โจวชูจิ่นมองไปรอบๆ หีบสัมภาระเล็กใหญ่สี่สิบกว่าหีบในห้อง กล่าวขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อนว่า “ยังตกหล่นอะไรไปอีกหรือไม่” น้ำเสียงเศร้าสร้อยยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นพอจะเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของพี่สาว
ชาติก่อนถึงแม้ตระกูลเฉิงจะสร้างความเจ็บปวดให้นางเช่นนั้น แต่ตอนที่นางหนีออกจากตระกูลเฉิงก็ยังยืนมองซอยจิ่วหรูอยู่ในความมืดเป็นเวลานาน
“ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ!” โจวเสาจิ่นกล่าวปลอบพี่สาวเสียงอ่อนโยน “อยู่ใกล้กันแค่นี้ หากมีอะไรตกหล่นถึงเวลาค่อยให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานกลับมาเอาก็ได้เจ้าค่ะ”
มิใช่ว่าจะไม่ได้กลับมาอีกเลยตลอดชีวิตเสียหน่อย!
ชุนหว่านเข้ามารายงานว่า “แม่นางปี้อวี้ของเรือนหานปี้ซานมา บอกว่าช่วงนี้มีเรื่องให้ต้องทำมาก เกรงว่าพรุ่งนี้จะมาส่งท่านไม่ได้ จึงมาคารวะท่านสักครั้งก่อนไปเจ้าค่ะ”
“เหตุใดนางต้องเกรงใจขนาดนี้ด้วย” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ เห็นพี่สาวยังมีสีหน้าเหนื่อยล้าอยู่หลายส่วน จึงกล่าวกับโจวชูจิ่นว่า “ท่านพี่ ข้าจะไปดูสักหน่อย ท่านกลับห้องไปพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ! พรุ่งนี้ยังต้องไปคารวะท่านยายแต่เช้าตรู่อีก ท่านยายต้องมีเรื่องอยากคุยกับท่านมากมายเป็นแน่เจ้าค่ะ”
ชาติก่อน ท่านยายกอดพี่สาวเอาไว้ในอ้อมกอดพร้อมกับคุยกับพี่สาวไปด้วยน้ำตานองหน้าไปทั้งเช้า
โจวชูจิ่นยิ้มพลางพยักหน้าเห็นด้วย
โจวเสาจิ่นเดินไปที่ห้องหนังสือ
ปี้อวี้มองชุนหว่านครั้งหนึ่ง ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป
โจวเสาจิ่นจึงให้ชุนหว่านออกไป
ปี้อวี้จึงขยับเข้าใกล้โจวเสาจิ่นแล้วกระซิบตรงข้างหูนางครู่หนึ่ง
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่ได้สติกลับมา
ท่านยายกับท่านป้าใหญ่ต้องการให้นางกับพี่ชายอี้…นี่ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร
นางคิดกับพี่ชายอี้เสมือนเป็นพี่ชายแท้ๆ ของตัวเอง ไม่สิ ตั้งแต่ย้อนเวลากลับมา ก็รู้สึกว่าเขาเป็นน้องชายของตัวเองไปเสียแล้ว…นางจะแต่งให้พี่ชายอี้ได้อย่างไร นอกจากนี้พี่ชายอี้จะคิดหรือจะทำอะไร ก็ไปด้วยกันกับนางไม่ได้สักอย่าง มิใช่ว่าต่อไปนางจะต้องตามเก็บกวาดความวุ่นวายอยู่ข้างหลังให้เขาไปตลอดชีวิตหรอกหรือ นาง…นางไหนเลยจะมีความสามารถนั้นกัน!
โจวเสาจิ่นคิดๆ แล้วก็รู้สึกว่าอารมณ์หนักอึ้งขึ้นมาหลายส่วน
นางจับมือของปี้อวี้เอาไว้แน่น รีบกล่าวว่า “ขอบใจเจ้ามาก หากไม่ได้เจ้า ข้าคงถูกหลอกอยู่ในกลองไปแล้ว! บุญคุณของท่านยายกับท่านป้าใหญ่ข้าต้องตอบแทนเป็นแน่ แต่หากให้ข้าตอบแทนท่านยายกับท่านป้าใหญ่ด้วยวิธีนี้ ข้า…ข้าทำไม่ได้จริงๆ!”
ปี้อวี้คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะไม่เป็นเหมือนกับที่นางคิดเอาไว้เลยแม้แต่นิดเดียว
โจวเสาจิ่นกล่าวออกมาจากใจจริงว่าไม่เห็นด้วยกับการหมั้นหมายในครั้งนี้
กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับนายท่านสี่คิดถูกแล้ว!
ปี้อวี้รู้สึกโล่งราวกับได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกไป กระซิบกล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรองไม่ตำหนิที่ข้าปากมาก็พอแล้วเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องนี้ ท่านไปหารือกับใต้เท้าโจวจะดีกว่า! อย่าให้กลายเป็นว่าสุดท้ายต้องหมางใจกับญาติพี่น้อง ความรักที่มีมาตลอดหลายปีจะหายไปในพริบตา!”
“ขอบใจมากๆ!” โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณปี้อวี้อีกครั้ง แล้วส่งปี้อวี้ออกไปด้วยตัวเอง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น โจวชูจิ่นเห็นสีหน้าของโจวเสาจิ่นไม่ค่อยดีนัก ถามนางยิ้มๆ ว่า “เมื่อวานปี้อวี้คุยอะไรกับเจ้าหรือ”
“อ้อ!” โจวเสาจิ่นปกปิดด้วยการก้มหน้าลงแล้วคีบหมั่นโถวทอดมาชิ้นหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “อยากรู้ว่าข้ากลับไปแล้วจะได้กลับมาอีกหรือไม่เจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นถามนาง “แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร”
นี่นับเป็นครั้งแรกที่พวกนางสองพี่น้องพูดถึงเรื่องนี้อย่างเป็นทางการเช่นนี้
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าคิดว่าหลังจากปักปิ่นแล้วข้าจะตามไปอยู่เป่าติ้งกับท่านพ่อ ส่วนก่อนหน้านั้นก็อยู่กับท่านยายไปก่อน จะได้ตอบแทนบุญคุณท่านด้วยเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นไม่แสดงความเห็นอะไร
เรื่องนี้ต้องหารือกับบิดา แต่บิดากลับยังไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ว่าจะให้น้องสาวไปอยู่ที่ไหน หากไม่ใช่เพราะยังตัดสินไม่ได้ก็คงเป็นเพราะมีแผนการอย่างอื่น หรือไม่ก็คงรอให้หลี่ซื่อมาแล้วค่อยคุยกันอีกที
นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา พูดถึงเรื่องดอกไม้พวกนั้นขึ้นมา “ฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงผลัดเปลี่ยนกระถางพอดี เอากลับไปด้วยดีกว่า หากเจ้าได้กลับมาที่ซอยจิ่วหรูอีก ค่อยนำกลับมาด้วยก็ได้”
หากนางกลับมาที่ซอยจิ่วหรูอีก เกรงว่าคงต้องอยู่ยาวเสียแล้ว
โจวเสาจิ่นขานรับยิ้มๆ หันไปยื่นมือให้เสวี่ยฉิว
เสวี่ยฉิวกระโจนเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของนาง
นางลูบขนของเสวี่ยฉิวเบาๆ กล่าวว่า “พวกเราจะได้กลับบ้านกันแล้ว!”
เสวี่ยฉิวเห่า บ๊อกบ๊อก สองครั้งอย่างไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น
***
เหมือนกับชาติที่แล้ว ช่วงเช้าของวันตรุษเล็กวันนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจับมือของโจวชูจิ่นเอาไว้พูดคุยกันเป็นเวลานาน ตอนที่ออกมากินข้าวร่วมกันนั้น นัยน์ตาของฮูหยินผู้เฒ่ากวนและโจวชูจิ่นต่างแดงก่ำ สีหน้าเศร้าโศกยิ่งนัก ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเกลี้ยกล่อมไปกว่าครึ่งค่อนวัน ฮูหยินผู้เฒ่ากวนถึงได้เก็บความโศกเศร้าเอาไว้ หลังจากที่ทุกคนรับประทานอาหารกันอย่างมีความสุขแล้ว ก็ถึงเวลาส่งโจวเสาจิ่นสองพี่น้องกลับบ้าน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเป็นยาย อีกทั้งยังเป็นแม่หม้าย ถึงแม้นางจะเลี้ยงดูโจวชูจิ่นมา แต่ตอนโจวชูจิ่นแต่งงานกลับไม่อาจมากล่าวอำลาท่านยายของตนได้ พอโจวชูจิ่นนึกถึงว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางจะได้พบฮูหยินผู้เฒ่ากวนก่อนนางออกเรือน น้ำตาจึงไหลพรากออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของฮูหยินผู้เฒ่ากวนอย่างแสนเสียดายที่จะต้องจากไป
โจวเสาจิ่นกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยืนน้ำตาไหลไม่หยุดอยู่ข้างๆ
เฉิงเหมี่ยนเป็นบุรุษ ควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่า โบกมือให้โจวเสาจิ่นด้วยนัยน์ตาแดงเรื่อ กล่าวขึ้นว่า “รีบกลับบ้านเถิด! หากช้ากว่านี้จะถึงเวลาห้ามออกนอกเคหะสถานยามกลางคืนแล้ว ไม่ใช่ว่าจะพบกันไม่ได้อีก หรือว่าวันที่สองเจ้าจะไม่มาไหว้ปีใหม่ลุงแล้วอย่างนั้นหรือ!”
“เปล่าเจ้าค่ะๆ” โจวชูจิ่นเช็ดน้ำตา กล่าวอำลาคนตระกูลเฉิงจวนสี่อย่างแสนอาลัย น้ำตาไหลไปตลอดทางระหว่างทางกลับบ้านตระกูลโจว
บ้านตระกูลโจวยามนี้กับตอนที่โจวเสาจิ่นเห็นเมื่อคราวก่อนไม่ค่อยเหมือนกันนัก กำแพงสีขาวสะอาด หลังคาเกล็ดปลาสีดำนั้นเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ ดูเรียบร้อยยิ่งนัก พอเข้าประตูไป แม้แต่ต้นไผ่ก็ยังดูมีชีวิตชีวามากเป็นพิเศษ
ภรรยาของหม่าฟู่ซานกล่าวยิ้มๆ ว่า “ได้รับคำสั่งจากนายท่านว่า คุณหนูใหญ่ใกล้จะออกเรือนแล้ว ให้ซ่อมบำรุงเรือนใหม่สักครั้ง วันที่ท่านบุตรเขยมารับคุณหนูจะได้ไม่เป็นที่ดูถูกเอาได้เจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นหน้าแดงเถือก
โจวเสาจิ่นเม้มปากลั้นยิ้ม ในที่สุดก็โล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
นางปลอบโยนพี่สาวมาตลอดทาง แต่ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไรพี่สาวก็เอาแต่น้ำตาไหลพรากไม่หยุดประหนึ่งฝนในฤดูใบไม้ผลิ จนนางเกือบจะร้องไห้ตามไปด้วยแล้ว
ขณะที่ฉือเซียงและอีกหลายคนช่วยล้างหน้าล้างตาให้โจวชูจิ่นอยู่นั้น โจวเสาจิ่นก็ไปสั่งการสาวใช้และบ่าวชราให้นำหีบสัมภาระและสินสอดที่โจวชูจิ่นเตรียมจะนำไปตระกูลเลี่ยววางไว้ด้วยกัน รอให้ถึงวันมงคลแล้วส่งไปเจิ้นเจียงพร้อมกัน
ปี้เถาเข้ามารายงานว่า “คุณหนูรอง แม่นางซือเซียงพาสามีมา บอกว่าอยากมาโขกศีรษะให้ท่านกับคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจเล็กน้อย
ชาติก่อนหลังจากซือเซียงออกไปแล้วก็ไม่เคยกลับมาอีก
นางให้สาวใช้เด็กพาซือเซียงเข้ามา
ซือเซียงเกล้าผมขึ้นทั้งหมด สวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหังโจวบุฝ้ายที่นางมอบให้ก่อนหน้านี้ ใบหน้าเย็นจนแดงก่ำ มีท่วงท่าของคนที่แต่งงานแล้ว ก้าวออกมาคำนับนาง
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางสอบถามถึงเรื่องราวหลังจากที่แต่งงานออกไปแล้ว ทราบว่าคนที่นางแต่งงานด้วยผู้นั้นแซ่หลู นางเป็นสะใภ้คนโต แม่สามีให้ความเคารพ สามีเอาใจใส่ มีชีวิตราบรื่นดียิ่ง กลับมาคารวะนางครั้งนี้ก็มิใช่เพราะได้รับความลำบากอะไร เพียงแต่ได้ยินว่านางกลับมาจากเขาผู่ถัวแล้ว งานแต่งงานของโจวชูจิ่นก็ถูกกำหนดวันเรียบร้อยแล้ว จึงมาโขกศีรษะให้พวกนาง เป็นมารยาทของบ่าวเก่าแก่ที่พึงกระทำให้ดีที่สุด
นางยังนำอาหารหมักดองที่แม่สามีของนางทำมาด้วยเล็กน้อย กล่าวว่า “…คนที่เคยได้รับประทานต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย นำมาให้คุณหนูทั้งสองท่านลองชิมดู ถือเป็นน้ำใจจากพวกข้าเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นรับของมา คุยกับซือเซียงครู่หนึ่ง จากนั้นมอบสุราให้สามีของนางหนึ่งขวด มอบขนมให้พ่อสามีและแม่สามีหนึ่งห่อ ผ้าอีกหลายผืน เงินอีกสองเหลี่ยง แล้วรั้งให้ซือเซียงสองสามีภรรยาค้างด้วยหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นรับประทานมื้อเช้าแล้วถึงค่อยกลับออกไป
ตกกลางคืน หม่าฟู่ซานบอกพวกนางสองพี่น้องว่า “เฉิงลู่กลับมาแล้วขอรับ!”
โจวเสาจิ่นสองพี่น้องอดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “รู้หรือไม่ว่าปีที่ผ่านมานี้เขาอยู่ที่สำนักศึกษาเย่ว์ลู่เป็นอย่างไรบ้าง”
หม่าฟู่ซานกล่าว “ได้ยินว่าปีนี้ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ในบรรดาคนที่ถูกส่งไปจากซอยจิ่วหรูนั้นเขาเป็นคนที่มีผลงานยอดเยี่ยมที่สุดขอรับ”
เช่นนั้นก็ยิ่งปล่อยเขาเอาไว้ไม่ได้!
โจวชูจิ่นกล่าว “ยังไม่มีจดหมายมาจากท่านพ่อหรือ”
หม่าฟู่ซานกล่าวยิ้มๆ ว่า “น่าจะให้ท่านผู้ช่วยนำติดตัวกลับมาด้วยขอรับ!”
โจวชูจิ่นออกเรือน โจวเจิ้นกลับมาไม่ได้ แต่นอกจากเขาจะให้หลี่ซื่อกลับมาเป็นเถ้าแก่ในงานแต่งงานของโจวชูจิ่นแล้ว ยังให้ผู้ช่วยหลี่และหลี่ฉางกุ้ยผู้ติดตามของโจวเจิ้นกลับมาด้วย
สองพี่น้องได้แต่ต้องอดทนรอ
หลังจากผ่านพ้นเทศกาลโคมไฟแล้ว หลี่ซื่อก็เร่งเดินทางกลับมาจากเมืองเป่าติ้ง
นางไม่ได้พาโจวโย่วจิ่นกลับมาด้วย
อำนาจหลังบ้านบางครั้งก็ไม่แน่นอนดั่งลมตะวันออกที่อาจพัดแรงกว่าลมตะวันตกได้ทุกเมื่อ
โจวชูจิ่นได้เปิดเผยความสามารถของนางออกมาให้เห็นอย่างเต็มที่แล้ว ทำให้หลี่ซื่อหวาดกลัวเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นางกลัวว่าบุตรสาวที่ชอบร้องไห้กระจองอแงจะทำให้โจวชูจิ่นไม่ชอบใจ จึงไม่พานางกลับมาด้วย ได้แต่บอกไปว่าเป็นเพราะต้องเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน โจวโย่วจิ่นยังเล็กนัก เกรงว่าร่างกายจะรับไม่ไหว
โจวเสาจิ่นพยักหน้าซ้ำๆ กล่าวว่า “อากาศช่วงนี้ไม่ค่อยดีจริงๆ รอให้โย่วจิ่นโตอีกหน่อย ท่านมีเวลาแล้วค่อยพานางไปเยี่ยมพี่สาวที่จิงเฉิงก็ได้ เมืองเป่าติ้งกับจิงเฉิงใกล้กันยิ่งนัก”
ทางด้านโจวเจิ้นได้รับจดหมายแล้ว ทราบว่าฟางซื่อใช้เงินส่วนตัวซื้อบ้านให้พวกโจวชูจิ่นหนึ่งหลัง จึงพึงพอใจฟางซื่อแม่สามีผู้นี้เป็นอย่างมาก
หลี่ซื่อรีบกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “นี่เป็นวาสนาของคุณหนูใหญ่ โย่วจิ่นของพวกเราจึงได้อานิสงส์ไปด้วย ถึงเวลานั้นก็จะได้ไปเดินเล่นที่จิงเฉิงด้วย”
โจวชูจิ่นไม่ได้ปรารถนาจะพบโจวโย่วจิ่นอยู่แล้ว หลี่ซื่อไม่ได้พาโจวโย่วจิ่นกลับมาด้วยก็ตรงกับความต้องการของนางพอดี
นางยิ้มพลางกล่าวทักทายหลี่ซื่อไปหลายประโยค กล่าวขึ้นอีกว่า “ฮูหยินยังคงพักอยู่ที่ห้องหนังสือเหมือนคราวก่อนดีหรือไม่ ก่อนหน้านี้ในบ้านไม่มีผู้ใด ข้าเกรงว่าจะถูกขโมยขึ้นบ้าน ข้าวของต่างๆ ที่เหลือทิ้งไว้ของท่านแม่จึงล้วนเก็บเอาไว้ที่เรือนหลักทั้งสิ้น…”
หลี่ซื่อไม่กล้าโต้เถียงกับนางอยู่แล้ว กล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูใหญ่พูดได้ตรงกับใจข้ายิ่งนัก คุณหนูใหญ่จะออกเรือนมีเรื่องต้องจัดการมากมาย ข้าพักอยู่ที่ห้องหนังสือ จะได้สั่งการพวกป้าแม่บ้านเหล่านั้นได้สะดวก ส่วนคุณหนูใหญ่เองก็จะได้ตระเตรียมธุระต่างๆ ก่อนออกเรือนได้อย่างสบายใจ”
ตามหลักแล้ว หลังจากหญิงสาวออกเรือนแล้วไปทำความรู้จักญาติพี่น้อง จะต้องทำรองเท้าให้คนในครอบครัวสามีคนละหนึ่งคู่ แน่นอนว่าก็มีบ้างที่ไม่ได้เคร่งครัดนัก อาจจะให้เพียงพ่อแม่สามีและพี่น้องร่วมบิดามารดาเท่านั้น ทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถทางการเงินของฝ่ายเจ้าสาว
แน่นอนว่าโจวชูจิ่นย่อมไม่ทำด้วยตัวเอง หลังจากได้ขนาดรองเท้าของทุกคนในตระกูลเลี่ยวมาแล้ว ก็เชิญป้าช่างเย็บปักมาทำรองเท้าที่บ้าน
แต่เรื่องนี้ย่อมไม่มีผู้ใดเปิดเผย
โจวชูจิ่นกล่าวขอบคุณอย่างเป็นธรรมชาติ ให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานพาหลี่ซื่อไปพักผ่อน
หลี่มามาบ่าวข้างกายของหลี่ซื่อนับตั้งแต่ทราบเรื่องว่าหลานทิงกับซินหลานล้วนถูกจัดการอยู่ในเงื้อมมือของโจวชูจิ่น ทำให้ยามอยู่ต่อหน้าโจวชูจิ่นไม่กล้าแม้แต่จะมอง ประคองหลี่ซื่อไปที่ห้องหนังสืออย่างขลาดกลัว
ฉือเซียงเข้ามารายงานว่า “คุณหนูใหญ่ พ่อบ้านหม่าบอกว่า ผู้ช่วยหลี่ต้องการคารวะคุณหนูใหญ่ เชิญคุณหนูใหญ่ไปที่ห้องรับรองแขกเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นไม่แปลกใจเลยสักนิด ยิ้มพลางกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าไปกับข้าด้วยก็แล้วกัน!”
โจวเสาจิ่นไม่ได้คิดอะไรมาก เข้าใจว่าพี่สาวต้องการให้นางไปเป็นเพื่อน ไม่คาดคิดว่าเมื่อไปถึงห้องรับรองแขกแล้ว ผู้ช่วยหลี่ผู้ซึ่งไว้เคราแพะ หน้าตาธรรมดาสามัญ นั่งอย่างมั่นคงอยู่หลังฉากกั้นผ้าไหม ภายในห้องที่ไม่มีบ่าวรับใช้เหลืออยู่นั้นจะกล่าวขึ้นว่า “นายท่านให้ข้ากลับมา หลักๆ แล้วเพื่อจัดการเฉิงลู่ผู้นั้น เพียงแต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล เกรงว่าก่อนจะจัดการเรื่องคงต้องบอกกล่าวกับตระกูลเฉิงสักครั้งก่อน! ความหมายของใต้เท้าก็คือ จะให้ดีที่สุดควรจะเชิญนายท่านใหญ่เหมี่ยนไปแจ้งกับจวนหลักสักหน่อย ไม่ทราบว่าคุณหนูใหญ่…และคุณหนูรองคิดเห็นอย่างไรบ้าง”
โจวเจิ้นให้เขามาหาโจวชูจิ่นให้ช่วยแนะนำคนตระกูลเฉิงให้เขา แต่เมื่อเขาได้ยินว่าคุณหนูรองก็มากับคุณหนูใหญ่ด้วย จึงเพิ่มคำว่า ‘คุณหนูรอง’ เข้าไปด้วย
…………………………..