โจวเสาจิ่นกลับเรือนเจียซู่ตามลำพัง มีเด็กหนุ่มสวมชุดเผาจื่อผ้าไหมลู่โจวสีเขียวนกแก้วผู้หนึ่งยืนสั่งการบ่าวชายเด็กสองสามคนขนย้ายหีบสัมภาระอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตูทางเข้า นางเพ่งตามอง ที่แท้เด็กหนุ่มผู้นั้นก็คือซานเป่าบ่าวข้างกายของเฉิงอี้นั่นเอง โจวเสาจิ่นประหลาดใจเป็นอย่างมาก กล่าวขึ้นว่า “ซานเป่า เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วพี่ชายอี้เล่า มิใช่บอกว่าพรุ่งนี้พวกเจ้าถึงจะกลับมาหรอกหรือ” “คุณหนูรอง!” ซานเป่ารีบก้าวออกมาคารวะนาง จากนั้นยืดตัวตรงแล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ตระกูลเหอไม่วางใจให้คุณชายรองกลับเมืองจินหลิงตามลำพัง จึงตั้งใจจะให้พ่อบ้านใหญ่ที่มามอบของขวัญปีใหม่ร่วมทางมาด้วย แต่คุณชายรองคิดถึงนายหญิงผู้เฒ่า นายท่านใหญ่ ฮูหยิน คุณชายใหญ่และคุณหนูทั้งสองท่านเป็นอย่างมาก ก็เลยจ้างรถม้าสองคันแล้วเร่งกลับมา นี่ก็เพิ่งมาถึง ตอนนี้คุณชายรองไปคารวะนายหญิงผู้เฒ่าแล้วขอรับ” โจวเสาจิ่นตะลึงงัน กล่าว “พวกเจ้า…พวกเจ้าแอบหนีกลับมาหรือ” “เปล่าขอรับๆ” ซานเป่าโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน กล่าว “พวกข้าจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร! พวกข้าทิ้งจดหมายให้ฮูหยินใหญ่ตระกูลเหอเอาไว้แผ่นหนึ่งแล้วขอรับ” โจวเสาจิ่นร้อนรนจนเหงื่อท่วมศีรษะ มุ่งหน้าตรงไปที่เรือนหลักอย่างกระวนกระวาย เพิ่งจะก้าวขึ้นบันได นางก็ได้ยินเสียงดุด่าของฮูหยินใหญ่เหมี่ยนดังขึ้น “เจ้านี่มันไอ้คนไม่รักดี! นี่เรียนหนังสืออะไรกัน ถึงกับแอบหนีกลับมาเช่นนี้! เจ้าจะให้ฮูหยินใหญ่ตระกูลเหอคิดอย่างไร เจ้ายังมีหน้ามาพูด…” โจวเสาจิ่นรีบเลิกผ้าม่านขึ้น ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกำลังถือไม้ปัดขนไก่ไล่ตีเฉิงอี้อยู่! พอเฉิงอี้เห็นโจวเสาจิ่นก็เสมือนกับเห็นฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายก็ไม่ปาน รีบวิ่งมาหลบอยู่ข้างหลังโจวเสาจิ่นอย่างรวดเร็ว กล่าวกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอย่างเจ็บปวดว่า “ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะข้าไม่ได้เจอท่านกับท่านย่ามานานก็เลยคิดถึงหรอกหรือ เหตุใดท่านถึงลงมือหนักถึงเพียงนี้ ท่านดู ท่านตีจนแขนของข้าแดงไปหมดแล้ว” ขณะที่เขากล่าว ก็หมายจะดึงแขนเสื้อขึ้นไปด้วย โจวเสาจิ่นเบี่ยงตัวหมายจะหลบออกไป เฉิงอี้กลับดึงนางเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าถึงไร้น้ำใจเพียงนี้! นึกถึงตอนนั้นที่พวกเฉิงจวี่ล้อเลียนเจ้า ข้ายังช่วยตีพวกเขาให้เจ้าเลย!” “เจ้ายังไปต่อยตีกับผู้อื่นมาด้วยหรือ!” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนโมโหจนจะเสียสติอยู่แล้ว แต่ก็ไม่อาจตีบุตรชายต่อหน้าโจวเสาจิ่นได้ กล่าวคือ ถ้าหากเรื่องงานแต่งระหว่างโจวเสาจิ่นกับบุตรชายตกลงกันสำเร็จ ต่อไปบุตรชายจะยังมีหน้าไปกล่าวอะไรต่อหน้าโจวเสาจิ่นได้อีก ไม้ปัดขนไก่ในมือนางชี้ไปที่เฉิงอี้ทว่ากล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เสาจิ่น เจ้ารีบหลบออกไป หากวันนี้ข้าไม่ตีเขาให้หลาบจำ เขาก็คงไม่รู้ว่าความผิดของตัวเองอยู่ที่ใด!” เฉิงอี้กลับดันโจวเสาจิ่นไปยังเบื้องหน้าของมารดา ร้องขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านตีเลย! ท่านตีข้าให้ตายไปเลยก็แล้วกัน! ข้าเร่งกลับมาหาท่านตลอดทั้งคืน ท่านยังจะทำกับข้าเช่นนี้อีกหรือขอรับ ตกลงข้าเป็นลูกแท้ๆ ของท่านหรือไม่ เช่นนั้นท่านก็โยนข้าทิ้งออกไปนอกถนนเลยก็แล้วกัน ข้าจะได้ไม่ต้องเห็นท่านปวดใจเช่นนี้!” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว นางกล่าวไม่หยุดว่า “เสาจิ่น เจ้ารีบหลบออกไปๆ!” โจวเสาจิ่นถูกพวกเขาสองแม่ลูกจับกั้นอยู่ตรงกลางไม่ว่าจะเลือกซ้ายหรือขวาก็ยากทั้งสิ้น ถูกดันไปมาจนเวียนหัวไปหมด มีเสียงเคร่งเครียดของฮูหยินผู้เฒ่ากวนดังขึ้นภายในห้อง “นี่พวกเจ้าทำอะไรกัน จะปีใหม่แล้วก็ยังไม่สงบเสงี่ยมกันอีก” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนรีบวางไม้ปัดขนไก่ลง เอ่ยเสียงหนึ่งอย่างนอบน้อมว่า “ท่านแม่” ส่วนเฉิงอี้วิ่งไปกอดแขนฮูหยินผู้เฒ่ากวนเอาไว้ “ท่านย่าๆ ข้าคิดถึงท่านยิ่งนัก! ช่วงนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ได้ยินว่าที่ผ่านมาท่านไปจุดธูปไหว้พระที่วัดกันเฉวียน ยังจุดตะเกียงฉางหมิงให้ข้าด้วย ขอบคุณมากขอรับท่านย่า! ข้ารู้ว่าบ้านหลังนี้ท่านคือคนที่รักข้ามากที่สุด” “พูดอะไรเลอะเทอะ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจ้องเฉิงอี้ด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด ทว่าความกรุ่นโกรธบนใบหน้ากลับลดน้อยลงไปไม่น้อยแล้ว เฉิงอี้กล่าวด้วยใบหน้าทะเล้นว่า “ท่านย่า ที่ข้าพูดมาล้วนเป็นความจริงจากใจทั้งนั้น! ข้ารู้ว่าข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรหนีกลับมาคนเดียวเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรข้าก็กลับมาแล้ว อีกทั้งใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว ท่านพูดกับท่านแม่ข้าให้หน่อยนะขอรับ ให้นางไม่ต้องดุด่าข้าแล้ว ข้ารับปากว่าต่อไปจะปรับปรุงตัวอย่างแน่นอน ดีหรือไม่ขอรับ” เขาออดอ้อน ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับกล่าวว่า “เจ้าก็รู้ด้วยหรือว่าเจ้าผิดไปแล้ว! อย่างอื่นล้วนไม่กล่าวถึงแล้ว ข้าได้ให้พ่อบ้านเดินทางไปผูโข่วแล้ว ต้องรอดูว่าจะเร่งไปแจ้งข่าวได้ทันก่อนที่ตระกูลเหอจะพลิกแผ่นดินตามหาเจ้าหรือไม่ ส่วนเจ้า รีบไปคุกเข่าที่หอบรรพชนให้ข้าเดี๋ยวนี้” “ท่านย่า!” เฉิงอี้จับมือของฮูหยินผู้เฒ่ากวนเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าว “เจ้าไม่ไปตอนนี้ก็ได้ รอให้พ่อของเจ้ากลับมา คงจะไม่แค่ให้คุกเข่าที่หอบรรพชนเป็นแน่!” เฉิงอี้ได้ยินแล้วก็ตัวสั่น รีบกล่าวว่า “ข้าไปแล้วขอรับๆ!” แต่เขาพูดไปด้วย อีกด้านหนึ่งก็ส่งสายตาให้โจวเสาจิ่นไปด้วย ส่งสัญญาณให้นางช่วยเหลือเขาสักครั้ง โจวเสาจิ่นเพียงทำเป็นมองไม่เห็น นิสัยนี้ของเฉิงอี้หากทำผิดแล้วไม่มีใครสั่งสอนเขา เขาก็จะไม่เก็บมาใส่ใจ ต่อไปอาจจะทำผิดซ้ำอีก “เช่น…เช่นนั้นข้าไปเปลี่ยนชุดก่อนนะขอรับ…” เฉิงอี้ไม่มีทางเลือก ได้แต่ยอมจำนน ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพยักหน้า ให้ซื่อเอ๋อร์ไปส่งเฉิงอี้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนสะอื้นไห้เบาๆ ขึ้นมา พลางกล่าว “ข้าเลี้ยงตัวที่ทำให้ผู้อื่นต้องเป็นกังวลใจเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าว “ยังดีที่ยังมีพริกอีกต้นที่ยังเผ็ดอยู่ ไม่อย่างนั้นเจ้าร้องไห้ไปก็ไม่มีประโยชน์” ที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวถึงคือยังมีเฉิงเก้าที่ยอดเยี่ยม ไม่ทำให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนต้องกังวลใจ ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจึงรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อถึงเวลาจุดตะเกียงยามค่ำ เฉิงเหมี่ยนที่ได้รับข่าวแล้วก็สั่งสอนเฉิงอี้อย่างรุนแรงไปครั้งหนึ่ง แต่เห็นว่าใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว และเฉิงอี้เองก็กำลังคุกเข่าสำนึกผิดอยู่ที่หอบรรพชน เขาเองก็ไม่ควรว่าอะไรให้มากอีก จึงสั่งบ่าวรับใช้ภายในบ้านว่า “ไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้นำอาหารไปให้เขาอย่างเด็ดขาด ให้เขาทนหิวอยู่เช่นนั้นไป เมื่อใดที่รู้สำนึกดีชั่วแล้ว ค่อยลุกขึ้นมา” ทุกคนต่างนิ่งเงียบด้วยความกลัว วันรุ่งขึ้น ข่าวคราวการกลับมาของเฉิงอี้ก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งซอยจิ่วหรู เฉิงจวี่และเฉิงนั่วทยอยกันมาเยี่ยมเฉิงอี้ แต่ใครจะรู้ว่าเฉิงอี้ถูกขังเอาไว้ เฉิงจวี่จึงยุให้เฉิงนั่วไปขอความช่วยเหลือจากโจวเสาจิ่น โจวเสาจิ่นไม่สนใจพวกเขา กระทั่งเฉิงอี้ได้รับการปล่อยตัวออกมาจากหอบรรพชนแล้ว เฉิงจวี่จึงเอาเรื่องของโจวเสาจิ่นมาฟ้องเฉิงอี้ “มิใช่บอกว่าเป็นน้องสาวของเจ้าหรอกหรือ เจ้าดีกับนางถึงเพียงนั้น แต่เหตุใดนางถึงไม่สนใจเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว ข้าให้นางไปเยี่ยมเจ้าสักหน่อยนางก็ไม่ยอม” เฉิงอี้โกรธจนปอดจะระเบิดออกมาแล้ว แต่ต่อหน้าเฉิงจวี่และคนอื่นๆ เขากดความโกรธเอาไว้แล้วพูดแก้ต่างแทนโจวเสาจิ่นว่า “เป็นคำสั่งของท่านพ่อกับท่านย่าของข้า กล่าวว่าหากผู้ใดส่งข้าวส่งน้ำไปให้ข้าหรือไปเยี่ยมข้า ก็จะให้ข้าคุกเข่าไปจนถึงวันเทศกาลโคมไฟ” “รุนแรงเพียงนั้นเชียว!” เฉิงนั่วหายใจไม่ออก จากนั้นพูดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจินหลิงช่วงนี้ขึ้นมา “เจ้าทราบข่าวหรือยัง ฤกษ์แต่งงานระหว่างซื่อจื่อของเหลียงกั๋วกงกับคุณหนูใหญ่ตระกูลหลิวถูกกำหนดให้ตรงกับวันที่สิบห้าเดือนห้าของปีหน้า ได้ยินคนพูดกันว่า คุณหนูใหญ่ตระกูลหลิวผู้นั้นก็ไม่ใช่คนดีอะไร เวลานางจัดการสาวใช้ขึ้นมาช่างเลือดเย็นยิ่งนัก นางไม่ตีแล้วก็ไม่ด่า แต่ให้คนนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้น นั่งคุกเข่าติดต่อกันหลายวัน คนร่างกายแข็งแรงดีๆ คนหนึ่งคุกเข่าจนพิการไปเลย…” “จริงหรือๆ!” เป็นครั้งแรกที่เฉิงอี้ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องหมั้นหมายระหว่างซื่อจื่อของเหลียงกั๋วกงกับคุณหนูใหญ่ตระกูลหลิว เขาซุบซิบกล่าวด้วยเสียงเบาเป็นอย่างมากว่า “ป้าคนโตของพวกเขามิใช่ว่าหย่าขาดกับลุงเขยคนโตของพวกเขาไปแล้วหรอกหรือ ตระกูลของพวกเขาต้องมีธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้เป็นแน่! หากนี่เป็นเรื่องจริง ต่อไปจะมีผู้ใดกล้าไปสู่ขอหญิงสาวของพวกเขากัน!” เด็กหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดปีหลายคนรวมตัวกันพูดคุยถึงเรื่องหญิงสาวในเมืองจินหลิงขึ้นมา เฉิงจวี่นั่งกลอกตาไปมาอยู่ข้างๆ ไม่หยุด เนื่องจากหาโอกาสเข้าไปในลานชั้นในของจวนสี่ไม่ได้สักที หลังจากเฉิงอี้ส่งเฉิงจวี่และคนอื่นๆ กลับออกไปแล้วก็ตรงดิ่งไปที่เรือนหว่านเซียง โจวเสาจิ่นกำลังนั่งทำงานเย็บปักอยู่ หากร่วมรับประทานอาหารส่งท้ายปีเสร็จ นางกับพี่สาวก็ต้องกลับไปอยู่ที่ถนนผิงเฉียวแล้ว จากนั้นนางอาจจะอยู่ที่นั่นไปจนกว่าพี่สาวจะออกเรือน ต่อให้นางได้กลับมา นั่นก็เข้าสู่เดือนที่สองของฤดูใบไม้ผลิไปแล้ว เสื้อแขนกุดสำหรับสวมใส่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของฮูหยินผู้เฒ่ากัวนางเพิ่งจะเลือกวัตถุดิบได้ โจวเสาจิ่นอยากจะใช้โอกาสช่วงที่ไม่มีธุระอะไรในช่วงนี้ทำเสื้อแขนกุดให้เสร็จ รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็จะได้สวมใส่พอดี แต่คิดไม่ถึงว่าประตูจะถูกทุบดัง ปัง เสียงหนึ่งแล้วก็ถูกดันเปิดออก เฉิงอี้พุ่งเข้ามาอย่างโมโหโทโส กล่าวขึ้นว่า “ตอนที่ข้านั่งคุกเข่าอยู่ในหอบรรพชน เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปเยี่ยมข้าบ้าง! หากข้าถูกทำโทษให้นั่งคุกเข่าจนพิการไป มีอะไรดีต่อเจ้าอย่างนั้นหรือ” โจวเสาจิ่นวางเข็มและด้ายในมือลง ถามเขาอย่างเย็นชาว่า “ท่านกล่าวเองมิใช่หรือว่าระหว่างพวกเราสองคนนับจากนี้จนแก่ตายไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ทำไม นี่ท่านยังไม่ถึงวัยชราเลย กลับลืมคำพูดของตัวเองไปแล้วได้อย่างไร” ใบหน้าของเฉิงอี้แดงก่ำ ฝืนทำเป็นสงบพลางกล่าวขึ้นว่า “ข้า…นี่ไม่ใช่ว่าข้าออกจากบ้านไปเกือบหนึ่งปีแล้วหรือ เหตุใดเจ้าถึงใจแคบขนาดนี้ ยังจำเรื่องนี้อยู่อีก…” โจวเสาจิ่นกล่าว “ท่านวางใจเถิด ข้าจะจำไปตลอดชีวิต ต่อไปท่านก็อย่าหวังว่าข้าจะช่วยท่านอีก” “เจ้า…เจ้ามันคนใจยักษ์ใจมาร ข้าจะไม่สนใจเจ้าอีกแล้ว” เฉิงอี้กล่าว แล้วก็เดินออกไปอย่างเดือดดาล โจวเสาจิ่นยิ้ม นางกับเขาเป็นญาติพี่น้องกัน นางย่อมไม่โกรธเขาอยู่แล้ว แต่กับผู้อื่นไม่เหมือนกัน ต้องให้เขารู้ว่า คำพูดนี้ไม่อาจพูดออกมาพล่อยๆ ได้ ผ่านไปไม่กี่วัน นางก็ทำเสื้อแขนกุดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวจนแล้วเสร็จ โจวเสาจิ่นจึงทำขนมเค้กข้าวนำไปมอบให้เรือนหานปี้ซานด้วยพร้อมกัน ขนมเค้กข้าวนั้นมอบให้พวกปี้อวี้ เนื่องจากมีเพียงเฉิงฉืออยู่ฉลองปีใหม่กับฮูหยินผู้เฒ่ากัว การฉลองปีใหม่ของจวนหลักจึงเงียบเหงาเล็กน้อย ยังดีที่จวนหลักมีบ่าวไพร่จำนวนมาก เงินรางวัลปีใหม่ก็ให้มาก สีหน้าของพวกบ่าวไพร่ทั้งหมายจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เข้าๆ ออกๆ กันขวักไขว่ จึงทำให้ดูคึกครื้นขึ้นมาหลายส่วน โจวเสาจิ่นช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวลองเสื้อแขนกุดไปด้วย ย้ำกำชับกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปด้วยว่า “ข้าได้ยินพ่อบ้านคนดูแลเรือนดอกไม้บอกว่า ปีใหม่ของปีนี้อาจมีหิมะตก นอกจากท่านผู้นำตระกูลจวนรองแล้ว ท่านก็นับว่าเป็นผู้ที่อาวุโสที่สุด ท่านก็อย่าออกไปไหนเลย ให้ท่านน้าฉือเล่นไพ่หรือไม่ก็เล่นหมากเป็นเพื่อนท่านอยู่ในเรือนก็พอเจ้าค่ะ คนที่มีความตั้งใจจริง ย่อมจะมาสวัสดีปีใหม่ท่านด้วยตัวเอง ส่วนคนที่ไม่มีใจ ท่านก็อย่าไปสนใจเลย ผู้อื่นย่อมไม่อาจว่าอะไรท่านได้อยู่แล้ว ตอนนี้เพียงอากาศเปลี่ยนท่านก็ปวดไหล่แล้วมิใช่หรือ ปวดขาหรือไม่เจ้าคะ หากท่านปวดขา ข้าทำปลอกขาให้ท่านสองชิ้นดีหรือไม่ ไม่นานเลยเจ้าค่ะ อย่างมากที่สุดสองถึงสามวันก็ทำเสร็จแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า พลางกล่าว “ขาและเท้าของข้ายังดีอยู่ มีเพียงหัวไหล่เท่านั้นที่บางครั้งทนลมเย็นๆ ไม่ค่อยได้” จากนั้นหยิบถุงเงินจากกล่องขนาดเล็กที่อยู่ข้างๆ มายื่นส่งให้โจวเสาจิ่น กล่าวขึ้นว่า “พรุ่งนี้หลังจากกินข้าวส่งท้ายปีร่วมกันที่เรือนเจียซู่แล้วเจ้าก็คงจะกลับบ้านเลยกระมัง นี่เป็นเงินแต๊ะเอียของข้ามอบให้เจ้า รับเอาไว้เสีย” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ตอนข้ามาสวัสดีปีใหม่ท่าน ท่านค่อยให้ข้าดีกว่าเจ้าค่ะ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ปีนี้เป็นปีพิเศษมิใช่หรือ รอให้ถึงปีหน้า ตอนเจ้ามาสวัสดีปีใหม่ข้า ข้าค่อยให้เงินแต๊ะเอียเจ้าอีก” จริงด้วย! เหตุการณ์ในปีนี้พิเศษนัก และก็ไม่รู้ว่านางจะได้กลับมาที่ซอยจิ่วหรูอีกหรือไม่ นางกล่าวขอบคุณ แล้วรับถุงสีแดงหนาหนักนั้นมาเงียบๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกระซิบถามนางเสียงเบาว่า “ไม่อยากไปอยู่กับบิดาของเจ้าที่เป่าติ้งหรือ” โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะ แล้วก็พยักหน้า ความรู้สึกของนางในตอนนี้สับสนและซับซ้อนยิ่งนัก! นางอยากไปอยู่กับบิดา อยากจะโยนความโกรธแค้นของชาติที่แล้วเหล่านั้นทิ้งไป แล้วเริ่มต้นชีวิตของตัวเองใหม่ แต่นางยังไม่ได้บอกเรื่องของตระกูลเฉิงให้กับเฉิงจิงรับรู้ นางจึงไม่อาจจากไปโดยทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลอบส่ายศีรษะเงียบๆ ปลอบโยนนางว่า “ไม่ต้องกลัว! เป่าติ้งเป็นสถานที่ที่ไม่เลวนัก หากเจ้าอยู่แล้วไม่คุ้นชิน ก็ยังกลับมาได้” โจวเสาจิ่นยิ้มแล้วกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัว ……………………………..
โจวเสาจิ่นกลับเรือนเจียซู่ตามลำพัง
มีเด็กหนุ่มสวมชุดเผาจื่อผ้าไหมลู่โจวสีเขียวนกแก้วผู้หนึ่งยืนสั่งการบ่าวชายเด็กสองสามคนขนย้ายหีบสัมภาระอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตูทางเข้า
นางเพ่งตามอง ที่แท้เด็กหนุ่มผู้นั้นก็คือซานเป่าบ่าวข้างกายของเฉิงอี้นั่นเอง
โจวเสาจิ่นประหลาดใจเป็นอย่างมาก กล่าวขึ้นว่า “ซานเป่า เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วพี่ชายอี้เล่า มิใช่บอกว่าพรุ่งนี้พวกเจ้าถึงจะกลับมาหรอกหรือ”
“คุณหนูรอง!” ซานเป่ารีบก้าวออกมาคารวะนาง จากนั้นยืดตัวตรงแล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ตระกูลเหอไม่วางใจให้คุณชายรองกลับเมืองจินหลิงตามลำพัง จึงตั้งใจจะให้พ่อบ้านใหญ่ที่มามอบของขวัญปีใหม่ร่วมทางมาด้วย แต่คุณชายรองคิดถึงนายหญิงผู้เฒ่า นายท่านใหญ่ ฮูหยิน คุณชายใหญ่และคุณหนูทั้งสองท่านเป็นอย่างมาก ก็เลยจ้างรถม้าสองคันแล้วเร่งกลับมา นี่ก็เพิ่งมาถึง ตอนนี้คุณชายรองไปคารวะนายหญิงผู้เฒ่าแล้วขอรับ”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน กล่าว “พวกเจ้า…พวกเจ้าแอบหนีกลับมาหรือ”
“เปล่าขอรับๆ” ซานเป่าโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน กล่าว “พวกข้าจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร! พวกข้าทิ้งจดหมายให้ฮูหยินใหญ่ตระกูลเหอเอาไว้แผ่นหนึ่งแล้วขอรับ”
โจวเสาจิ่นร้อนรนจนเหงื่อท่วมศีรษะ มุ่งหน้าตรงไปที่เรือนหลักอย่างกระวนกระวาย
เพิ่งจะก้าวขึ้นบันได นางก็ได้ยินเสียงดุด่าของฮูหยินใหญ่เหมี่ยนดังขึ้น “เจ้านี่มันไอ้คนไม่รักดี! นี่เรียนหนังสืออะไรกัน ถึงกับแอบหนีกลับมาเช่นนี้! เจ้าจะให้ฮูหยินใหญ่ตระกูลเหอคิดอย่างไร เจ้ายังมีหน้ามาพูด…”
โจวเสาจิ่นรีบเลิกผ้าม่านขึ้น
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกำลังถือไม้ปัดขนไก่ไล่ตีเฉิงอี้อยู่!
พอเฉิงอี้เห็นโจวเสาจิ่นก็เสมือนกับเห็นฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายก็ไม่ปาน รีบวิ่งมาหลบอยู่ข้างหลังโจวเสาจิ่นอย่างรวดเร็ว กล่าวกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอย่างเจ็บปวดว่า “ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะข้าไม่ได้เจอท่านกับท่านย่ามานานก็เลยคิดถึงหรอกหรือ เหตุใดท่านถึงลงมือหนักถึงเพียงนี้ ท่านดู ท่านตีจนแขนของข้าแดงไปหมดแล้ว”
ขณะที่เขากล่าว ก็หมายจะดึงแขนเสื้อขึ้นไปด้วย
โจวเสาจิ่นเบี่ยงตัวหมายจะหลบออกไป
เฉิงอี้กลับดึงนางเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าถึงไร้น้ำใจเพียงนี้! นึกถึงตอนนั้นที่พวกเฉิงจวี่ล้อเลียนเจ้า ข้ายังช่วยตีพวกเขาให้เจ้าเลย!”
“เจ้ายังไปต่อยตีกับผู้อื่นมาด้วยหรือ!” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนโมโหจนจะเสียสติอยู่แล้ว แต่ก็ไม่อาจตีบุตรชายต่อหน้าโจวเสาจิ่นได้ กล่าวคือ ถ้าหากเรื่องงานแต่งระหว่างโจวเสาจิ่นกับบุตรชายตกลงกันสำเร็จ ต่อไปบุตรชายจะยังมีหน้าไปกล่าวอะไรต่อหน้าโจวเสาจิ่นได้อีก ไม้ปัดขนไก่ในมือนางชี้ไปที่เฉิงอี้ทว่ากล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เสาจิ่น เจ้ารีบหลบออกไป หากวันนี้ข้าไม่ตีเขาให้หลาบจำ เขาก็คงไม่รู้ว่าความผิดของตัวเองอยู่ที่ใด!”
เฉิงอี้กลับดันโจวเสาจิ่นไปยังเบื้องหน้าของมารดา ร้องขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านตีเลย! ท่านตีข้าให้ตายไปเลยก็แล้วกัน! ข้าเร่งกลับมาหาท่านตลอดทั้งคืน ท่านยังจะทำกับข้าเช่นนี้อีกหรือขอรับ ตกลงข้าเป็นลูกแท้ๆ ของท่านหรือไม่ เช่นนั้นท่านก็โยนข้าทิ้งออกไปนอกถนนเลยก็แล้วกัน ข้าจะได้ไม่ต้องเห็นท่านปวดใจเช่นนี้!”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว
นางกล่าวไม่หยุดว่า “เสาจิ่น เจ้ารีบหลบออกไปๆ!”
โจวเสาจิ่นถูกพวกเขาสองแม่ลูกจับกั้นอยู่ตรงกลางไม่ว่าจะเลือกซ้ายหรือขวาก็ยากทั้งสิ้น ถูกดันไปมาจนเวียนหัวไปหมด
มีเสียงเคร่งเครียดของฮูหยินผู้เฒ่ากวนดังขึ้นภายในห้อง “นี่พวกเจ้าทำอะไรกัน จะปีใหม่แล้วก็ยังไม่สงบเสงี่ยมกันอีก”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนรีบวางไม้ปัดขนไก่ลง เอ่ยเสียงหนึ่งอย่างนอบน้อมว่า “ท่านแม่”
ส่วนเฉิงอี้วิ่งไปกอดแขนฮูหยินผู้เฒ่ากวนเอาไว้ “ท่านย่าๆ ข้าคิดถึงท่านยิ่งนัก! ช่วงนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ได้ยินว่าที่ผ่านมาท่านไปจุดธูปไหว้พระที่วัดกันเฉวียน ยังจุดตะเกียงฉางหมิงให้ข้าด้วย ขอบคุณมากขอรับท่านย่า! ข้ารู้ว่าบ้านหลังนี้ท่านคือคนที่รักข้ามากที่สุด”
“พูดอะไรเลอะเทอะ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจ้องเฉิงอี้ด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด ทว่าความกรุ่นโกรธบนใบหน้ากลับลดน้อยลงไปไม่น้อยแล้ว
เฉิงอี้กล่าวด้วยใบหน้าทะเล้นว่า “ท่านย่า ที่ข้าพูดมาล้วนเป็นความจริงจากใจทั้งนั้น! ข้ารู้ว่าข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรหนีกลับมาคนเดียวเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรข้าก็กลับมาแล้ว อีกทั้งใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว ท่านพูดกับท่านแม่ข้าให้หน่อยนะขอรับ ให้นางไม่ต้องดุด่าข้าแล้ว ข้ารับปากว่าต่อไปจะปรับปรุงตัวอย่างแน่นอน ดีหรือไม่ขอรับ”
เขาออดอ้อน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับกล่าวว่า “เจ้าก็รู้ด้วยหรือว่าเจ้าผิดไปแล้ว! อย่างอื่นล้วนไม่กล่าวถึงแล้ว ข้าได้ให้พ่อบ้านเดินทางไปผูโข่วแล้ว ต้องรอดูว่าจะเร่งไปแจ้งข่าวได้ทันก่อนที่ตระกูลเหอจะพลิกแผ่นดินตามหาเจ้าหรือไม่ ส่วนเจ้า รีบไปคุกเข่าที่หอบรรพชนให้ข้าเดี๋ยวนี้”
“ท่านย่า!” เฉิงอี้จับมือของฮูหยินผู้เฒ่ากวนเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าว “เจ้าไม่ไปตอนนี้ก็ได้ รอให้พ่อของเจ้ากลับมา คงจะไม่แค่ให้คุกเข่าที่หอบรรพชนเป็นแน่!”
เฉิงอี้ได้ยินแล้วก็ตัวสั่น รีบกล่าวว่า “ข้าไปแล้วขอรับๆ!”
แต่เขาพูดไปด้วย อีกด้านหนึ่งก็ส่งสายตาให้โจวเสาจิ่นไปด้วย ส่งสัญญาณให้นางช่วยเหลือเขาสักครั้ง
โจวเสาจิ่นเพียงทำเป็นมองไม่เห็น
นิสัยนี้ของเฉิงอี้หากทำผิดแล้วไม่มีใครสั่งสอนเขา เขาก็จะไม่เก็บมาใส่ใจ ต่อไปอาจจะทำผิดซ้ำอีก
“เช่น…เช่นนั้นข้าไปเปลี่ยนชุดก่อนนะขอรับ…” เฉิงอี้ไม่มีทางเลือก ได้แต่ยอมจำนน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพยักหน้า ให้ซื่อเอ๋อร์ไปส่งเฉิงอี้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนสะอื้นไห้เบาๆ ขึ้นมา พลางกล่าว “ข้าเลี้ยงตัวที่ทำให้ผู้อื่นต้องเป็นกังวลใจเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าว “ยังดีที่ยังมีพริกอีกต้นที่ยังเผ็ดอยู่ ไม่อย่างนั้นเจ้าร้องไห้ไปก็ไม่มีประโยชน์”
ที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวถึงคือยังมีเฉิงเก้าที่ยอดเยี่ยม ไม่ทำให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนต้องกังวลใจ
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจึงรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อถึงเวลาจุดตะเกียงยามค่ำ เฉิงเหมี่ยนที่ได้รับข่าวแล้วก็สั่งสอนเฉิงอี้อย่างรุนแรงไปครั้งหนึ่ง แต่เห็นว่าใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว และเฉิงอี้เองก็กำลังคุกเข่าสำนึกผิดอยู่ที่หอบรรพชน เขาเองก็ไม่ควรว่าอะไรให้มากอีก จึงสั่งบ่าวรับใช้ภายในบ้านว่า “ไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้นำอาหารไปให้เขาอย่างเด็ดขาด ให้เขาทนหิวอยู่เช่นนั้นไป เมื่อใดที่รู้สำนึกดีชั่วแล้ว ค่อยลุกขึ้นมา”
ทุกคนต่างนิ่งเงียบด้วยความกลัว
วันรุ่งขึ้น ข่าวคราวการกลับมาของเฉิงอี้ก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งซอยจิ่วหรู
เฉิงจวี่และเฉิงนั่วทยอยกันมาเยี่ยมเฉิงอี้ แต่ใครจะรู้ว่าเฉิงอี้ถูกขังเอาไว้ เฉิงจวี่จึงยุให้เฉิงนั่วไปขอความช่วยเหลือจากโจวเสาจิ่น โจวเสาจิ่นไม่สนใจพวกเขา กระทั่งเฉิงอี้ได้รับการปล่อยตัวออกมาจากหอบรรพชนแล้ว เฉิงจวี่จึงเอาเรื่องของโจวเสาจิ่นมาฟ้องเฉิงอี้ “มิใช่บอกว่าเป็นน้องสาวของเจ้าหรอกหรือ เจ้าดีกับนางถึงเพียงนั้น แต่เหตุใดนางถึงไม่สนใจเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว ข้าให้นางไปเยี่ยมเจ้าสักหน่อยนางก็ไม่ยอม”
เฉิงอี้โกรธจนปอดจะระเบิดออกมาแล้ว แต่ต่อหน้าเฉิงจวี่และคนอื่นๆ เขากดความโกรธเอาไว้แล้วพูดแก้ต่างแทนโจวเสาจิ่นว่า “เป็นคำสั่งของท่านพ่อกับท่านย่าของข้า กล่าวว่าหากผู้ใดส่งข้าวส่งน้ำไปให้ข้าหรือไปเยี่ยมข้า ก็จะให้ข้าคุกเข่าไปจนถึงวันเทศกาลโคมไฟ”
“รุนแรงเพียงนั้นเชียว!” เฉิงนั่วหายใจไม่ออก จากนั้นพูดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจินหลิงช่วงนี้ขึ้นมา “เจ้าทราบข่าวหรือยัง ฤกษ์แต่งงานระหว่างซื่อจื่อของเหลียงกั๋วกงกับคุณหนูใหญ่ตระกูลหลิวถูกกำหนดให้ตรงกับวันที่สิบห้าเดือนห้าของปีหน้า ได้ยินคนพูดกันว่า คุณหนูใหญ่ตระกูลหลิวผู้นั้นก็ไม่ใช่คนดีอะไร เวลานางจัดการสาวใช้ขึ้นมาช่างเลือดเย็นยิ่งนัก นางไม่ตีแล้วก็ไม่ด่า แต่ให้คนนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้น นั่งคุกเข่าติดต่อกันหลายวัน คนร่างกายแข็งแรงดีๆ คนหนึ่งคุกเข่าจนพิการไปเลย…”
“จริงหรือๆ!” เป็นครั้งแรกที่เฉิงอี้ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องหมั้นหมายระหว่างซื่อจื่อของเหลียงกั๋วกงกับคุณหนูใหญ่ตระกูลหลิว เขาซุบซิบกล่าวด้วยเสียงเบาเป็นอย่างมากว่า “ป้าคนโตของพวกเขามิใช่ว่าหย่าขาดกับลุงเขยคนโตของพวกเขาไปแล้วหรอกหรือ ตระกูลของพวกเขาต้องมีธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้เป็นแน่! หากนี่เป็นเรื่องจริง ต่อไปจะมีผู้ใดกล้าไปสู่ขอหญิงสาวของพวกเขากัน!”
เด็กหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดปีหลายคนรวมตัวกันพูดคุยถึงเรื่องหญิงสาวในเมืองจินหลิงขึ้นมา
เฉิงจวี่นั่งกลอกตาไปมาอยู่ข้างๆ ไม่หยุด เนื่องจากหาโอกาสเข้าไปในลานชั้นในของจวนสี่ไม่ได้สักที
หลังจากเฉิงอี้ส่งเฉิงจวี่และคนอื่นๆ กลับออกไปแล้วก็ตรงดิ่งไปที่เรือนหว่านเซียง
โจวเสาจิ่นกำลังนั่งทำงานเย็บปักอยู่
หากร่วมรับประทานอาหารส่งท้ายปีเสร็จ นางกับพี่สาวก็ต้องกลับไปอยู่ที่ถนนผิงเฉียวแล้ว จากนั้นนางอาจจะอยู่ที่นั่นไปจนกว่าพี่สาวจะออกเรือน
ต่อให้นางได้กลับมา นั่นก็เข้าสู่เดือนที่สองของฤดูใบไม้ผลิไปแล้ว
เสื้อแขนกุดสำหรับสวมใส่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของฮูหยินผู้เฒ่ากัวนางเพิ่งจะเลือกวัตถุดิบได้
โจวเสาจิ่นอยากจะใช้โอกาสช่วงที่ไม่มีธุระอะไรในช่วงนี้ทำเสื้อแขนกุดให้เสร็จ
รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็จะได้สวมใส่พอดี
แต่คิดไม่ถึงว่าประตูจะถูกทุบดัง ปัง เสียงหนึ่งแล้วก็ถูกดันเปิดออก เฉิงอี้พุ่งเข้ามาอย่างโมโหโทโส กล่าวขึ้นว่า “ตอนที่ข้านั่งคุกเข่าอยู่ในหอบรรพชน เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปเยี่ยมข้าบ้าง! หากข้าถูกทำโทษให้นั่งคุกเข่าจนพิการไป มีอะไรดีต่อเจ้าอย่างนั้นหรือ”
โจวเสาจิ่นวางเข็มและด้ายในมือลง ถามเขาอย่างเย็นชาว่า “ท่านกล่าวเองมิใช่หรือว่าระหว่างพวกเราสองคนนับจากนี้จนแก่ตายไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ทำไม นี่ท่านยังไม่ถึงวัยชราเลย กลับลืมคำพูดของตัวเองไปแล้วได้อย่างไร”
ใบหน้าของเฉิงอี้แดงก่ำ ฝืนทำเป็นสงบพลางกล่าวขึ้นว่า “ข้า…นี่ไม่ใช่ว่าข้าออกจากบ้านไปเกือบหนึ่งปีแล้วหรือ เหตุใดเจ้าถึงใจแคบขนาดนี้ ยังจำเรื่องนี้อยู่อีก…”
โจวเสาจิ่นกล่าว “ท่านวางใจเถิด ข้าจะจำไปตลอดชีวิต ต่อไปท่านก็อย่าหวังว่าข้าจะช่วยท่านอีก”
“เจ้า…เจ้ามันคนใจยักษ์ใจมาร ข้าจะไม่สนใจเจ้าอีกแล้ว” เฉิงอี้กล่าว แล้วก็เดินออกไปอย่างเดือดดาล
โจวเสาจิ่นยิ้ม
นางกับเขาเป็นญาติพี่น้องกัน นางย่อมไม่โกรธเขาอยู่แล้ว แต่กับผู้อื่นไม่เหมือนกัน ต้องให้เขารู้ว่า คำพูดนี้ไม่อาจพูดออกมาพล่อยๆ ได้
ผ่านไปไม่กี่วัน นางก็ทำเสื้อแขนกุดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวจนแล้วเสร็จ
โจวเสาจิ่นจึงทำขนมเค้กข้าวนำไปมอบให้เรือนหานปี้ซานด้วยพร้อมกัน
ขนมเค้กข้าวนั้นมอบให้พวกปี้อวี้
เนื่องจากมีเพียงเฉิงฉืออยู่ฉลองปีใหม่กับฮูหยินผู้เฒ่ากัว การฉลองปีใหม่ของจวนหลักจึงเงียบเหงาเล็กน้อย ยังดีที่จวนหลักมีบ่าวไพร่จำนวนมาก เงินรางวัลปีใหม่ก็ให้มาก สีหน้าของพวกบ่าวไพร่ทั้งหมายจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เข้าๆ ออกๆ กันขวักไขว่ จึงทำให้ดูคึกครื้นขึ้นมาหลายส่วน
โจวเสาจิ่นช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวลองเสื้อแขนกุดไปด้วย ย้ำกำชับกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปด้วยว่า “ข้าได้ยินพ่อบ้านคนดูแลเรือนดอกไม้บอกว่า ปีใหม่ของปีนี้อาจมีหิมะตก นอกจากท่านผู้นำตระกูลจวนรองแล้ว ท่านก็นับว่าเป็นผู้ที่อาวุโสที่สุด ท่านก็อย่าออกไปไหนเลย ให้ท่านน้าฉือเล่นไพ่หรือไม่ก็เล่นหมากเป็นเพื่อนท่านอยู่ในเรือนก็พอเจ้าค่ะ คนที่มีความตั้งใจจริง ย่อมจะมาสวัสดีปีใหม่ท่านด้วยตัวเอง ส่วนคนที่ไม่มีใจ ท่านก็อย่าไปสนใจเลย ผู้อื่นย่อมไม่อาจว่าอะไรท่านได้อยู่แล้ว ตอนนี้เพียงอากาศเปลี่ยนท่านก็ปวดไหล่แล้วมิใช่หรือ ปวดขาหรือไม่เจ้าคะ หากท่านปวดขา ข้าทำปลอกขาให้ท่านสองชิ้นดีหรือไม่ ไม่นานเลยเจ้าค่ะ อย่างมากที่สุดสองถึงสามวันก็ทำเสร็จแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า พลางกล่าว “ขาและเท้าของข้ายังดีอยู่ มีเพียงหัวไหล่เท่านั้นที่บางครั้งทนลมเย็นๆ ไม่ค่อยได้” จากนั้นหยิบถุงเงินจากกล่องขนาดเล็กที่อยู่ข้างๆ มายื่นส่งให้โจวเสาจิ่น กล่าวขึ้นว่า “พรุ่งนี้หลังจากกินข้าวส่งท้ายปีร่วมกันที่เรือนเจียซู่แล้วเจ้าก็คงจะกลับบ้านเลยกระมัง นี่เป็นเงินแต๊ะเอียของข้ามอบให้เจ้า รับเอาไว้เสีย”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ตอนข้ามาสวัสดีปีใหม่ท่าน ท่านค่อยให้ข้าดีกว่าเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ปีนี้เป็นปีพิเศษมิใช่หรือ รอให้ถึงปีหน้า ตอนเจ้ามาสวัสดีปีใหม่ข้า ข้าค่อยให้เงินแต๊ะเอียเจ้าอีก”
จริงด้วย!
เหตุการณ์ในปีนี้พิเศษนัก และก็ไม่รู้ว่านางจะได้กลับมาที่ซอยจิ่วหรูอีกหรือไม่
นางกล่าวขอบคุณ แล้วรับถุงสีแดงหนาหนักนั้นมาเงียบๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกระซิบถามนางเสียงเบาว่า “ไม่อยากไปอยู่กับบิดาของเจ้าที่เป่าติ้งหรือ”
โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะ แล้วก็พยักหน้า
ความรู้สึกของนางในตอนนี้สับสนและซับซ้อนยิ่งนัก!
นางอยากไปอยู่กับบิดา อยากจะโยนความโกรธแค้นของชาติที่แล้วเหล่านั้นทิ้งไป แล้วเริ่มต้นชีวิตของตัวเองใหม่ แต่นางยังไม่ได้บอกเรื่องของตระกูลเฉิงให้กับเฉิงจิงรับรู้ นางจึงไม่อาจจากไปโดยทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลอบส่ายศีรษะเงียบๆ ปลอบโยนนางว่า “ไม่ต้องกลัว! เป่าติ้งเป็นสถานที่ที่ไม่เลวนัก หากเจ้าอยู่แล้วไม่คุ้นชิน ก็ยังกลับมาได้”
โจวเสาจิ่นยิ้มแล้วกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัว
……………………………..