ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 246 เชิญตัว

เฉิงฉือเข้าประตูบ้านมาด้วยสีหน้าดำคร่ำเครียด พบกับเจินจูที่เดินออกมาต้อนรับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความยินดี

เจินจูเห็นท่าทางของเฉิงฉือแล้ว ก็ตกใจจนต้องรีบเก็บความยินดีบนใบหน้ากลับมา ก้าวออกไปทักทายเขาอย่างนอบน้อมว่า “นายท่านสี่”

เฉิงฉือมองนางครั้งหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้

นางตกใจจนตัวสั่น รีบกล่าวอธิบายว่า “นายท่านสี่ ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่าอีกไม่กี่วันจะตามนายหญิงผู้เฒ่าของจวนสี่ไปมอบสินเจ้าสาวให้คุณหนูใหญ่ตระกูลโจว จึงเลือกของเก่าแก่หลายชิ้นออกมาให้พวกข้าช่วยกันดูเจ้าค่ะ…”

เจินจูรู้สึกว่านำเรื่องนี้ขึ้นมาพูด อารมณ์ของเฉิงฉือน่าจะดีขึ้นมาบ้าง

เฉิงฉือชำเลืองมองนางอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง

เรื่องนี้ก็ต้องเอามาพูดด้วยหรือ

เขาตรงดิ่งกลับไปที่เรือนหลีอิน

จี๋อิ๋งกับหนานผิงกำลังสนทนากันอยู่ “วันนั้นเจ้าอยู่เวรแทนข้า พวกข้าจะไปกินเลี้ยงกันที่ถนนผิงเฉียว”

ชิงเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วก็ถามเสียงอึงคะนึงขึ้นว่า “พี่สาวของคุณหนูรองจะออกเรือนหรือ” เขากล่าวน้ำลายสอว่า “วันนั้นข้าไม่มีเวร ข้าไปกับท่านด้วยได้หรือไม่”

เฉิงฉือได้ยินแล้วกรุ่นโกรธจิตใจไม่สงบ แต่ที่ผ่านมาเขาไม่แสดงออกทางสีหน้าท่าทาง จึงกล่าวกับชิงเฟิงเสียงอบอุ่นว่า “นำชาขาวที่คุณชายหกกู้ให้มาเมื่อหลายวันก่อนออกมาชงให้ที!”

ชิงเฟิงยิ้มตาหยีพลางขานตอบว่า “ขอรับ” แล้วรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วดุจควัน

นับตั้งแต่จี๋อิ๋งกลับมาอยู่ข้างกายเฉิงฉือ ก็ปฏิบัติกับเฉิงฉืออย่างพิถีพิถันมากขึ้นหลายส่วน บวกกับที่นางทั้งฉลาดและมีไหวพริบ จึงสังเกตเห็นอารมณ์ไม่ว่าจะเป็นโกรธหรือยินดีของเฉิงฉือได้ดีกว่าชิงเฟิงและหลั่งเย่ว์

นางทำความเคารพเฉิงฉืออย่างนอบน้อม แล้วก้มหน้าก้มตาถอยไปยืนอยู่ข้างๆ

เฉิงฉือเข้าไปในห้องหนังสือ

จี๋อิ๋งถอนใจอย่างโล่งอกไปครั้งหนึ่ง กระซิบถามไหวซานว่า “ผู้ใดทำให้เขาโกรธมาหรือ เหตุใดเขาถึงมีท่าทางควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้และอยากจะระเบิดออกมาเช่นนี้”

ไหวซานส่งสายตาเป็นสัญญาณเตือนนางครั้งหนึ่ง แล้วตามเข้าไปในห้องหนังสือ

ห้องหนังสือของเรือนหลีอินตกแต่งใหม่หลังจากที่เฉิงฉือย้ายเข้ามาอยู่ ห้องข้างขนาดสองห้องกั้นเชื่อมต่อกันด้วยฉากประตูกั้นห้อง แขวนเอาไว้ด้วยผ้าม่านผ้าไหมหังโจวสีเขียวนกแก้ว ช่องหน้าต่างฉลุลายน้ำแข็งแตกระแหงของห้องด้านในเป็นกระจกใส เปิดออกไปเป็นพุ่มต้นไผ่สีเขียวชอุ่ม

นกกระจอกหลายตัวส่งเสียงร้องจิ๊บๆ อยู่บนพื้น

เฉิงฉือปิดหน้าต่างดัง ปัง ทำให้ไหวซานที่เดินตามเข้ามาตกใจไม่น้อย

“สิบสามห้างส่งเงินมาให้หรือยัง” เฉิงฉือถาม

ไหวซานก้มหน้าลง กล่าว “ยังเหลือเวลาอีกสามวันกว่าจะถึงกำหนดขอรับ”

“ไปเร่งพวกเขาเสีย” เฉิงฉือกล่าว “พวกเขาจะรอให้ถึงกำหนดแล้วค่อยส่งเงินมาให้หรืออย่างไร”

ไหวซานขานรับคำว่า “ขอรับ” แล้วออกจากห้องหนังสือไปที่ห้องน้ำชา

ซางมามากำลังต้มชาอยู่ในห้องน้ำชา

นางเป็นคนจากบนเขาเมืองเฉียนซี จึงยังคงติดนิสัยต้มชาดื่ม

เห็นไหวซานเดินเข้ามา นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้ามีเวลามานั่งในห้องน้ำชาได้อย่างไร”

ไหวซานไม่ตอบ เพียงกล่าวกับซางมามาว่า “เทให้ข้าจอกหนึ่ง เติมใบมะกอกให้ด้วย”

ซางมามาไปหาใบมะกอกในลิ้นชัก

ไหวซานนั่งลงบนตั่งข้างหน้าต่าง

หากไปเร่งเอาเงินจากสิบสามห้างอย่างที่นายท่านสี่สั่งจริงๆ คงทำให้คนของสิบสามห้างหัวเราะเยาะเป็นแน่

ไม่แน่ว่ายังทำให้พวกเขาเข้าใจว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นกับนายท่านสี่ถึงต้องรอใช้เงินจำนวนนี้!

เขาตัดสินใจจะรออีกสักประเดี๋ยวหากเฉิงฉือถามถึงอีกครั้ง เขาค่อยวิ่งไปหาสิบสามห้างก็ยังไม่สาย

ส่วนเฉิงฉือเมื่อกล่าวออกไปเช่นนั้นก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา

ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เขาควบคุมอารมณ์ไม่ได้เช่นนี้

ราวกับว่ามองอะไรก็ไม่เข้าตาไปหมด

เขานั่งลงดื่มชาไปจอกหนึ่ง อารมณ์ก็ค่อยๆ สงบลงมา

ท่าทางของโจวเสาจิ่น เห็นได้ชัดว่ามีความยากลำบากที่จะกล่าวอธิบายออกมา

หากนางเจตนาจะหลอกตนจริงๆ ก็น่าจะแสร้งทำตาใสซื่อเป็นผู้บริสุทธิ์ต่อไป หรือไม่ก็อาจจะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรเลยจนกว่าจะถูกเขาเปิดโปง…แต่นางกลับเลือกที่จะเงียบ

บางครั้ง ความเงียบก็เป็นคำตอบประเภทหนึ่ง

นอกจากนี้ตอนนั้นพวกเขาอยู่ที่ถนนผิงเฉียว หลี่ซื่อผู้เป็นมารดาเลี้ยงและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนผู้เป็นป้าของนางต่างอยู่ด้วย รวมถึงพ่อบ้านที่ชื่อหม่าฟู่ซานผู้นั้นก็อยู่ด้วย หากมีเจตนา ทุกการกระทำของพวกเขาล้วนปิดบังพวกเขาเอาไว้ไม่ได้

เขานึกถึงท่าทีของโจวเสาจิ่นตอนที่พูดถึงเรื่องการแก่งแย่งตำแหน่งเจ้ากรมพิธีการระหว่างเฉิงจิงและหวงหลี่ขึ้นมา…บางที จริงๆ แล้วนางไม่ได้ลังเลที่จะบอก อยากจะบอกเขาทว่าก็กลัวผลของมันหลังจากที่บอกเขาแล้วด้วยเช่นกัน ดังนั้นตอนที่เขาพูดว่าต้องการขอบคุณนางนัยน์ตาของนางจึงมีความอึดอัดใจสายหนึ่งวาบผ่าน…

เฉิงฉือกระโดดตัวโหยงลุกขึ้นยืนในทันที

เหตุใดเขาถึงได้เขลาเช่นนี้!

เด็กผู้นั้นเดิมทีก็เป็นคนขลาดกลัวประหนึ่งหนูอยู่แล้ว ถึงแม้จะเชื่อมั่นในตัวเขาแต่ก็หวาดกลัวเขาเช่นกัน นี่อาจมิใช่เหตุผลว่ากลัวเขาไม่เชื่อนาง การที่เขาจ้องนางอย่างโมโหเช่นนั้น นอกจากว่าเขาทำให้นางตกใจกลัวแล้วจะเป็นอะไรไปได้!

“ไหวซานๆ!” เขาก้าวยาวๆ ไปที่หน้าประตู พลางตะโกนเรียกเสียงดังไปด้วย

ไหวซานเพิ่งจะยกจอกชาขึ้น ได้ยินเสียงแล้วยังไม่ทันจะได้ดื่มชาสักอึกก็ต้องวางจอกชาลง รีบวิ่งออกจากห้องน้ำชาไป

แต่เมื่อเฉิงฉือเห็นใบหน้าไร้ความรู้สึกของไหวซานนั่นแล้ว ก็ตระหนักได้ถึงความไม่เหมาะสม

โจวเสาจิ่นเป็นคุณหนูที่ได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในห้องหอของตระกูลใหญ่ ไม่ว่าจะทำหน้าที่ส่งสารหรือทำเรื่องอื่นๆ ไหวซานก็ไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร

จี๋อิ๋งยิ่งไม่เหมาะสม เพราะหากนางรู้เรื่อง ก็เท่ากับว่าคนในเรือนหลีอินทั้งหมดจะรู้เรื่องไปด้วย

ถ้าโจวเสาจิ่นถูกผู้อื่นยุยงอยู่จริง เช่นนั้นก็อย่าได้หวังว่าจะปิดคนที่อยู่เบื้องหลังนางได้เลย

เมื่อความคิดวาบผ่านเฉิงฉือจึงเปลี่ยนความตั้งใจ เขากล่าวเสียงอบอุ่นว่า “เจ้าให้ป้าซางเข้ามาหาหน่อย”

ที่แท้ก็ตามหาป้าซางนี่เอง!

ป้าซางก็อยู่ในห้องน้ำชา เช่นนั้นท่านเรียกข้ามาทำไมกัน

ไหวซานค่อนขอดอยู่ในใจ ทว่าเดินไปยังห้องน้ำชาด้วยสีหน้าปกติ

ซางมามากำลังดื่มชาที่ต้มให้ไหวซานเมื่อครู่นี้อยู่ ดื่มชาไปด้วยพึมพำกล่าวไปด้วยว่า “ชานี้รสชาติดียิ่งนัก! ข้ายังตั้งใจใส่ใบมะกอกเพิ่มไปอีกสองใบ…แต่ไม่ถูกปากไหวซานอย่างนั้นหรือ”

ไหวซานกรุ่นโกรธยิ่งนัก

นี่เขาเพิ่งจะหมุนกายออกไปเพียงครู่เดียวเอง ชาของเขากลับอันตรธานหายไปแล้ว!

เขากล่าวเสียงอู้อี้อยู่ในลำคออย่างเคืองๆ ว่า “ป้าซาง นายท่านสี่เรียกท่าน!”

“อ้อ!” ป้าซางรีบวางจอกชาลง มุ่งหน้าออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว ปากยังกล่าวไปด้วยว่า “ชานั้นหากเจ้าไม่ชอบก็เก็บไว้ให้ข้า ข้าชอบ ใบมะกอกนั้นเป็นของที่เจี่ยงชิ่นมอบให้นายท่านสี่ เป็นใบมะกอกแท้ๆ จากเฉาโจว เจ้าไม่ชอบแต่ข้าชอบ”

ไหวซานมองตามซางมามากระทั่งนางเดินเข้าห้องหนังสือของเฉิงฉือไป ถึงได้เปล่งเสียง “หึ” อย่างเย็นชาออกมาเสียงหนึ่ง

เฉิงฉือสั่งการซางมามาว่า “มิใช่ว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลโจวผู้เป็นพี่สาวของคุณหนูรองใกล้จะออกเรือนแล้วหรือ ตอนที่ข้าเข้ามาได้ยินว่าอีกไม่กี่วันฮูหยินผู้เฒ่าจะตามนายหญิงผู้เฒ่ากวนของจวนสี่ไปมอบสินติดตัวให้คุณหนูใหญ่ตระกูลโจว ข้าคิดว่าข้าเองก็ควรจะมอบของขวัญด้วยสักชิ้นหนึ่ง เจ้าไปบอกเฝ่ยชุ่ยสักหน่อย ให้เฝ่ยชุ่ยตามเจ้าไปที่ถนนผิงเฉียว ไปเชิญคุณหนูรองมาที่นี่ ของขวัญจากข้าจะมอบให้เป็นการส่วนตัวและให้นางนำกลับไปด้วยเลยก็แล้วกัน ให้แยกออกมาจากส่วนของกองกลาง ถือเป็นของขวัญขอบคุณที่ข้ามอบให้นางตอบแทนที่นางรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ช่วงหนึ่ง!”

สมองของซางมามายังไม่ทันได้ขบคิดอย่างถี่ถ้วน เข้าใจว่าเฉิงฉือยังไม่ได้แต่งงาน จึงไม่ทราบธรรมเนียมการมอบของขวัญเหล่านี้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “หากท่านต้องการมอบของขวัญเป็นการส่วนตัว ก็ไม่จำเป็นต้องเชิญคุณหนูรองมาก็ได้ พวกเราหาโอกาสหนึ่งไปเยี่ยมคุณหนูรอง จากนั้นนำของขวัญมอบให้คุณหนูรอง แล้วอธิบายให้คุณหนูรองเข้าใจก็ได้แล้วเจ้าค่ะ…”

เฉิงฉือจ้องนาง

ซางมามาตัวสั่น จากนั้นก็เข้าใจเรื่องราว

เฉิงฉือเป็นถึงผู้ใด

เป็นผู้ดูแลกิจการของซอยจิ่วหรู!

ด้วยนิสัยของเขา ต่อให้ไม่เข้าใจ แต่หากต้องการทำอะไร ก่อนกระทำก็ย่อมสืบจนทราบได้ จะมาแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรต่อหน้าผู้อื่นได้อย่างไร

นางรีบกล่าวส่งเสริมอย่างรีบร้อนว่า “อย่างไรก็ตาม หากของขวัญของนายท่านสี่เป็นของที่มีมูลค่ามาก เช่นนั้นท่านก็มอบให้ถึงมือของคุณหนูรองด้วยตัวเองจะดีกว่า ข้าจะไปบอกเฝ่ยชุ่ย ให้นางติดตามไปกับข้าสักครั้งหนึ่ง เนื่องจากคุณหนูรองคัดพระธรรมอยู่ที่เรือนหานปี้ซานมาปีกว่า ความสัมพันธ์ของนางกับแม่นางหลายคนที่รับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าจึงดียิ่งนัก การที่ท่านมอบของให้คุณหนูใหญ่ตระกูลโจว ก็ถือเป็นหน้าเป็นตาของฮูหยินผู้เฒ่าด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ”

ถือว่าสมองของป้าซางผู้นี้ยังใช้การได้อยู่!

รู้ว่าการที่เขาให้นางพาเฝ่ยชุ่ยไปด้วยก็เพื่อต้องการให้คนที่ถนนผิงเฉียวเข้าใจผิดคิดว่าเป็นมารดาที่เชิญโจวเสาจิ่นมาหารือเรื่องสินติดตัวของโจวชูจิ่น

สีหน้าของเฉิงฉืออ่อนโยนลงเล็กน้อย

ซางมามาต้องยั้งตัวเองไว้ถึงไม่ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก รีบออกจาห้องหนังสือไปอย่างรวดเร็ว

นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

คุณหนูรองคงไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ไปกระตุ้นความโกรธของนายท่านสี่เข้าหรอกกระมัง

อย่างไรก็ตาม นายท่านสี่ก็มิใช่คนจิตใจคับแคบอะไร ดูอย่างเรื่องของจี๋อิ๋งก็รู้แล้ว เช่นนั้นจะไปหาเรื่องคุณหนูรองตระกูลโจวได้อย่างไร

เป็นตนที่คิดมากเกินไปแล้ว!

ทันใดนั้นซางมามาก็นึกถึงเมื่อวานที่ดูเหมือนจะได้ยินใครบอกว่าฉินจื่ออันให้คนไปเชิญตงถิงเข้ามา

หรือว่าอาจจะมีเรื่องอะไรจริงๆ ก็เป็นได้

นายท่านสี่กระทำอะไรก็มักจะลึกลับอยู่เสมอ

ซางมามาไม่คาดเดาอะไรเพิ่มอีก ยิ้มแล้วเดินไปที่เรือนหานปี้ซาน

ได้ยินว่าเฉิงฉือระบุชื่อมาว่าต้องการให้ตนไปเชิญโจวเสาจิ่นมา เฝ่ยชุ่ยกระวนกระวายใจยิ่งนัก

ครั้งก่อนฮูหยินหยวนสั่งให้นางไปพบเฉิงสวี่เป็นเพื่อนโจวเสาจิ่น จนเกิดเรื่องราวใหญ่โตปานนั้นขึ้น ทำให้นางถอยห่างจากโจวเสาจิ่นไม่สนิทสนมกันเช่นเดิม ตอนนี้นายท่านสี่ก็ยังระบุมาว่าให้นางไปเชิญโจวเสาจิ่นมาอีก…นางรู้สึกราวกับว่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างไรอย่างนั้น กระวนกระวายใจยิ่งนัก แต่เมื่อมองหน้ายิ้มคล้ายไม่ยิ้มนั้นของซางมามาแล้ว นางไหนเลยจะกล้ากล่าวอะไรให้มากความ บอกปี้อวี้ให้ทราบเรื่องแล้วก็ตามซางมามาไปที่ถนนผิงเฉียว

เฉิงฉือได้ยินที่ชิงเฟิงกลับมารายงานแล้ว ทำเพียงพยักหน้าเบาๆ เท่านั้น

เขาสังเกตเห็นมาตั้งแต่ตอนอยู่บนเรือแล้วว่า โจวเสาจิ่นสนิทสนมกับปี้อวี้มากที่สุด รองลงมาเป็นเจินจู จากนั้นก็เป็นหม่าเหน่า ส่วนเฝ่ยชุ่ยที่เป็นคนพูดคุยเป็นและฉลาดเฉลียวนั้นกลับเหินห่างมากที่สุด การให้เฝ่ยชุ่ยตามซางมามาไป นางจะไม่เปิดเผยเรื่องราวออกไปอย่างแน่นอน

ณ ถนนผิงเฉียว โจวเสาจิ่นให้ชุนหว่านแอบไปต้มไข่ไก่มาประคบตาให้ตนเงียบๆ ทั้งยังย้ำกำชับชุนหว่านด้วยว่า “เจ้าห้ามบอกผู้ใดเป็นอันขาด!”

ชุนหว่านกล่าวอย่างร้อนใจว่า “ข้าไม่บอกผู้ใดก็ได้ แต่ท่านต้องบอกข้ามาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นนะเจ้าคะ เหตุใดนายท่านสี่ถึงมาหาท่านอย่างกะทันหัน ยังทำให้ท่านเสียใจจนอยู่ในสภาพเช่นนี้อีก”

โจวเสาจิ่นกล่าว “ทรายเข้าตาข้าจึงขยี้จนกลายเป็นสภาพเช่นนี้!”

“ท่านอย่ามาหลอกข้าดีกว่า” ชุนหว่านกล่าวเคืองๆ “รอให้คุณหนูใหญ่ทราบเรื่องแล้ว ข้าจะดูว่าท่านจะทำอย่างไร”

โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างรู้สึกผิด “ทรายเข้าตาข้าจริงๆ…”

ชุนหว่านคร้านจะฟังแล้ว

โจวเสาจิ่นจึงหลับตาลงอย่างว่าง่ายให้ชุนหว่านรีบประคบดวงตาให้ แต่ในห้วงความคิดของนางยังคงปรากฏเงาร่างของเฉิงฉือขณะที่เดินออกจากตระกูลโจวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางรู้สึกว่าขอบตาของตัวเองรื้นชื้นขึ้นมาอีกครั้ง

นับตั้งแต่ทำให้พี่สาวตกใจกลัวเป็นต้นมา นางก็ไม่เคยคิดจะเล่าเรื่องที่ตนเคยประสบพบเจอมาให้ผู้ใดฟังอีกเลย

ประสบการณ์เหล่านั้นยากจะรับได้เกินไป นางไม่รู้จะเริ่มเล่าอย่างไรดี

แม้แต่การกล่าวเตือนเรื่องของเฉิงจิง นางก็คิดได้เพียงแผนการที่คล้ายกับการช่วยหลินซื่อเซิ่งเท่านั้น ทว่าตอนนี้…เรื่องหนึ่งจุดชนวนนำไปสู่อีกเรื่องหนึ่งได้ การที่นางตอบแทนบุญคุณในชาติก่อนให้หลินซื่อเซิ่ง กลับทำให้ท่านน้าฉือค้นพบความไม่ปกติของนาง…ซึ่งเรื่องนี้ก็เหมือนกับการพูดโกหก หากเจ้าพูดโกหกครั้งที่หนึ่ง เพื่อปกปิดคำโกหกครั้งที่หนึ่งแล้ว ก็จำต้องพูดโกหกเป็นครั้งที่สอง และเพื่อปกปิดคำโกหกครั้งที่สอง ก็จะพูดโกหกเป็นครั้งที่สามหรือแม้แต่ครั้งที่สี่ กระทั่งสุดท้าย ก็จะเหมือนกับลูกปั้นหิมะกลมๆ ที่ยิ่งกลิ้งไปก็ยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น จนกระทั่งมันจะกดทับเจ้าจนโค้งงอ กดทับจนพังทลาย และสุดท้ายฝังเจ้าเอาไว้ด้านใน

การกลับมามีชีวิตใหม่ของนางก็คล้ายกับเรื่องโกหกเรื่องหนึ่ง เพื่อปกปิดเรื่องโกหกนี้เอาไว้แล้ว นางเผลอกล่าวคำเท็จออกไปมากมายโดยไม่รู้ตัว…ตอนนี้นางรู้สึกถึงความรู้สึกที่ว่าตัวเองกำลังจะถูกคำโกหกเหล่านี้กดทับจนโค้งงอ กดทับจนจวนจะพังทลาย หรือแม้แต่จวนจะถูกฝังอยู่ด้านในของลูกปั้นหิมะกลมๆ ลูกนั้นแล้ว…

ด้วยเหตุนี้ตอนที่โจวเสาจิ่นได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวเชิญนางไปหานั้น นางกระโดดตัวโหยงขึ้นมาจากเตียงในทันใด หวาดกลัวจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี

………………………….

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน
Status: Ongoing
ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset