบังเอาไว้ แล้วแอบถอดถุงเท้าเงียบๆ
เท้าเปล่าเปลือยย่ำลงบนทราย รู้สึกจั๊กจี้ ไม่คุ้นเคยเท่าไร แต่ก็สนุกยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นใช้นิ้วเท้าขุดทราย ปรากฏหลุมเล็กๆ หลุมหนึ่งขึ้นบนผิวทราย มีน้ำซึมเข้าไป คล้ายกับหลุมเล็กๆ ที่เกิดขึ้นยามถูกน้ำฝนหยดลงมา
นางรู้สึกว่าน่าสนใจยิ่ง จึงย้ายไปขุดหลุมบริเวณที่อื่นต่อ
มีคลื่นโถมเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง นางหลบไม่ทัน กระโปรงเปียกไปหมด! น่าอับอายยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นหัวเราะร่า เดินไปบิดกระโปรง
กางเกงแนบติดอยู่บนขาของนาง เรียวขายาวและผอมบาง อีกทั้งเท้าที่ย่ำอยู่บนทรายก็ประหนึ่งหยกมันแพะแกะสลัก สัดส่วนงดงาม วางอยู่บนทรายที่หยาบเล็กน้อยนั้นแล้ว ทำให้คนบังเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจอย่างห้ามไม่อยู่
ฉินจื่อผิงรีบก้มหน้าลง กล่าวกับเฉิงฉือว่า “ควรจะไปเรียกคุณหนูรองกับแม่นางจี๋อิ๋งหรือไม่ขอรับ…”
“ไม่ต้อง!” เฉิงฉือมองโจวเสาจิ่นที่หัวเราะจนใบหน้าดุจแสงอาทิตย์ที่ส่องประกายระยิบระยับแวววาว กล่าวเรียบๆ ว่า “นานๆ ทีกว่าพวกนางจะได้ออกมาครั้งหนึ่ง ก็ให้พวกนางเล่นไปเถิด ทางด้านท่านแม่ เจ้าส่งคนกลับไปแจ้งสักคนก็พอ บอกไปว่าข้าพาคุณหนูรองและคนอื่นๆ ไปสอบถามเรื่องการเก็บเกี่ยวของผืนนาที่อยู่ข้างๆ ก็แล้วกัน”
ได้ยินว่าฮูหยินซ่งผู้นั้นเห็นดอกกล้วยไม้ที่ประดับอยู่บนกระโปรงของมารดาทั้งประณีต พิถีพิถันและงดงาม พอรู้ว่าเด็กผู้นี้เป็นคนปักให้ ก็ปรารถนาจะให้ช่วยวาดลวดลายให้นางสักลายหนึ่ง มารดาถึงได้ให้คนไปตามนาง…อย่างไรก็ตาม ด้วยนิสัยที่ไม่ชอบให้ใครมาชี้นิ้วสั่งคนข้างกายของตัวเองอย่างมารดาแล้ว ก็เพียงไปตามดูเท่านั้น ไม่แน่ว่าพอตามไม่เจออาจจะดีใจมากกว่าก็เป็นได้
ฉินจื่อผิงให้คนกลับไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่า
โจวเสาจิ่นที่เล่นวิ่งไล่จับกับคลื่นน้ำไปมาที่เฉิงฉือมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระอยู่ก่อนหน้านี้นั้นอยู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมาเห็นเฉิงฉือ
………………………………………………………………………
[1] เกลียดที่เหล็กไม่กลายเป็นเหล็กกล้า (恨铁不成钢) หมายถึง ความรู้สึกขุ่นเคืองที่มีต่อคนที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังและทนไม่ได้ที่ไม่เห็นมีการพัฒนาใดๆ ขึ้นเลย
Related