ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 238 แจ้ง

โจวเสาจิ่นกระโดดลุกพรวดขึ้นมา

เช่นนั้นมิเท่ากับว่านางจะไม่ได้เจอท่านน้าฉือหรอกหรือ!

“นี่ก็ผ่านเทศกาลปีใหม่ไปแล้ว เขาไปเยี่ยมเยียนใครกัน!” โจวเสาจิ่นบ่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ “เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่เคยได้ยินใครพูดถึงเลย”

เจินจูรู้ว่าความสัมพันธ์ของโจวเสาจิ่นกับจี๋อิ๋งดียิ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “หากนายท่านสี่บอกว่าต้องการออกจากบ้าน จี๋อิ๋งจะห้ามปรามได้หรือเจ้าคะ ถ้านางรู้ว่าท่านมาวันนี้ ต้องเสียดายมากแน่ๆ ท่านต้องการฝากข้อความอะไรให้จี๋อิ๋งหรือไม่ ข้าจำได้ว่าฤกษ์แต่งงานของคุณหนูใหญ่ตรงกับวันที่เก้าเดือนสาม ยังเหลืออีกสองเดือน ถึงเวลานั้นให้จี๋อิ๋งไปเยี่ยมท่านก็ได้เจ้าค่ะ!”

โจวเสาจิ่นผิดหวังยิ่งนัก

ยังดีที่นางรอไม่นานฮูหยินซ่งก็กล่าวอำลา

นางไปพบฮูหยินผู้เฒ่ากัว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดีใจเหลือแสน จับมือของนางเอาไว้พลางมองสำรวจนางไม่หยุด กล่าวขึ้นว่า “เอ สูงขึ้นอีกเล็กน้อยแล้ว แล้วก็งดงามมากขึ้นด้วย แต่ว่าผอมเกินไปหน่อย ต้องกินให้มากขึ้นอีกสักหน่อย เห็นได้ชัดว่าช่วงปีใหม่ไม่ค่อยได้กินดีๆ!”

โจวเสาจิ่นยิ้มอย่างขัดเขิน

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้นางนั่งลงข้างกาย สั่งให้เจินจูนำน้ำชามาขึ้นโต๊ะ

โจวเสาจิ่นยิ้มร่า กล่าวขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ไปนั่งที่ห้องน้ำชาก็เลยดื่มชาและกินของว่างเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

“ของข้าที่นี่อร่อยกว่า” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ สั่งให้เจินจูไปหยิบกล่องสีแดงทองที่ดูเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดีบนโต๊ะน้ำชาในห้องชั้นในออกมา จากนั้นกระซิบกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “พี่สาวเจิงของเจ้าส่งมาให้ เป็นขนมของชาววังอย่างแท้จริง ไม่เหมือนกับของจกตาหลอกผู้คนในเมืองจิงเฉิงเหล่านั้น เจ้ากินแล้วก็จะรู้เอง”

โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวชอบที่นางเป็นเช่นนี้ หากกินก็บอกกิน ไม่กินก็บอกไม่กิน ไม่ต้องแสร้งแกล้งเอาใจเพราะเกรงใจ

พอเปิดกล่องออกโจวเสาจิ่นก็ได้กลิ่นหอมหวาน ชื่อที่เขียนอยู่บนฉลากสีเหลืองสดใสนั้นทำให้แค่มองโจวเสาจิ่นก็รู้ได้ว่านี่เป็นของที่มีในพระราชวังเท่านั้น

นานหลายปีแล้วเหมือนกันที่นางไม่ได้กินขนมกินเล่นของพระราชวัง นอกจากนี้นี่ยังเป็นเค้กกุหลาบของหูเอ้อขนมที่ขึ้นชื่อที่สุดของพระราชวังอีกด้วย

ถึงจะบอกว่าชื่อเค้กกุหลาบ แต่จริงๆ แล้วเป็นเค้กที่ทำมาจากถั่วแดง

แต่เค้กถั่วแดงของหูเอ้อนี้มีสีสันสดใส รสชาติละมุนลิ้น ทั้งหอมและหวาน โจวเสาจิ่นกินไปเพียงหนึ่งคำ ก็ยิ้มดีใจจนตาหยี

ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะฮ่า เอ่ยขึ้นว่า “อร่อยใช่หรือไม่!”

ในปากของโจวเสาจิ่นยังเต็มไปด้วยขนม จึงได้แต่พยักหน้ารับ

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มตาหยีพลางกล่าว “ค่อยๆ กิน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นของเจ้า ประเดี๋ยวข้าจะให้พวกนางเอากลับไปให้เจ้า”

โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมา รีบกลืนขนมที่อยู่ในปากลงไป กล่าวขึ้นว่า “ไม่ต้องเจ้าค่ะ ข้ากินสักสองสามชิ้นก็พอแล้ว ท่านเก็บเอาไว้รับประทานเถิดเจ้าค่ะ”

“ข้าแก่แล้ว ฟันไม่ค่อยดี กินของหวานมากไปจะปวดฟันเอาได้” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอย่างรักใคร่ “น้าฉือของเจ้าก็บอกว่าอร่อย ข้าให้เขาไปหนึ่งกล่อง กล่องนี้เก็บเอาไว้ให้เจ้า”

หลังจากที่ทราบว่าท่านยายมีเจตนาจะให้นางหมั้นหมายกับเฉิงอี้ โจวเสาจิ่นก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจขึ้นมา

ตอนที่นางกับพี่สาวเข้าจวนมาไหว้ปีใหม่ท่านยายกับท่านป้าใหญ่ในวันที่สองนั้น หลังจากไหว้เสร็จก็รีบกลับบ้านที่ถนนผิงเฉียวเลย

ไม่แน่ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวอาจคิดว่าตนกับพี่สาวจะมาไหว้ปีใหม่นางด้วย ก็เลยเก็บขนมเอาไว้ให้นาง

โจวเสาจิ่นรู้สึกผิดยิ่งนัก อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็รู้สึกว่าไม่ว่าจะพูดอะไรก็ล้วนเป็นเพียงข้ออ้างหนึ่งเท่านั้น ก็เหมือนกับครั้งนี้ หากมิใช่เพราะนางมีเรื่องมาหาท่านน้าฉือ เกรงว่าก็คงจะไม่ได้มาเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่าเช่นกัน

นางได้แต่กล่าวว่า “เค้กกุหลาบนี้อร่อยมากจริงๆ เจ้าค่ะ!”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางลูบศีรษะของนาง กล่าวขึ้นว่า “มารดาเลี้ยงของเจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อใดหรือ พรุ่งนี้ข้าเชิญนางมากินข้าวด้วยสักมื้อก็แล้วกัน! ถือเป็นการเลี้ยงต้อนรับนาง”

โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็แทบจะสำลัก

ฮูหยินชั้นสูงในเมืองจินหลิงแห่งนี้มีสักกี่คนกันที่มีคุณสมบัติพอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเลี้ยงต้อนรับ

นางรีบกล่าว “ไม่ต้องเจ้าค่ะๆ ท่านยุ่งมากขนาดนี้…”

“เด็กโง่” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ “ข้าทำเพราะให้หน้าเจ้าหรอก!” เห็นว่าโจวเสาจิ่นอยากจะกล่าวอะไรอีก นางจึงเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้ให้เป็นไปตามนี้ก็แล้วกัน ประเดี๋ยวเจ้าไปบอกมารดาเลี้ยงของเจ้าด้วย เทียบเชิญของข้าจะตามไปในไม่ช้า ให้พวกป้าๆ ของเจ้ามาร่วมด้วยก็แล้วกัน ต่อไปเมื่อเจ้าได้พบนาง เวลาพูดอะไรก็จะได้ยืดหลังตรงได้บ้าง” กล่าวอีกว่า “เจ้าคงถือโอกาสตอนที่มารดาเลี้ยงกับยายของเจ้าคุยกันอยู่แล้วมาที่นี่กระมัง เช่นนั้นข้าจะไม่รั้งเจ้าให้อยู่รับมื้อเที่ยงด้วยแล้ว กลับไปก็แบ่งขนมให้มารดาเลี้ยงของเจ้าด้วยก็แล้วกัน”

น้ำตาของโจวเสาจิ่นเกือบจะร่วงหล่นลงมา

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ถึงแม้จะผ่านปีใหม่มาแล้ว แต่ที่นี่ข้าก็ยังไม่อนุญาตให้ร้องไห้ รีบเช็ดน้ำตาเสีย”

โจวเสาจิ่นยิ้มขณะที่น้ำตายังคลอเบ้า

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงถามถึงการเตรียมงานแต่งงานของโจวชูจิ่นขึ้นมา

โจวเสาจิ่นตอบไปเป็นข้อๆ จากนั้นก็คล้ายจะอยากพูดแต่ก็หยุดไปอีก

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามนาง “เป็นอะไรหรือ”

โจวเสาจิ่นจึงกระซิบเล่าเรื่องที่นางอุ้มอิฐของเจดีย์เหลยเฟิงจากเมืองหังโจวกลับมาให้พี่สาวให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง จากนั้นกล่าวขึ้นอย่างเป็นกังวลว่า “ท่านว่า ข้าจะเอาไปให้พี่สาวอย่างไรดีเจ้าคะ อิฐหนึ่งก้อนเป็นดังตัวแทนของนาหนึ่งผืน หากข้าใส่ไว้หีบสินสอด คนของตระกูลเลี่ยวจะเข้าใจผิดหรือไม่ แต่หากไม่เอาไปด้วย นั่นจะไม่เท่ากับว่าจะกลายเป็นของๆ ข้าเองไปแล้วหรือเจ้าคะ…”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ทราบมาก่อนว่ามีเรื่องเช่นนี้ด้วย

นางหัวเราะไม่หยุด กล่าวขึ้นว่า “ผู้ใดไปอุ้มอิฐก้อนนั้นมาให้เจ้ากัน! ข้าจำได้ว่าตอนนั้นพวกเราไม่ได้ไปเจดีย์เหลยเฟิงนี่นา! คงไม่ใช่ว่าเป็นหลงจู๊ของสาขาย่อยเหล่านั้นหรอกกระมัง”

“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นใบหน้าแดงเรื่อ กล่าวอย่างกระดากอายว่า “เป็นข้าไปขอร้องท่านน้าฉือให้ช่วยเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดย่นหัวคิ้วขึ้นไม่ได้

เจ้าสี่หรือ!

ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เขากลายเป็นคนที่เพียงมีคนมาขอร้องก็ตอบตกลงช่วยเหลือแล้ว!

นี่ออกจะน่าสนใจไม่น้อย!

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “ตอนที่หญิงสาวแต่งงานออกไปนั้น บ่าวรับใช้ที่เป็นสินสอดก็ร่วมเดินทางไปกับเจ้าสาวด้วย เจ้านำอิฐก้อนนั้นไปให้บ่าวรับใช้ที่เป็นสินสอดอุ้มไปด้วยก็ได้แล้ว เมื่ออุ้มไปถึงแล้ว จะให้ดีที่สุดคือนำไปวางไว้ใต้เตียง เช่นนี้จะศักดิ์สิทธิ์ที่สุด!”

“อ้อ!” โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งไปเปลาะหนึ่ง จดจำเอาไว้ แล้วกล่าวว่า “ถึงเวลานั้นข้าจะบอกฉือเซียงไว้ นางตามพี่สาวไปด้วยเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองท่าทางว่าง่ายและเชื่อฟังของนางแล้ว ก็อดไม่ได้ลูบศีรษะของนางอีกครั้ง จนเกือบจะบอกนางไปว่า หลังจากพี่สาวของเจ้าแต่งงานแล้ว เจ้ามาอยู่กับข้าก็แล้วกันไปแล้ว แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่ว่ายังหาตระกูลบ้านสามีให้โจวเสาจิ่นไม่ได้ จึงต้องกลืนคำพูดนี้ลงไปก่อน แล้วพร่ำบ่นอยู่ในใจว่าชายหนุ่มที่ดีๆ สักหน่อยของเมืองจินหลิงนี้หายไปไหนกันหมด หากมิใช่เพราะความรู้ความสามารถไม่พอก็เป็นเพราะรูปร่างหน้าตาไม่ดีพอ ยังดีที่นางไม่ได้เลือกว่าเป็นตระกูลที่มีอำนาจด้วย หากเลือกว่าต้องเป็นตระกูลที่มีอำนาจด้วยแล้วล่ะก็ เกรงว่าล้วนไม่มีผู้ใดที่เหมาะสมเป็นแน่

ดูทีแล้ว คงต้องไปหาเอาจากพวกตระกูลใหญ่ๆ เสียแล้ว!

ทั้งสองคนคุยกันไปพักหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นว่าเที่ยงแล้ว จึงเร่งให้โจวเสาจิ่นกลับเรือนเจียซู่ “เกรงว่ายายของเจ้าคงจัดโต๊ะเสร็จนานแล้ว ข้าจะไม่รั้งเจ้าเอาไว้แล้ว”

โจวเสาจิ่นรู้สึกละอายใจยิ่งนัก

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดีกับนางขนาดนี้ แต่นางกลับไม่อาจตอบแทนให้เทียบเท่ากับที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทำให้นางได้

พูดไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นคนที่โดดเดี่ยวเดียวดายยิ่งนักผู้หนึ่ง

บุตรชายสามคน บุตรสะใภ้สองคน หลานชายสองคน แต่นอกจากท่านน้าฉือแล้ว คนอื่นๆ ทั้งแต่งงานแล้วและก็อยู่ไกลถึงจิงเฉิง คนอายุเท่าฮูหยินผู้เฒ่านี้ ต่อให้นางทำงานเย็บปักมาให้นางมากเท่าไร หรือแสดงความกตัญญูด้วยการทำอาหารมาให้นางมากเท่าใด ก็ไม่สู้กับการที่นางมาคุยเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวบ่อยๆ

นางกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะมาหาท่านอีกนะเจ้าคะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้ายิ้มๆ ให้ปี้อวี้ไปส่งนาง

เมื่อกลับถึงเรือนเจียซู่ ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับหลี่ซื่อและคนอื่นๆ กำลังรอนางอยู่ พอเห็นนางเดินเข้าประตูมาก็รีบถามขึ้นว่า “เหตุใดถึงเพิ่งกลับมาเอาป่านนี้ คุยอะไรฮูหยินผู้เฒ่ากัวบ้าง”

โจวเสาจิ่นเล่าเรื่องที่พรุ่งนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะเลี้ยงต้อนรับหลี่ซื่อให้ทุกคนฟัง

หลี่ซื่อทั้งประหลาดใจและดีใจ กล่าวขึ้นอย่างไม่กล้าจะเชื่อว่า “ให้ข้าหรือ”

โจวเสาจิ่นขานตอบยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” กล่าวต่อว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า ประเดี๋ยวนางจะส่งเทียบเชิญไปให้”

“ไอโหยว!” หลี่ซื่อปลาบปลื้มยินดียิ่งนัก กล่าวประจบประแจงตระกูลเฉิงเล็กน้อยว่า “ประเดี๋ยวกลับไปต้องไปปรึกษาพี่สาวของเจ้าสักหน่อยแล้วว่าจะเอาของอะไรมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าได้บ้าง”

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนรีบรับคำของนางว่า “ชูจิ่นของพวกข้าเก่งเรื่องนี้เป็นที่สุด ท่านไปถามนางถือว่าไปถามถูกคนแล้ว!”

หลี่ซื่อรีบกล่าว “จริงเจ้าค่ะๆ”

ส่วนฮูหยินผู้เฒ่ากวนครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวเช่นนี้แล้ว เจ้าควรจะไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าสักครั้งก่อนจะดีกว่า! ส่วนเรื่องที่ว่าจะมอบของอะไรนั้น แม่ของอี้เกอเอ๋อร์ หลังจากรับมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว เจ้าไปเปิดห้องเก็บของ หยิบของที่พอจะดูได้สักสองสามชิ้นแล้วไปเป็นเพื่อนฮูหยินสักครั้งหนึ่งก็แล้วกัน”

หลี่ซื่อกล่าวขอบคุณไม่หยุด

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นครอบครัวเดียวกันอย่าได้เกรงใจเลย เจ้าเร่งกลับมาเป็นเถ้าแก่ให้ชูจิ่นในวันแต่งงานได้ ข้าก็ซาบซึ้งยิ่งแล้ว เรื่องของนาง คงต้องฝากฝังเอาไว้กับเจ้าทั้งหมดแล้ว”

ความหมายคือทำเพื่อโจวชูจิ่นนั่นเอง

หลี่ซื่อรีบขานตอบ “เจ้าค่ะ” ครั้งแล้วครั้งเล่า ตกบ่ายไปเรือนหานปี้ซานโดยมีฮูหยินใหญ่เหมี่ยนและโจวเสาจิ่นไปเป็นเพื่อน

ไปแล้วก็กลับมาอีกครั้ง โจวเสาจิ่นรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับหันมายิ้มให้นาง กล่าวทักทายหลี่ซื่ออย่างเป็นมิตร

โจวเสาจิ่นจึงช่วยปี้อวี้นำน้ำชาและของว่างมาขึ้นโต๊ะ

ปี้อวี้กระซิบบอกนางว่า “ข้าเห็นชิงเฟิงกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”

“แล้วท่านน้าฉือเล่า”

“ไม่เห็นเจ้าค่ะ!”

ไม่เห็นก็อาจจะเป็นไปได้ว่ายังไม่กลับมา และก็อาจจะเป็นไปได้ว่ากลับมาก่อนที่ชิงเฟิงจะกลับมาแล้ว

โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตัก หาโอกาสออกจากเรือนหลัก แล้วไปที่เรือนหลีอิน

เฉิงฉือยังไม่กลับมา นางได้พบกับซางมามา

ซางมามากล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรองมาได้อย่างไร มาหานายท่านสี่หรือเจ้าคะ นายท่านสี่และคุณชายหกกู้ไปบ้านของสหายผู้หนึ่ง หากท่านมีเรื่องด่วนอะไร ประเดี๋ยวนายท่านสี่กลับมา ข้าจะแจ้งให้เขาทราบเจ้าค่ะ”

ที่แท้ท่านน้าฉือออกไปกับกู้จิ่วเนี่ยนี่เอง

“เช่นนั้นก็รบกวนมามาแล้ว” โจวเสาจิ่นตกรางวัลเป็นลิ่มเงินแปดเฟินให้นางสองก้อน

ซางมามายืนกรานไม่รับ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เพียงนำความไปแจ้งให้ท่านเท่านั้น จะคู่ควรกับความเกรงใจของท่านเพียงนี้ได้อย่างไร”

เป็นนางที่ดูถูกซางมามาไป

โจวเสาจิ่นหน้าแดงขึ้นมา กล่าวว่า “ตอนปีใหม่ข้าไม่ได้พบท่าน นี่ถือเสียว่าเป็นเงินรางวัลที่ข้าให้ชดเชยวันปีใหม่ก็แล้วกัน!”

ซางมามาจึงกล่าวขอบคุณยิ้มๆ แล้วรับมา

โจวเสาจิ่นออกจากเรือนหลีอินมาด้วยความละอาย นั่งเป็นเพื่อนหลี่ซื่อและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นกล่าวอำลาตามหลี่ซื่อ

ระหว่างทางกลับบ้าน หลี่มามาถามหลี่ซื่อว่า “เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่ได้สร้างความลำบากให้ท่านหรอกกระมัง”

“ตระกูลเฉิงมิใช่คนที่ขาดวิสัยทัศน์ขนาดนั้น!” หลี่ซื่อกล่าว แล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นอีกว่า “เดิมทีข้าคิดแต่ว่าคุณหนูใหญ่เก่งกาจ แต่มาดูตอนนี้แล้ว เกรงว่าคุณหนูรองก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน พรุ่งนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวของจวนหลักต้องการเชิญข้าไปกินข้าวด้วย เป็นการเลี้ยงต้อนรับข้า!”

“อา!” หลี่มามาตาค้างพูดไม่ออก

“คิดไม่ถึงใช่หรือไม่” หลี่ซื่อชำเลืองมองหลี่มามาครั้งหนึ่ง กล่าวต่อว่า “ต่อไปเจ้าจะพูดหรือกระทำอะไรต่อหน้าคุณหนูรองก็ระมัดระวังเอาไว้ด้วย”

หลี่มามารีบกล่าวรับประกันว่า “ที่ผ่านมาต่อหน้าคุณหนูทั้งสองข้าให้ความเคารพเป็นอย่างมากมาโดยตลอดเจ้าค่ะ!”

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” หลี่ซื่อพึมพำกล่าว “คุณหนูทั้งสองท่านได้ดี ต่อไปโย่วจิ่นของพวกเราก็จะได้อานิสงส์ไปด้วย เจ้าอย่าได้สร้างเรื่องให้ข้าเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นต่อให้เจ้าเป็นแม่นมของข้า ข้าก็ส่งเจ้ากลับตระกูลหลี่ได้เช่นกัน”

หลี่มามาตัวสั่นสะท้าน กล่าวอย่างร้อนรนว่า “ไม่เจ้าค่ะ ไม่มีทางอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

……………………………….

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน
Status: Ongoing
ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset