โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วใจเต้นตึกตักไม่หยุด ฉับพลันนั้นก็จมเข้าไปอยู่ในสภาวะที่เลือกไม่ได้
หากไม่บอกท่านน้าฉือ แล้วต่อไปท่านน้าฉือไม่สนใจนางขึ้นมาจริงๆ นางจะทำอย่างไร ที่สำคัญก็คือนางยังไม่มีโอกาสได้เล่าเรื่องที่ว่าอนาคตตระกูลเฉิงจะถูกกวาดล้างให้ท่านน้าฉือฟังเลย! แต่ถ้าบอกท่านน้าฉือ เรื่องส่วนเช่นนี้ นางจะเล่าให้ท่านน้าฉือฟังอย่างไรดี นอกจากนี้เรื่องนี้ก็เป็นเพียงเรื่องที่ปี้อวี้ได้ยินท่านยายกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวพูดคุยกันมาเท่านั้น ท้ายที่สุดเรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้นก็ยังไม่ทราบได้ หากเรื่องราวเปลี่ยนไปจากนี้ ท่านน้าฉือจะคิดว่านางฟังเสียงลมเป็นเสียงฝน เก็บความลับไม่อยู่ ไม่รู้จักระมัดระวังหรือไม่
นางลอบสังเกตสีหน้าของเฉิงฉือ
เฉิงฉือยิ้มเย็น
มือของโจวเสาจิ่นบิดเข้าหากันแน่น
นานแล้วที่นางไม่ได้ทำอาการเช่นนี้
เฉิงฉือเห็นแล้วใจอ่อน กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “กำลังกังวลเรื่องหมั้นหมายกับเฉิงอี้อยู่ใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง
ที่แท้ท่านน้าฉือก็รู้เรื่องนี้แล้ว
นางหน้าแดงก่ำ เม้มปากไม่รู้จะกล่าวอะไรดี
เฉิงฉือกล่าว “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง”
จัดการหรือ!
จะจัดการอย่างไร
โจวเสาจิ่นจับแขนเสื้อของเฉิงฉือเอาไว้แน่น กล่าวขึ้นว่า “ท่าน…ท่านอย่าพูดเลยนะเจ้าคะ ท่านยายจะเสียใจได้…”
เฉิงฉือได้ยินแล้วในใจก็บังเกิดไฟโทสะพุ่งพรวดขึ้นมา กล่าวเสียงเคร่งว่า “หรือเจ้าคิดจะแต่งให้อี้เกอเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ”
โจวเสาจิ่นโดนเขาว่าเช่นนี้ ไม่เพียงร้อนรนเท่านั้น ในใจก็หวาดกลัวขึ้นมาด้วย ประหนึ่งว่านางกล่าวอะไรผิดไปอย่างไรอย่างนั้น โบกมือเป็นพัลวันพลางกล่าว “ไม่ใช่เจ้าค่ะๆ ข้าไม่อยากแต่งให้พี่ชายอี้ แต่ข้าก็ไม่อยากทำให้ท่านยายเสียใจเช่นกัน ที่ข้ากลัวมากกว่านั้นคือท่านพ่อกับท่านยายจะมีเรื่องขุ่นเคืองกันเพราะข้าเป็นสาเหตุ…” ขณะที่นางกล่าว ขอบตาก็ร้อนชื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
พวกเขาต่างก็เป็นญาติสนิทของนาง นางจะปล่อยให้ตัวเองเป็นเหตุให้พวกเขามีความบาดหมางกันได้อย่างไร
นางก้มหน้าลง บนแผงขนตายาวนั้นปกคลุมเอาไว้ด้วยหยาดน้ำตาใสระยิบระยับ ประหนึ่งใบไม้อ่อนที่เพิ่งผ่านการชำระล้างของฝนยามวสันต์มา พอแสงอาทิตย์สาดส่อง จึงเหลือเพียงหยาดฝนที่ปรารถนาจะร่วงหล่นลงจากยอดใบไม้เหล่านั้น
เฉิงฉือทอดถอนหายใจครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้าวางใจเถิด ข้าย่อมไม่ไปพูดตรงๆ กับยายของเจ้า และจะไม่ทำให้พวกยายของเจ้าสงสัยว่าเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย…”
“จริงหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้นมาอย่างยินดี หยาดน้ำตาหยดนั้นจึงหยดลงบนแก้ม สะท้อนอยู่บนแก้มอมชมพูของนาง ดูราวกับน้ำค้างยามเช้าหยดหนึ่ง
“จริง!” เฉิงฉือถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง กล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากทำให้พวกเขาลำบากใจ”
“อื้อๆๆ!” โจวเสาจิ่นผงกศีรษะ ดวงตายิ้มหยักโค้งขึ้นราวพระจันทร์เสี้ยว
ช่างเป็นเด็กน้อยผู้หนึ่งจริงๆ!
เฉิงฉืออดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
กระทั่งตอนที่เขาออกจากประตูใหญ่ของตระกูลโจว ขึ้นเกี้ยวเรียบร้อย หลับตาลงและเริ่มนึกถึงเรื่องของเฉิงลู่นั่นเอง ถึงได้พบว่าโจวเสาจิ่นไม่ได้ถามเขาเลยว่าเขาใช้วิธีอะไรไปสืบทราบมาว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนมีความคิดจะเก็บนางไว้ที่จวนสี่
เฉิงฉือส่ายศีรษะ
เด็กผู้นี้ เขาพูดอะไรก็เชื่อไปเสียหมด แม้แต่สอบถามก็ยังไม่คิดจะถามเลยสักคำ
แต่ความรู้สึกที่ว่ามีคนผู้หนึ่งเชื่อมั่นอย่างสุดใจเช่นนี้…ช่างเป็นความรู้สึกที่ดียิ่งนัก!
บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดเขาถึงให้ความช่วยเหลือนางครั้งแล้วครั้งเล่ากระมัง
อย่างไรก็ตาม เรื่องของเฉิงลู่ไม่ได้ยุ่งยาก แต่เรื่องของเฉิงอี้เขากลับต้องค่อยๆ คิดให้ดีๆ เนื่องจากไม่อาจปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจับผิดได้ แล้วก็ไม่อาจทำให้เด็กผู้นี้ลำบากใจด้วยเช่นกัน…
เขาเคาะเกี้ยวเบาๆ เอ่ยกับไหวซานที่เดินตามเกี้ยวมาว่า “นายท่านเก้าของตระกู้จะกลับมาถึงเมื่อใด!”
ไหวซานคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “อย่างเร็วที่สุดก็น่าจะมาถึงประมาณต้นเดือนสองขอรับ”
เฉิงฉือกล่าวอีกว่า “หากเจ้าเมืองอู๋มาเคารพศพ เจ้าอย่าลืมมาบอกข้าด้วย ข้ามีเรื่องจะพูดกับเขา”
ไหวซานขานรับ
ทว่ากลับอดไม่ได้ที่จะรำพึงอยู่ในใจ
ตกลงนายท่านสี่ต้องการหาใต้เท้ากู้หรือต้องการหาใต้เท้าอู๋กันแน่
***
หลังจากส่งเฉิงฉือแล้ว โจวเสาจิ่นก็รีบกลับไปที่เรือนหลัก
โจวชูจิ่นกำลังรอนางอย่างใจจดใจจ่ออยู่
พอโจวเสาจิ่นเข้าประตูมาก็ถูกพี่สาวจับมือเอาไว้
“เสาจิ่น!” โจวชูจิ่นถามอย่างร้อนรน “ท่านน้าฉือว่าอย่างไรบ้าง”
“แน่นอนว่าย่อมตอบตกลงอยู่แล้วเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยี กล่าวด้วยท่าทางปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างยิ่ง
เฉิงฉือรับปากจะช่วยนางจัดการเรื่องหมั้นหมายกับพี่ชายอี้ นางรู้สึกโล่งราวกับได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกไป รู้สึกว่าการเดินเหินก็กระฉับกระเฉงขึ้นมาก อารมณ์ก็ดีเป็นอย่างยิ่งด้วย
โจวชูจิ่นรู้สึกโล่งไปเปลาะหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าไปพูดเกลี้ยกล่อมท่านน้าฉืออย่างไรหรือ”
“ข้าไม่ได้เกลี้ยกล่อมท่านน้าฉือเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “พอข้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านน้าฉือฟัง ท่านน้าฉือก็ตอบตกลงเลย ไม่ได้ ‘พูดเกลี้ยกล่อม’ อะไรเลยเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นประหลาดใจ
โจวเสาจิ่นจึงกล่าวอย่างภูมิใจเล็กน้อยว่า “ท่านน้าฉือบอกว่า คนที่มีพรสวรรค์แต่ขาดคุณธรรมก็เป็นได้แค่คนต่ำต้อย คนต่ำต้อยใช้พรสวรรค์มากลบความชั่วร้ายของตัวเอง ใช้ความกล้าหาญมากลบความอำมหิตของตัวเอง เป็นดั่งเสือที่ติดปีก ยังชมพวกเราว่าทำถูกต้องแล้ว บอกว่าคนอย่างเฉิงลู่นี้ต่อให้ในภายภาคหน้าจะมีความก้าวหน้าอย่างไรก็ไม่อาจสร้างคุณประโยชน์อะไรให้ตระกูลเฉิงได้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นตระกูลเฉิงที่ถูกลากเข้าไปข้องเกี่ยวกับปัญหาแทน ไม่สู้ตัดความทะเยอทะยานของเขาเสียตั้งแต่ตอนนี้ ให้เขาผ่านวันเวลาของชีวิตอยู่แต่ในบ้านจะดีกว่า”
“ท่านน้าฉือช่างมีวิสัยทัศน์ก้าวไกลยิ่งนัก!” โจวเสาจิ่นฟังแล้วก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง อดกล่าวชื่นชมเฉิงฉือออกมาไม่ได้
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้มอย่างภูมิใจ กล่าวขึ้นว่า “ข้าบอกแล้ว หากท่านน้าฉือทราบเรื่องที่เฉิงลู่กระทำ จะต้องไม่ให้ความช่วยเหลือเขาเป็นแน่เจ้าค่ะ!”
“เจ้าเก่งที่สุด!” โจวชูจิ่นเห็นท่าทางเหมือนเด็กที่ต้องการคำชมของนางแล้ว ก็หัวเราะอย่างเบิกบานขณะลูบศีรษะของโจวเสาจิ่น กล่าวอีกว่า “เสาจิ่นของพวกเราเก่งที่สุด!”
โจวเสาจิ่นขัดเขิน ปัดมือของพี่สาว กล่าวอย่างเคืองๆ ว่า “ท่านพี่พูดอย่างไม่จริงใจเลยสักนิด แค่ฟังก็รู้แล้วว่ากำลังหยอกล้อข้าเล่นอยู่!”
โจวชูจิ่นเบิกดวงตาโต กล่าวขึ้นว่า “เพิ่งรู้ว่าจะกล่าวชมเชยก็ต้องจริงใจด้วย! ข้าก็นึกว่าการชมเชยก็เพียงพูดออกมาจากปากเท่านั้นเสียอีก!”
“ท่านพี่!” โจวเสาจิ่นเข้าไปหมายจะหยิกพี่สาว
โจวชูจิ่นเบี่ยงตัวหลบ
สองพี่น้องส่งเสียงโหวกเหวกอย่างครื้นเครงขึ้นมา
ครู่ใหญ่ โจวชูจิ่นถึงได้หัวเราะพลางขอพักยก กล่าวขึ้นว่า “เอาล่ะๆ พวกเรามาพูดเรื่องจริงจังกันเถิด นอกจากเรื่องนี้แล้ว ท่านน้าฉือยังได้กล่าวอะไรอีกหรือไม่ อย่างเช่น ท่านน้าฉือได้บอกหรือเปล่าว่าเขาเตรียมจะจัดการอย่างไร ต้องการให้ท่านพ่อออกหน้าเรื่องอะไรหรือไม่ เป็นต้น”
การที่ตระกูลเฉิงตกลงจะช่วยจัดการเฉิงลู่ให้ ตระกูลโจวก็ซาบซึ้งใจมากยิ่งแล้ว ตอนนี้พวกเขายังตกลงจะออกหน้าช่วยพูดให้อีก แต่คงไม่อาจยกเรื่องทุกอย่างให้เฉิงฉือหรอกกระมัง อะไรที่ตระกูลโจวทำได้ตระกูลโจวก็ควรจะออกหน้าทำให้มากที่สุด โดยเฉพาะเรื่องที่ต้องจ่ายสินบน คงไม่อาจปล่อยให้กลายเป็นว่าตระกูลเฉิงช่วยออกหน้าให้แล้วยังจะให้ตระกูลเฉิงช่วยออกเงินให้ด้วยหรอกกระมัง
เพียงแต่ว่าโจวชูจิ่นไม่อาจกล่าวคำพูดนี้ออกไปตรงๆ ได้ ได้แต่ถามโจวเสาจิ่นไปอย่างอ้อมค้อมเช่นนี้เท่านั้น
ซึ่งโจวเสาจิ่นย่อมฟังความนัยนี้ไม่ออก
นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านน้าฉือกล่าวว่า ให้มอบเรื่องนี้ให้เขา ให้พวกเราไม่ต้องยื่นมือเข้าไปข้องเกี่ยว…” นางเล่ารายละเอียดของเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้พี่สาวฟัง
โจวชูจิ่นฟังแล้วก็ไม่รู้จะกล่าวอะไรไปครู่หนึ่ง
ท่านน้าฉือกล่าวได้มีเหตุผลยิ่งนัก แต่ก็ออกจะ ‘ใจดี’ มากเกินไปหน่อยกระมัง แทบจะรับเรื่องนี้ไปจัดการเองทั้งหมด
นางนึกถึงเครื่องประดับปิ่นปักผมแก้วระยิบระยับจนแสบตาที่กองอยู่บนเตียงหลังจากที่โจวเสาจิ่นกลับมาจากเขาผู่ถัวเหล่านั้น…สายตาเคลื่อนไปตกอยู่บนร่างของโจวเสาจิ่นอย่างช่วยไม่ได้
เส้นผมดำขลับ สีผิวขาวนวลเนียน ริมฝีปากแดงเรื่อ ยังมีดวงตากระจ่างใสคู่นั้น แววตาจริงใจยิ่ง รูปร่างก็ผอมเพรียวโปร่งบาง ประหนึ่งดอกไม้แรกแย้มดอกหนึ่ง…
โจวชูจิ่นอดไม่ได้ร้อง ‘เพ้ย’ ใส่ตัวเองอยู่ในใจเสียงหนึ่ง
นางไปคิดอย่างนั้นได้อย่างไร
ท่านน้าฉือเป็นผู้ใหญ่ของพวกนาง
นอกจากนี้คนอย่างท่านน้าฉือ จะขาดแคลนสาวงามได้อย่างไร ไม่ต้องกล่าวถึงอื่นไกล แค่จี๋อิ๋ง หนานผิง ยังมีเจินจู เฝ่ยชุ่ย ปี้อวี้ และหม่าเหน่าคนข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่ากัวอีก มีคนไหนบ้างที่ไม่ใช่สาวงามอันดับต้นๆ มันจำเป็นด้วยหรือที่เขาจะต้องมาดีกับเสาจิ่นด้วยเหตุนี้
โจวชูจิ่นใบหน้าร้อนผะผ่าว กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น คงไม่อาจปล่อยให้ท่านน้าฉือต้องออกทั้งแรงและออกทั้งเงินหรอกกระมัง”
“แต่ความสัมพันธ์บางอย่างก็ไม่อาจกระทำให้สำเร็จได้ด้วยเงินหรอกกระมัง” โจวเสาจิ่นกล่าว “ข้าคิดว่าแทนที่พวกเราจะมานั่งบวกลบคูณหารกับท่านน้าฉืออย่างละเอียดเช่นนี้ ไม่สู้ไปสืบดูว่าท่านน้าฉือชื่นชอบอะไรบ้าง แล้วพวกเราหาของขวัญส่งไปขอบคุณท่านน้าฉือจะดีกว่าเจ้าค่ะ!”
โจวชูจิ่นได้แต่รู้สึกว่าใบหน้ายิ่งร้อนผ่าวมากยิ่งขึ้น
ผู้คนต่างกล่าวกันว่านางเป็นคนฉลาดมีความสามารถ แต่นางกลับคิดอย่างหลักแหลมได้ไม่เท่าน้องสาว
จริงๆ แล้ว หากใช้เงินแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง พวกเขาจะต้องไปขอความเห็นชอบจากจวนหลักเพื่ออันใด
“เสาจิ่น!” โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ อย่างกระดากอายว่า “เรื่องขอบคุณท่านน้าฉือนี้ มอบให้เจ้าเป็นคนจัดการก็แล้วกัน ถึงเวลาเจ้าก็ไปสืบดูว่าท่านน้าฉือชอบอะไรบ้าง จากนั้นพวกเราค่อยหาของขวัญที่ท่านน้าฉือชื่นชอบไปให้เขาก็แล้วกัน”
โจวเสาจิ่นหัวเราะอย่างเริงร่า กล่าวขึ้นว่า “ไม่ต้องไปสืบข้าก็รู้ว่าหนึ่งในงานอดิเรกที่ท่านน้าฉือชอบคืออะไรเจ้าค่ะ!”
โจวชูจิ่นรีบถามขึ้นว่า “เขาชอบอะไรหรือ”
“ท่านน้าฉือชอบหนังสือ ‘แผนผังเหอถูและจัตุรัสลั่วซู’ เจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นยิ้มพลางเล่าเรื่องที่เฉิงฉือกับท่านผู้เฒ่าซ่งคิดคำนวณเรื่องอุทกวิทยาตอนที่อยู่บนเรือให้พี่สาวฟัง
โจวชูจิ่นขมวดคิ้วมุ่นพลางกล่าว “เช่นนี้คงยุ่งยากแล้ว! พวกเราจะไปหาหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นได้จากที่ใดกัน”
“บอกท่านพ่อก็ได้เจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “หากท่านพ่อไม่มี ก็ค่อยๆ ตามหาต่อไปก็ได้เจ้าค่ะ!”
โจวชูจิ่นหลุดหัวเราะ
เหตุใดวันนี้สมองของนางถึงได้ฝืดเคืองเช่นนี้ ไม่ปราดเปรื่องเหมือนน้องสาวเลยสักนิด
นางกล่าว “ข้าจะไปเรียกผู้ช่วยหลี่เข้ามา ในเมื่อท่านน้าฉือบอกให้พวกเราอย่าสอดมือเข้าไปข้องเกี่ยว พวกเราก็อย่าสอดมือเข้าไปเลยจะดีที่สุด”
ถึงแม้โจวชูจิ่นจะไม่ได้เข้าใจเฉิงฉือทั้งหมด แต่นางก็เชื่อว่าเฉิงฉือที่ก่อตั้งร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ขึ้นมาได้นั้นย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
ตอนที่ผู้ช่วยหลี่ได้ยินว่าต่อไปเขาไม่ต้องทำอะไรอีก เพียงรอนำข่าวคราวของทางนี้ส่งไปให้โจวเจิ้นก็พอนั้น เขาประหลาดใจจนไม่อาจงับปากลงไปพักใหญ่
ตระกูลเฉิงตอบรับคำขอของตระกูลโจวอย่างง่ายดาย กระทั่งไม่ลังเลที่จะทำลายซิ่วไฉผู้หนึ่งที่อาจจะได้รับการเสนอชื่อเป็นตัวแทนของจินหลิงในอนาคตเช่นนี้เลยอย่างนั้นหรือ
ตระกูลเฉิงให้ความสำคัญกับตระกูลโจวมากเกินไปหรือไม่
หรือควรจะกล่าวว่า ตระกูลเฉิงจวนหลัก…ให้ความสำคัญกับคุณหนูรองมากเกินไปหรือไม่
เพียงคุณหนูรองกล่าวไปไม่กี่ประโยค นายท่านสี่ของจวนหลักก็รับปากแล้ว…ตกลงว่าคุณหนูรองมีสถานะอะไรในจวนหลักกันแน่
ผู้ช่วยหลี่อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองไปยังด้านหลังของฉากกั้น
ด้านหลังฉากกั้นผ้าที่ปักลายดอกโบตั๋นสีสดใสดอกใหญ่เอาไว้นั้นมองเห็นเพียงเงาร่างของคนผู้หนึ่งนั่งและอีกผู้หนึ่งยืนอยู่เท่านั้น
ผู้ที่นั่งอยู่นั้นมีท่วงท่าสง่างาม ส่วนผู้ที่ยืนนั้นมีรูปร่างผอมเพรียวดูนุ่มนวล ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างพริ้งเพรา ชดช้อยประหนึ่งต้นหลิว
ผู้ช่วยหลี่ดูผิดหวังยิ่งนัก
คนที่นั่งอยู่ผู้นั้นคงจะเป็นคุณหนูใหญ่ แต่คนที่ยืนอยู่ผู้นั้นจะเป็นคุณหนูรองหรือสาวใช้ข้างกายของคุณหนูใหญ่กันนะ
เขาค้อมตัวพลางถอยออกไป
โจวเสาจิ่นพรูลมหายใจออกมาครั้งหนึ่ง ยิ้มพลางประคองพี่สาวลุกขึ้น กล่าวว่า “เป็นอันว่าเรื่องนี้จัดการเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
โจวชูจิ่นหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ จิ้มหน้าผากของนาง พลางกล่าว “เจ้านี่น้า! ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวว่าคนโง่อย่างเจ้าก็มีความสุขของคนโง่หรือว่าเจ้าสติสับสนจนเลอะเลือนกันแน่ ผู้อื่นที่พานพบกับเรื่องเช่นนี้เกรงว่าคงเป็นกังวลจนนอนแทบไม่หลับ แต่เจ้านั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าผลักทุกอย่างไปไว้กับผู้อื่น ยังจะทำท่าทางไม่เหลียวแลเรื่องของตัวเองเช่นนี้อีก ระวังเถอะท่านน้าฉือมาเห็นเข้าแล้วจะไม่สนใจเรื่องนี้อีก”
โจวเสาจิ่นน้อมรับการสั่งสอนอย่างเชื่อฟัง กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นพวกเราก็เร่งท่านพ่อให้ช่วยหาหนังสือที่คล้ายๆ กับ ‘แผนผังเหอถูและจัตุรัสลั่วซู ’ มาสักสองสามเล่มก็แล้วกัน ท่านน้าฉือเห็นหนังสือแล้ว จะต้องดีใจมากอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ!”
นางนึกถึงภาพของเฉิงฉือที่ขังตัวเองอยู่แต่ในห้องเพื่อคำนวณไม่หยุดแล้ว ก็ยิ้มออกมาจนตาหยี
………………………………………………..