ตระกูลเฉิงจะถูกยึดทรัพย์และถูกฆ่าล้างยกตระกูลอย่างนั้นหรือ
นี่มันเรื่องล้อเล่นอะไรกัน
ตระกูลเฉิงยึดมั่นในคุณธรรมเสมอมา พี่ชายใหญ่ยิ่งแล้วใหญ่ระแวดระวังตัวยิ่งนัก ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ระหว่างบรรดาองค์ชายกับพระราชนัดดาเลย แล้วตระกูลเฉิงจะก่อชนวนสู่หายนะใหญ่เพียงนั้นได้อย่างไร!
เฉิงฉือเป็นผู้ที่มีสีหน้านิ่งไม่เปลี่ยนแปลงแม้นเขาไท่ซานจะถล่มลงมาต่อหน้าก็ตาม ทว่าเวลานี้ยามได้ยินแล้วก็อดเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาไม่ได้
ใครจะกล้าพูดจาอย่างมั่นใจเช่นนี้เล่า
คำพยากรณ์?
คำทำนาย?
แต่ต่อให้เป็นพระอาจารย์จากเขาหลงหูก็ยังไม่กล้าตบอกกล่าวว่าตนล่วงรู้ว่าใครจะได้สืบราชสมบัติเช่นนั้นเลย หาไม่แล้วพระอาจารย์จากเขาหลงหูจะต้องเข้าเมืองหลวงทุกๆ หลายปีเพื่อจาริกแสวงบุญ และคิดหาหนทางเพื่อสร้างความประทับใจที่ดีแด่องค์ฮ่องเต้ไปเพื่ออันใด
โจวเสาจิ่นได้ยินมาจากผู้ใดหรือว่ามีคนบอกนางให้พูดเช่นนี้กันนะ
เช่นนั้นเจตนาของอีกฝ่ายคืออะไรกันแน่
คนย่อมไม่ตื่นแต่เช้าหากไม่ได้รับผลประโยชน์อันใด
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง เฉิงฉือล้วนคาดเดาเจตนาของอีกฝ่ายไม่ออกเลย นี่ทำให้หัวสมองของเฉิงฉือผู้คุ้นชินกับการควบคุมทุกอย่างให้อยู่ในมือและจัดการทุกอย่างได้เสมอนั้นสับสนว้าวุ่นไปชั่วขณะ
แต่โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
ถ้อยคำที่เหมือนดังก้างปลาที่ติดอยู่ในลำคอของนางตลอดมา ในที่สุดนางก็เอ่ยออกไปเสียที
แม้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในแผนการของนาง และไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดก็ตาม แต่สุดท้ายนางก็เอ่ยออกมาได้เสียที
ส่วนในภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไร จากนี้ไปท่านน้าฉือจะเย้ยหยันนางหรือไม่…ก็ปล่อยให้สวรรค์เป็นผู้ตัดสินเถอะ!
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นางเกรงว่าต่อไปก็ยากที่จะได้ไปเรือนหานปี้ซานอีก และยากที่จะได้พบฮูหยินผู้เฒ่ากัวผู้ที่เบื้องหน้าเย็นชาทว่าใจดีมีเมตตายิ่งผู้นั้นอีกแล้ว…
ขอบตาของโจวเสาจิ่นรื้นชื้นขึ้นเล็กน้อย นางหมุนกายแล้ววิ่งออกไปข้างนอก
เฉิงฉือคืนสติกลับมา โกรธเกรี้ยวยิ่งนัก ลุกขึ้นมาแล้วตะโกนเสียงหนึ่งว่า “เจ้ากลับมาหาข้าเดี๋ยวนี้”
โจวเสาจิ่นตัวสั่นเทิ้ม แต่ยังคงทำใจกล้าดึงสลักประตูดัง ปัง
“โจวเสาจิ่น!” เฉิงฉือกัดฟันกรอดขณะพูด น้ำเสียงเต็มไปด้วยการเตือนอย่างดุดัน
โจวเสาจิ่นตกใจกลัวจนมือสั่น
ไม่รู้ว่าซางมามาโผล่ออกมาจากที่ใด
นางยกถาดใบหนึ่ง บนถาดวางของกินเล่นสองสามจานเอาไว้ กล่าวกับนางยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรอง เหตุใดท่านถึงรู้ว่าข้ากำลังจะยกของว่างมาให้ท่านเจ้าคะ ท่านรีบกลับไปนั่งในห้องเถิด! เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ไหนเลยจะต้องให้ถึงมือท่านกัน” ขณะที่กล่าว ราวกับมีสายลมแรงสายหนึ่งพัดผ่านนางก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแม้แต่น้อย ถอยโซเซติดๆ กันหลายก้าวราวกับถูกอะไรบางอย่างลากไปจนกระทั่งส้นเท้าหยุดนิ่งอยู่กับที่
จบสิ้นแล้วๆ!
นางกลับรู้สึกอยู่ในใจรางๆ ว่า ตนหนีออกไปไม่ได้แล้ว
โจวเสาจิ่นอุทานออกมาอย่างตื่นตระหนกโดยไม่รู้ตัว หลบไปยังฉากกั้นห้องที่แขวนไว้ด้วยผ้าม่านผ้าไหมหังโจวสีเขียวนกแก้ว เบิกดวงตากลมโตพลางกลั้นหายใจขณะมองเฉิงฉือ ในดวงตาดำตัดขาวเปี่ยมไปด้วยความหวาดผวา
เฉิงฉือดวงหน้าถอดสี
ซางมามาอ้าปากค้าง
นายท่านสี่ฉือ ถูกผู้อื่นปฏิบัติด้วยท่าทางเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน!
นี่…ราวกับฉากหลังจากที่อันธพาลฉุดกระชากหญิงสาวจากตระกูลสูงส่งก็ไม่ปาน…
นายท่านสี่คงจะโกรธจัดแล้วกระมัง
อย่างไรก็ตาม นายท่านสี่ก็คงจะรู้สึกเสียหน้าด้วยกระมัง
ครั้นความคิดนี้วาบผ่าน ซางมามาก็รีบก้มศีรษะลง ดวงตาราวไข่มุกไม่กล้าชำเลืองมองซ้ายขวาอยู่พักหนึ่ง วางถาดลงแล้วรีบหนีออกจากห้องหนังสือไปเสมือนกับเหาะหนี ตอนที่ออกไปยังปิดประตูห้องหนังสือให้อย่างระมัดระวังอีกด้วย
เสียงปิดประตูทำให้โจวเสาจิ่นสะดุ้งตกใจจนตัวสั่นเทิ้มอีกครั้ง
ครั้งนี้นางจบเห่แน่แล้ว!
ท่านน้าฉือจะต้องซักไซ้ไล่เลียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดจนกระจ่างชัดเป็นแน่
นางควรจะทำอย่างไรดี
โจวเสาจิ่นมองเฉิงฉือ แม้จะขยับก็ยังไม่กล้าขยับอยู่นานพักหนึ่ง
เฉิงฉือโมโหจนรู้สึกเจ็บปวดใจ
เด็กน้อยผู้นี้รู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
เขาเป็นเสือหรืออย่างไร
นางถึงได้หวั่นกลัวเขาจนกลายเป็นสภาพเช่นนี้ไปได้
เขาโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเดินไปมาอยู่ในห้องหลายรอบ เพลิงโทสะในใจถึงได้คลายลงไปเล็กน้อย ชี้เก้าอี้มีเท้าแขนข้างกาย กล่าวเบาๆ ว่า “นั่งลง”
โจวเสาจิ่นประหนึ่งแมวน้อยที่ถูกต้อนจนจนมุม มองสำรวจเฉิงฉืออย่างระแวดระวังหลายส่วน
เฉิงฉือมุมปากกระตุก พูดอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่!
สีหน้านี้ของนางคืออะไรกัน
แต่เขาก็รู้ดีว่า คนที่ยิ่งอ่อนแอมากเท่าใดเฉกเช่นโจวเสาจิ่นนี้ ครั้นตัดสินใจแล้ว ก็จะยิ่งไม่ปริปากพูดง่ายๆ มากขึ้นเท่านั้น
เขาหมุนกายไปจิบชาติดๆ กันหลายจิบ จากนั้นถึงได้เดินไปนั่งบนเก้าอี้มีเท้าแขนที่อยู่ใกล้โจวเสาจิ่นที่สุดตัวนั้นด้วยสีหน้าอ่อนโยน เอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่”
โจวเสาจิ่นไม่เอ่ยตอบคำใด
ตนเชื่อใจเขาหรือไม่
ต้องการเชื่อใจเขาหรือไม่
นางมองเฉิงฉือ
เฉิงฉือสีหน้าอ่อนโยน นั่งลงตรงนั้นเงียบๆ อดทนอดกลั้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ประหนึ่งอดทนรอจนฟ้าดินสลายได้เลยทีเดียว
โจวเสาจิ่นกระหวัดนึกถึงยามที่ตนพบเขาเป็นครั้งแรก เขานั่งอยู่ในศาลาซานจือ ไม่เอ่ยถามคำใด บอกให้นางไปชงชาด้วยใบหน้าเรียบเฉย นางนึกถึงยามที่นางคัดพระธรรมในเรือนหานปี้ซาน เขายืนอยู่ข้างหลังนางอย่างไร้สุ้มเสียง ชมว่าลายมือของนางสละสลวยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นางนึกถึงวันนั้นที่วางเพลิง จนเกิดเสียงดังวุ่นวายที่อีกฟากฝั่งของทะเลสาบ ทว่าเขากลับส่งฉินจื่ออันออกไปโดยไม่ได้ซักถามสักคำ…
เหตุใดนางจะไม่เชื่อใจเขา
นางเอาอะไรมาไม่เชื่อใจเขาเล่า
อย่างน้อย ยามที่ตนกล่าวว่าตระกูลเฉิงจะถูกยึดทรัพย์และถูกฆ่าล้างยกตระกูลเขาก็ไม่ได้คิดว่าตนมีสติฟั่นเฟือนหรือคิดว่าตนถูกภูตผีเข้าสิง แต่กลับคิดหาทางสืบถามสาเหตุของเรื่องราวให้กระจ่างแทน
โจวเสาจิ่นพยักหน้าน้อยๆ ช้าๆ
เฉิงฉือรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อใจตน แต่เรื่องราวที่นางประสบพบเจอนั้นมหัศจรรย์พันลึกเกินไปหรือไม่ก็เหนือความเข้าใจเกินไป นางเพียงกลัวว่าเขาจะไม่เชื่อนางเท่านั้น
สีหน้าท่าทางของเฉิงฉืออ่อนโยนยิ่งขึ้น เขายิ้มพลางกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “เสาจิ่น เจ้าไม่ต้องกลัว ที่นี่คือเรือนหลีอิน บ่าวรับใช้ล้วนเป็นบ่าวที่สัตย์ซื่อกับข้า ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่พวกเราปิดประตูห้องหนังสือแล้วสนทนากันเป็นการส่วนตัว ต่อให้เจ้าโหวกเหวกโวยวายอยู่ในเรือนหลีอิน หากข้าไม่พยักหน้าอนุญาต แม้ครึ่งคำก็จะไม่เล็ดลอดออกไป เจ้าเชื่อหรือไม่”
แน่นอนว่านางต้องเชื่ออยู่แล้ว
โจวเสาจิ่นพยักหน้า
รอยยิ้มพึงพอใจสายหนึ่งวาบผ่านนัยน์ตาของเฉิงฉือ กล่าวว่า “เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่า ปีปิ่งอู๋ หรือก็คืออีกสิบเอ็ดปีหลังจากนี้ องค์ฮ่องเต้จะเสด็จสวรรคต ผู้ที่จะสืบราชบัลลังก์ต่อคือองค์ชายสี่ วันที่หนึ่งเดือนหนึ่งปีติงโม่ ซึ่งก็คือปีถัดไป จะเปลี่ยนรัชกาลใหม่เป็น ‘รัชศกเทียนซุ่น’ ปีอู้เซิน หรือก็คือเดือนหนึ่งรัชศกเทียนซุ่นปีที่สอง ตระกูลเฉิงจะถูกยึดทรัพย์และถูกฆ่าล้างยกตระกูลอย่างเป็นปริศนา…นี่เป็นเรื่องที่เจ้า ‘คิด’ ขึ้นมาเอง หรือมีใครบอกเจ้า หรือเจ้าได้ยินมาจากที่ใดกัน”
ในสามคำตอบนี้โจวเสาจิ่นล้วนเลือกไม่ได้
ถ้าหากนางตอบว่าตน ‘คิด’ ขึ้นมาเอง ท่านน้าฉือจะต้องถามนางว่า ‘คิด’ ขึ้นมาได้อย่างไร เพื่อเป็นการยืนยัน ไม่แน่ว่ายังจะให้นางช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวหาตุ้มหูไข่มุกทะเลใต้ที่ทำหายเมื่อสองวันก่อนด้วยก็เป็นได้…
ถ้าหากนางตอบว่าผู้อื่นบอกนางมา หรือว่าได้ยินมาจากผู้อื่น เฉิงฉือย่อมต้องให้นางเผยตัวคนผู้นั้นออกมา…แต่นางไม่อาจเผยตัวผู้ใดได้และไม่อาจปรักปรำผู้อื่นได้ด้วยเช่นกัน
โจวเสาจิ่นก้มหน้าลง ไม่เอ่ยตอบคำใด
เฉิงฉือคิดแล้วคิดอีก กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เสาจิ่น เช่นนั้นข้าจะเปลี่ยนวิธีถามเจ้าใหม่ หากเจ้าคิดว่าข้าพูดถูก เจ้าก็พยักหน้า หากเจ้าคิดว่าข้าพูดผิด เจ้าก็ส่ายศีรษะ แบบนี้ดีหรือไม่”
โจวเสาจิ่นรู้สึกพรั่นกลัวยิ่งนัก
หากท่านน้าฉือเดาถูกจะทำอย่างไร
นางเงยหน้าเหลือบมองเฉิงฉือแวบหนึ่ง
เฉิงฉือมองนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและจริงจัง
โจวเสาจิ่นลอบบ่นขมุบขมิบเงียบๆ
ทว่าเฉิงฉือกลับคิดว่าตนใช้วิธีที่ถูกต้องแล้ว
หาไม่แล้วโจวเสาจิ่นจะทำสีหน้าวิตกได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่ากลัวตนจะเดาถูก
เขาให้คำมั่นสัญญากับนางว่า “ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ข้าก็จะไม่โกรธ ดีหรือไม่”
ในใจของโจวเสาจิ่นราวกับถูกคนชกหนึ่งหมัด น้ำตารื้นอยู่ครู่หนึ่งก็ไหลรินลง
ตลอดทั้งชีวิตนางกลัวว่าผู้อื่นจะโกรธเคืองนางเป็นที่สุด
แต่ท่านน้าฉือกลับกล่าวหนึ่งประโยคที่กระทบใจเป็นที่สุด
เฉิงฉือเห็นแล้วก็ลอบพรูลมหายใจอย่างอดไม่ได้
เด็กคนนี้ เกรงว่าจะถูกทำให้หวาดกลัวจนเตลิดไปเสียแล้ว
เขาเอ่ยถามเสียงเบาว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับท่านผู้นำตระกูลจวนรองหรือไม่”
โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะโดยสัญชาตญาณ
เฉิงฉือถาม “เกี่ยวข้องกับเฉิงสือ?”
โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะ
เฉิงฉือถาม “เช่นนั้นเกี่ยวข้องกับเฉิงเจิ้ง?”
โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะอีกครั้ง
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับเฉิงเก้า? ข้าดูแล้วในบรรดาญาติพี่น้องหลายคนของพวกเขา ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับเฉิงเก้าและเฉิงอี้ดีที่สุดแล้ว”
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นขึ้นสีแดงเรื่อ
นางนึกถึงเรื่องระหว่างตนกับเฉิงอี้…ยังขอร้องให้ท่านน้าฉือช่วยเหลือด้วย
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ!” นางพึมพำตอบ
เฉิงฉือรู้สึกโล่งใจไปอีกเปลาะหนึ่ง
ยอมเอ่ยปากพูดก็นับว่าดีแล้ว
กลัวแต่ว่านางจะดื้อรั้นขึ้นมา แล้วตัดสินใจไม่ยอมปริปากพูด
เขาพยายามทำให้น้ำเสียงของตนฟังดูผ่อนคลายยิ่งขึ้น กล่าวว่า “ข้าคิดว่าไม่น่าจะเป็นลุงใหญ่เหมี่ยนของเจ้าเช่นกัน เขาผู้นี้ เป็นคนสัตย์ซื่อและเถรตรง ต่อให้เป็นคนชาญฉลาดที่เสแสร้งว่าเบาปัญญา ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปกปิดได้แนบเนียนถึงเพียงนี้” เขาทำท่าครุ่นคิด พลางกล่าว “จวนห้า นั่นก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ หรือว่าเป็นบิดาของเจ้า แต่เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ เขาจะบอกเจ้าได้อย่างไร…หรือว่าบิดาของเจ้าโปรดปรานเจ้ามากกว่าพี่สาวของเจ้า ดังนั้นจึงบอกเจ้าทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ เพื่อในภายภาคหน้าเมื่อเจ้าแต่งงานแล้วใช้เรื่องราวเหล่านี้ควบคุมสามีของเจ้าได้…”
เฉิงฉือดูเหมือนกำลังขบคิดอยู่ แต่ความจริงแล้วกลับใช้หางตามองดูโจวเสาจิ่นอยู่ตลอด
โจวเสาจิ่นงงงวยเล็กน้อย
นางไม่คิดว่าเฉิงฉือผู้ดูสงบเคร่งขรึมจะคาดเดาไปเรื่อยเปื่อยประหนึ่งอาชาสวรรค์วิ่งควบขึ้นฟ้าเช่นนี้ได้
สีหน้าของโจวเสาจิ่นผ่อนคลายลงมา กำลังคิดจะส่ายศีรษะ แต่ใครจะรู้ว่าเฉิงฉือกลับหันขวับมามองนางในทันใด จ้องตานางด้วยดวงตาแวววาว กล่าวเสียงเคร่งว่า “ใช่เฉิงสวี่หรือไม่! เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเฉิงสวี่!”
น้ำเสียงของเขามั่นใจถึงเพียงนั้น เสมือนกับว่าคาดเดาเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้แล้ว หนำซ้ำเฉิงสวี่ชื่อนี้ก็เอ่ยออกมาอย่างรวดเร็วและหนักแน่น ถูกจับได้โดยไม่ทันได้ตั้งตัว จิตใจของโจวเสาจิ่นสับสันยิ่งนัก ปฏิเสธเสียงดังอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ว่า “ไม่…ไม่ใช่เขา ไม่เกี่ยวข้องกับเขาเจ้าค่ะ!”
ทว่ายังไม่ทันสิ้นเสียง โจวเสาจิ่นก็นิ่งงันไป
เสียงของนางทั้งสูงและแหลม เจือความตื่นตระหนกที่กลบเกลื่อนเอาไว้ไม่อยู่ ทำให้คนได้ยินแล้วคิดว่านางกำลังปิดหูขโมยกระดิ่งก็ไม่ปาน
แต่เสียงของเฉิงฉือกลับดังกลบเสียงของนาง ซักไซ้นางอย่างดุดันว่า “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงหวาดกลัวเฉิงสวี่ถึงเพียงนั้นด้วย เขาก่อเรื่องอะไรไว้อย่างนั้นหรือ เด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับเจ้านี้ มิได้ปรารถนาจะแต่งงานกับชายหนุ่มเฉกเช่นเฉิงสวี่หรอกหรือ เหตุใดเจ้าถึงได้หลบหน้าเขาดั่งหลีกเลี่ยงงูอยู่ผู้เดียวเล่า เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเจ้า”
“ไม่มีเจ้าค่ะๆ!” คำถามของเฉิงฉือเสียดแทงถึงเพียงนั้น ประหนึ่งซ้อนทับกับเสียงเหล่านั้นที่นางสะกดเอาไว้ในใจตลอดมา โจวเสาจิ่นราวกับหวนกลับไปอยู่ในหอบรรพชนของตระกูลเฉิงอีกครั้ง เผชิญสายตาของทุกคนในตระกูลเฉิงที่หากไม่หลบสายตาก็มองดูด้วยความเหยียดหยาม หรือไม่ก็มองดูด้วยความผิดหวัง หรือไม่ก็มองดูด้วยความยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น “ข้าเปล่านะเจ้าคะๆ!” นางปฏิเสธเสียงดัง ดวงหน้าซีดเผือด น้ำตาไหลพรากไม่หยุด
เฉิงฉือตะลึงงัน
เขาเพียงลองหยั่งเชิงโจวเสาจิ่นดูเท่านั้น ไม่คาดคิดว่าปฏิกิริยาโต้ตอบของนางจะรุนแรงถึงเพียงนี้!
เฉิงฉือมองโจวเสาจิ่นที่พิงฉากกั้นห้องด้วยตัวสั่นเทิ้ม ราวกับจะล้มลงในลมหายใจถัดไปก็ไม่ปานนั้นแล้ว รู้สึกปวดร้าวใจคล้ายกับก้อนหินที่โยนลงไปกลางทะเลสาบ ทำให้เกิดคลื่นกระเพื่อมเป็นวงๆ
เขาก้าวมาจับไหล่ของโจวเสาจิ่นเอาไว้ ราวกับการทำเช่นนี้ ภายใต้การประคองของเขา นางจะไม่ล้มลงไป
แต่ใครจะรู้ว่าโจวเสาจิ่นกลับกรีดร้องเสียงแหลมขึ้นมา ร้องไปด้วย ทั้งยังตบตีมือของเขาไปด้วย “เจ้าอย่ามาจับข้าๆ!”
……………………………………