ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 221 เลิกคิดมาก

ผลกระทบจากเรื่องที่เกิดขึ้นในชาติก่อนต่อชีวิตนี้ไม่มีทางที่จะประเมินได้เลย

ความเชื่อมั่นที่โจวเสาจิ่นมีต่อฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นหาใดเปรียบได้ ก็เหมือนกับที่นางเชื่อว่าการที่เฉิงฉือหลบหนีไปขณะที่ตระกูลถูกโค่นล้มได้นั้นเขาต้องไม่เหมือนกับคนธรรมดาสามัญคนหนึ่งเป็นแน่ นางเชื่อมั่นในตัวของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ยิ่งเชื่อว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะไม่เล่าความลับของตระกูลเก่าแก่เหล่านี้ให้นางฟังโดยไม่มีเหตุผลเป็นแน่ เพียงแต่นางโง่เขลา ในเวลานี้ยังไม่เข้าใจเจตนาของฮูหยินผู้เฒ่ากัว แต่เมื่อเวลานานเข้า เมื่อนางเรียนรู้ได้ละเอียดขึ้น ก็คงกระจ่างขึ้นในสักวัน

นางจึงได้แต่ตั้งใจฟัง และจดจำเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้ในใจให้ดีก็พอ

เรือจึงค่อยๆ แล่นเข้าใกล้เจิ้นเจียงมากขึ้นอย่างช้าๆ

เฉิงฉือแก้โจทย์ๆ หนึ่งเสร็จแล้วถึงนึกขึ้นมาได้ว่า ดูเหมือนตนจะไม่เห็นโจวเสาจิ่นมาหลายวันแล้ว

ไม่ใช่ว่าล้วนนางเดินเทียวไปเทียวมาเบื้องหน้าตนทุกวันหรอกหรือ

หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?

เขาเรียกป้าซางมาสอบถาม

ป้าซางกล่าวยิ้มๆ ว่า “หลายวันมานี้คุณหนูรองอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าตลอดเลยเจ้าค่ะ! ทุกๆ วันหากไม่ฟังฮูหยินผู้เฒ่าสนทนากัน ก็ทำงานเย็บปัก หรือไม่ก็เล่นอยู่เป็นเพื่อนคุณชายน้อยซ่งดังเช่นแต่ก่อน ไม่ค่อยออกมาจากห้องพักโดยสารเจ้าค่ะ”

เฉิงฉือรู้สึกฉงนในใจ เช่นนั้นหลายวันก่อนนางมาหาตนหลายครั้งหลายคราเพื่ออันใด

น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขายุ่งมาก ไม่มีเวลาว่างมาสนใจเรื่องอื่น

เฉิงฉือลอบรู้สึกคล้ายว่าตนได้ละเลยอะไรบางอย่างไป

เขาไปที่ห้องของฮูหยินผู้เฒ่ากัว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังนั่งหัวเราะร่าอยู่บนตั่งหลัวฮั่นพลางฟังฮูหยินซ่งกับโจวเสาจิ่นสนทนากัน “…เจ้าช่างยอดเยี่ยมจริงๆ! หลายวันก่อนข้าเห็นเจ้าเย็บปักแล้วไม่ได้คิดอะไรมากนัก แต่เมื่อคืนพอเห็นเชือกผูกตู้โตวของเซินเกอเอ๋อร์รุ่ยเล็กน้อย ข้าจึงคิดว่าข้าเย็บไปอย่างลวกๆ สักสองเข็มก็พอแล้ว กระทั่งข้าหยิบเข็มและด้ายขึ้นมาถึงได้ค้นพบว่า เรือลำนี้โคลงเคลงยิ่ง ไม่ง่ายเลยกว่าจะสนเข็มได้ จวบจวนตอนที่เย็บเชือกกลับรู้สึกตาลายและวิงเวียนศีรษะ ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้มองผ้าเวลาเย็บเลย แต่เย็บไปตามความรู้สึกที่เคยชินมากกว่า! ข้าเคยพบช่างเย็บปักที่มีฝีมือเก่งกาจเช่นนี้ แต่ไม่เคยเห็นคุณหนูจากตระกูลใดแม้คนเดียวที่เย็บปักได้เช่นนี้” พูดจบ ก็คิดว่าตนพลั้งปากพูดผิดไปบ้าง จึงรีบกล่าวใหม่ว่า “ข้าไม่ได้หมายความว่าคุณหนูรองเหมือนช่างเย็บปัก ข้าหมายความว่าบรรดาคุณหนูเหล่านั้นมีน้อยคนนักที่ตั้งใจฝึกเย็บปักเช่นนี้…” ประโยคนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ถูก นางจึงกล่าวอีกว่า “บางคนต่อให้ตั้งใจฝึกฝนอย่างคุณหนูรองเช่นนี้ ก็ไม่มีทางเป็นได้อย่างคุณหนูรองเจ้าค่ะ!”

โจวเสาจิ่นร่วมเดินทางมากับนาง ค่อนข้างเข้าใจแล้วว่านางเป็นคนเช่นไร จึงไม่คิดจะเอ่ยขัด กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเพียงชื่นชอบงานเย็บปักเท่านั้นเจ้าค่ะ เรื่องใดก็ตามหากใส่คำว่า ‘ชื่นชอบ’ สองคำนี้ลงไปแล้ว ก็มักจะทำได้ดีกว่าผู้อื่นเจ้าค่ะ”

“นั่นก็จริง” ฮูหยินซ่งกล่าวถึงตนเองอีกครั้งว่า “ดังเช่นข้าที่แต่ก่อนชื่นชอบการร่ำเรียนมาก ดังนั้นถึงแม้จะไม่เคยได้เล่าเรียนในสำนักศึกษา แต่ได้เชิญอาจารย์มาสอนเป็นการส่วนตัว จึงพอรู้อักษรบ้าง”

โจวเสาจิ่นกำลังจะเอ่ยตอบ ทว่าปี้อวี้กลับเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มร่า กล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่มาเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกยินดีอย่างลิงโลด เดินออกจากห้องชั้นในโดยมีโจวเสาจิ่นช่วยประคอง

เฉิงฉือรีบก้าวออกมาทำความเคารพ

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางมองสำรวจบุตรชาย เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของเขาดียิ่ง รอยยิ้มจึงยิ่งทวีความปรีดา เอ่ยถามว่า “ธุระของเจ้าเสร็จแล้วหรือ”

“ยังไม่นับว่าเสร็จดีขอรับ” เฉิงฉือยิ้มพลางก้าวออกมา ประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวอีกข้าง กล่าวว่า “เพียงแต่ความคิดเห็นไม่ลงรอยกับท่านผู้เฒ่าซ่งขอรับ พวกข้าจึงตัดสินใจแยกย้ายกันออกไปเดินเล่นรับลมสักหน่อยเพื่อเรียบเรียงความคิด รอให้ถึงพรุ่งนี้บ่ายๆ ค่อยมารวมตัวกันใหม่ขอรับ”

โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็เผยสีหน้ากังวลขึ้นมาในทันที ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “ทำไมหรือ พวกเจ้าแตกคอกันหรือ”

“ไม่ถึงกับแตกคอกันหรอกขอรับ” เฉิงฉือประคองมารดานั่งลงบนตั่งหลัวฮั่น จากนั้นตนก็นั่งลงทางด้านขวาของมารดา ยิ้มพลางกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “เพียงแต่ว่าความคิดของทุกคนไม่ตรงกันเล็กน้อยเท่านั้น เขาโน้มน้าวข้าไม่ได้ ข้าก็โน้มน้าวเขาไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นทุกคนจึงแยกย้ายกันชั่วคราว อย่างไรก็ตาม เรื่องการจัดการแม่น้ำไม่เหมือนกับเรื่องอื่นๆ ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด ไม่ใช่เสียงของผู้หนึ่งผู้ใดดังกว่าอีกผู้หนึ่งถึงจะมีเหตุผล ดังนั้นท่านไม่ต้องห่วงหรอกขอรับ รอให้ข้าคำนวณตัวเลขที่ถูกต้องออกมาได้ ท่านผู้เฒ่าซ่งย่อมเห็นดีเห็นงามด้วย เช่นเดียวกัน หากเขาคำนวณตัวเลขที่ถูกต้องออกมาได้ ข้าก็ย่อมเห็นด้วยอย่างจริงใจเช่นกันขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับโจวเสาจิ่นต่างไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังยิ้มพลางกล่าวตามความเข้าใจของตนว่า “กล่าวได้ว่า พวกเจ้าปะทะคารมแต่ไม่ได้สู้รบตบมือ ดังเช่นการดูโหราศาสตร์ กล่าวว่าวันนี้ฝนจะตก หากว่าฝนตก เช่นนั้นเจ้าก็ชนะ แต่ถ้าฝนไม่ตก เจ้าก็แพ้ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นองค์ฮ่องเต้ ก็ไม่มีทางที่จะพูดความจริงให้เป็นเรื่องเท็จได้”

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ถ้าหากเป็นองค์ฮ่องเต้ ยังมีทางที่จะพูดความจริงให้เป็นเรื่องเท็จได้นะขอรับ หากเขาบอกว่าวันพรุ่งนี้ฝนจะตก มีหรือที่พญามังกรจะกล้าไม่ทำให้ฝนตกในวันพรุ่งนี้ได้ หากว่าไปเดิมพันกับเขา เช่นนั้นย่อมต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอนขอรับ”

โจวเสาจิ่นกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็ขำพรืดออกมาเช่นกัน พลางกล่าว “เจ้าเด็กคนนี้ ชอบหยอกล้อให้ข้าดีใจเล่น”

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ทุกครั้งที่ข้าพูดความจริงท่านก็หาว่าข้าหยอกล้อท่าน ทุกครั้งที่ข้าหยอกล้อท่าน ท่านกลับคิดเป็นจริงเป็นจังเสีย ช่างทำให้ข้าลำบากใจจริงๆ ขอรับ!”

โจวเสาจิ่นกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวต่างหัวเราะจนตัวบิดตัวงอ

เฉิงฉือชำเลืองมองโจวเสาจิ่นทีหนึ่ง แล้วพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับมารดาอีกสองสามประโยค จากนั้นก็ลุกขึ้นขอตัวออกไป

โจวเสาจิ่นกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวส่งเขาถึงประตูของห้องพักโดยสารแล้วถึงได้หันกลับไป

เฉิงฉือกางตำราหมากล้อมเอาไว้อย่างผ่อนคลาย

แต่จวบจวนเรือสำเภาเทียบท่าแล้ว โจวเสาจิ่นก็ไม่ได้มาหา

นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?

หากโจวเสาจิ่นมาหาตนด้วยมีเรื่องอะไร เขาก็บอกไปแล้วว่ามีเวลาว่างในช่วงบ่าย จากเมื่อครู่ที่เขาลองหยั่งเชิงท่าทีของโจวเสาจิ่นแล้ว โจวเสาจิ่นก็ไม่ได้ขุ่นเคืองอะไรตน ก็น่าจะหาโอกาสมาพบตนถึงจะถูก แต่เหตุใดถึงไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย

เฉิงฉือย่นหัวคิ้วพลางวางตำราหมากล้อมลง ไปรับมื้อเย็นกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว

โจวเสาจิ่นไม่อยู่

เฉิงฉือประหลาดใจ เอ่ยถามขึ้นว่า “เหตุใดหลานรองถึงไม่อยู่เป็นเพื่อนท่านหรือ”

“นางถูกฮูหยินซ่งดึงตัวไปวาดแบบลายดอกไม้” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวใช้ตะเกียบคีบเนื้อเป็ดป่าให้เฉิงฉือ พลางกล่าว “เจ้ากินให้มากสักหน่อย ข้าเห็นว่าหลายวันมานี้เจ้าดูซูบผอมลง ไม่ใช่ว่าเมื่อถึงเจิ้นเจียงแล้วพวกเรากับตระกูลซ่งจะต้องแยกกันไปคนละทางแล้วหรอกหรือ ฮูหยินซ่งผู้นั้นเห็นเสาจิ่นเย็บปักได้ดี นึกได้ว่าสิ้นปีนี้คุณหนูใหญ่ของตระกูลพวกเขาจะถึงวัยปักปิ่นแล้ว จึงขอให้เสาจิ่นวาดแบบลายดอกไม้สักสองสามผืนให้คุณหนูใหญ่ของตระกูลพวกเขา ถือว่าเป็นหนึ่งในของขวัญให้แก่นางจากนางผู้เป็นมารดาเลี้ยงผู้นี้”

ฮูหยินซ่งผู้นี้ มากเรื่องตามที่คาด

ตอนแรกเขาไม่เห็นด้วยที่จะเดินทางร่วมกับตระกูลซ่งก็เป็นเพราะเห็นว่าฮูหยินซ่งดูจะเป็นคนที่ไม่รู้จักสังเกตสีหน้าอารมณ์ของคนอื่นผู้หนึ่ง

เฉิงฉือขานรับว่า “ขอรับ” คำหนึ่ง แล้วไม่ถามซักไซ้อีก กินข้าวเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวมื้อหนึ่ง จากนั้นก็สนทนากันพักหนึ่งแล้วถึงได้กลับห้องพักโดยสาร

ส่วนโจวเสาจิ่นถูกฮูหยินซ่งรั้งให้อยู่รับมื้อเย็นด้วย ช่วยฮูหยินซ่งวาดแบบลายดอกไม้ที่ค่อนข้างเรียบง่ายอีกสองผืน ถึงได้กลับห้อง

ชุนหว่านแจ้งนางว่า “นายท่านสี่ต้องการพักผ่อนสองวัน ชิงเฟิงกับหลั่งเย่ว์เลยมีเวลาว่าง ช่วงบ่ายหลั่งเย่ว์มาเล่นกับพวกข้า ข้าจึงมอบชาเขียวหลงจิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตกรางวัลให้ท่านแก่หลั่งเย่ว์ไปสองถุงเจ้าค่ะ”

“ทำได้ดี!” โจวเสาจิ่นหวังว่าคนของตนจะใกล้ชิดกับบ่าวรับใช้ของท่านน้าฉือได้บ้าง เช่นนี้ก็จะได้สอบถามเรื่องของท่านน้าฉือได้บ้าง “วันหลังหากเจ้าพบกับสถานการณ์เช่นนี้อีก ก็ตัดสินใจแทนข้าได้เลย”

ชุนหว่านยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้า ช่วยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้โจวเสาจิ่นไปด้วย พลางกล่าวเสียงเบาไปด้วยว่า “คุณหนูรอง สองวันนี้นายท่านสี่ไม่ติดธุระอะไร ท่านว่า ท่านควรจะไปขอโทษนายท่านสี่อีกครั้งหรือไม่เจ้าคะ”

โจวเสาจิ่นนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่พบกับเฉิงฉือเมื่อเช้านี้ ยิ้มพลางส่ายศีรษะ กล่าวว่า “ข้าว่าช่างมันเถิด! ข้าเคยพูดแล้วว่า ท่านน้าฉือเป็นคนใจกว้าง ในเมื่อเขาไม่โกรธเคืองข้า ข้ายังจะไปกล่าวขอโทษอะไรเขาอีกหรือ!”

อีกอย่างท่านน้าฉือก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้วด้วย

ชุนหว่านยังรู้สึกเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย เอ่ยถามว่า “จะไม่เป็นไรจริงๆ หรือเจ้าคะ”

“ข้าคิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไรแล้ว” โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าวโดยไม่ใส่ใจนัก “หากวันใดที่ท่านน้าฉือขุดบัญชีเก่าขึ้นมา ข้าค่อยกล่าวขอโทษเขาก็ยังไม่สาย ตอนนี้เขาไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้จะให้ข้าไปสะกิดเตือนเขาทำไมหรือ”

ชุนหว่านเม้มปากกลั้นยิ้ม

ไม่ถึงสองวันเรือของพวกนางก็มาถึงเจิ้นเจียง

เฉิงฉือรอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นโจวเสาจิ่น

อาจจะเป็นตนที่เข้าใจผิดไปเอง?

เฉิงฉือรู้สึกเคลือบแคลงใจ แต่พอเห็นโจวเสาจิ่นที่สวมชุดเพ่ยจื่อผ้าฝ้ายหังโจวสีชมพูหลบอยู่ข้างหลังผ้าม่านหน้าต่างของเรือ เขาก็เลิกสงสัยในทันที

เด็กน้อยผู้นั้นเป็นคนตรงไปตรงมาคนหนึ่ง หากว่ามีเรื่องอะไรย่อมต้องมาหาเขาไม่ได้ขาดอย่างแน่นอน จะนิ่งเงียบเพียงนี้ได้ที่ไหนกัน

เฉิงฉือจึงโยนเรื่องนี้ทิ้งไปข้างหลัง แล้วไปเยี่ยมใต้เท้าเสิ่น

หลายวันก่อนใต้เท้าเสิ่นบังเอิญเป็นหวัดไม่สบาย คนในครอบครัวจึงไม่ให้เขาออกไปข้างนอก วันนี้เขาพักอยู่ในเรือน จึงได้พบกับเฉิงฉือกับผู้เฒ่าซ่ง

คนหนึ่งเป็นจิ้นซื่อขั้นสอง อีกคนหนึ่งเป็นบิดาของขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ใต้เท้าเสิ่นต้อนรับพวกเขาอย่างกระตือรือร้น กระทั่งทั้งสองคนเอ่ยถึงเจตนาที่มาหา ตอนที่พูดถึงนโยบายการจัดการแม่น้ำบนแผนที่ที่ใต้เท้าเสิ่นลอบคัดลอกมาจากกรมโยธาธิการก่อนเกษียณในห้องหนังสือของใต้เท้าเสิ่นนั้น ดวงหน้าของใต้เท้าเสิ่นก็สดใสขึ้นมา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องการรั้งให้เฉิงฉือกับผู้เฒ่าซ่งพักอยู่ที่เรือนสักสองสามวันให้ได้

เฉิงฉือไม่คาดคิดว่าใต้เท้าเสิ่นจะเป็นผู้ที่จริงใจและตรงไปตรงมาผู้หนึ่งเช่นนี้

เขารับปากว่าเมื่อจัดการหาที่พักให้มารดาและหลานสาวเรียบร้อยแล้วจะมารบกวนใต้เท้าเสิ่นใหม่

ใต้เท้าเสิ่นถึงกับเร่งให้เขารีบไปรีบมา ยังกลัวว่าเฉิงฉือจะรู้สึกกวนใจเพราะเรื่องนี้ จึงส่งผู้ช่วยที่เคยช่วยเขาจัดการงานเกี่ยวกับแม่น้ำไปช่วยเขาด้วย

เฉิงฉือหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ เมื่อกลับถึงเรือจึงถามมารดาว่ายินดีไปพักที่บ้านพักเล็กของตระกูลเฉิงหรือไม่ และกล่าวอีกว่า “เกรงว่าข้ากับท่านผู้เฒ่าซ่งจะต้องพักอยู่ที่เรือนของใต้เท้าเสิ่นสักสามถึงสี่วันขอรับ”

เมื่อเห็นว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงเมืองจินหลิงแล้ว จิตใจของฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงปรารถนาจะรีบรุดกลับบ้านโดยเร็วที่สุด ไม่อยากจะล่าช้าด้วยเรื่องหยุมหยิมเช่นการจัดเก็บหีบสัมภาระอีก จึงกล่าวว่า “พวกข้าจะพักอยู่บนเรือก็แล้วกัน รอให้เจ้ากลับมาจากเรือนของใต้เท้าเสิ่นแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางกลับจินหลิงได้เลยในทันที”

เฉิงฉือเข้าใจความนัยของมารดา ขบคิดแล้วกล่าวว่า “หรือไม่ ท่านกลับจินหลิงไปก่อนดีหรือไม่ ส่วนข้าค่อยกลับไปในอีกสองสามวันให้หลัง!”

“นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวส่ายศีรษะราวกับกลองป๋องแป๋ง พลางกล่าว “เดิมทีก็ออกไปท่องเที่ยวด้วยกัน มีเหตุผลอันใดที่จะแยกกันกลับไปด้วยเล่า เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถิด ไม่ต้องสนใจพวกข้าหรอก ข้าเขียนเทียบเชิญให้ฮูหยินเกาเรียบร้อยแล้ว เจ้าไปพักที่เรือนของใต้เท้าเสิ่น ก็เป็นการหลีกทางให้พวกข้าพอดี”

เฉิงฉือยิ้มพลางให้คนจัดเก็บของใช้อย่างลวกๆ แล้วไปที่เรือนของตระกูลเสิ่นพร้อมกับผู้เฒ่าซ่ง

หวงอี๋จวินวุ่นอยู่กับการเช่าเรือและการตระเตรียมการเดินทางไปจิงเฉิง

ฮูหยินเกากับฮูหยินเฉินมาด้วยกัน

ก็พบว่าฮูหยินของซ่งจิ่งหรานผู้เป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนักก็อยู่บนเรือลำเดียวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วย ทั้งยังสนิทสนมกันมากถึงเพียงนี้ แม้ว่าทั้งสองคนจะลอบรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็พูดคุยทักทายฮูหยินซ่งด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจัดงานเลี้ยงรับรองพวกนาง ฮูหยินเกาและฮูหยินเฉินก็ยังแยกกันเป็นเจ้าภาพรับรองฮูหยินผู้เฒ่ากัวและคนอื่นๆ ทั้งยังพาฮูหยินผู้เฒ่ากัวและคนอื่นๆ ไปเที่ยววัดจินซานด้วย ผ่านไปไม่กี่วัน ตระกูลเลี่ยวก็ได้รับข่าวว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวเดินทางผ่านเจิ้นเจียง จึงรีบให้หมัวมัวส่งมอบเทียบเชิญมาให้

……………………………………..

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน
Status: Ongoing
ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset