เฉิงฉือโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก
มีเรื่องของหวงหลี่ก่อนหน้านี้ อีกทั้งเรื่องที่โจวเสาจิ่นกล่าวมานั้นก็ยังถูกต้องแม่นยำกระทั่งวันเดือนปี เขาไม่เชื่อว่าภายในตระกูลเฉิงหรือบรรดาญาติที่เกี่ยวดองกับตระกูลเฉิงจะมีผู้มีความสามารถเช่นนี้อยู่ด้วย ถ้อยคำที่เขาพูดออกมา หรือสิ่งที่กระทำมาตั้งแต่ต้นจนจบก็เพียงเพื่อหวังให้โจวเสาจิ่นได้คลายปมในใจ แล้วบอกความจริงแก่เขา
ต่อให้ไม่อาจบอกความจริงแก่เขา ขอเพียงให้ล้วงเอาข้อมูลจากปากของนางได้ก็พอ
แต่เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่า สิ่งที่ล้วงออกมานั้นจะเป็นเฉิงสวี่!
หลานชายที่เขาฝากความหวังเอาไว้มากมายผู้นี้
เพื่อหลานชายคนนี้ เขาถึงกับปฏิเสธมารดาที่ขอให้เขาช่วยชี้แนะสั่งสอนเฉิงรั่ง เพียงเพราะกลัวว่าจะสร้างศัตรูคนหนึ่งให้แก่เขา แล้วกระทบต่อความมั่นคงและความสามัคคีปรองดองในตระกูลเฉิง
เจ้าสัตว์เดรัจฉานน้อยผู้นี้!
เฉิงฉือจับแขนของโจวเสาจิ่นไว้แน่น พยายามทำให้เสียงของตนฟังดูไม่แข็งกระด้าง กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าคือเฉิงจื่อชวน!”
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับเสมือนกับฝันร้ายก็ไม่ปาน กรีดร้องเสียงแหลมพลางเตะต่อยเขา
ซางมามาพุ่งเข้ามา “นายท่านสี่…”
สายตาของเฉิงฉือกวาดผ่านไปประดุจแสงดาบ น้ำเสียงเยียบเย็นราวเศษน้ำแข็ง “ออกไปซะ!”
ซางมามาถอยออกไปอย่างอกสั่นขวัญแขวน
โจวเสาจิ่นยิ่งดิ้นทุรนทุราย
เฉิงฉือไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่โอบกอดนางไว้ในอ้อมแขนของเขา แล้วเอ่ยเตือนนางข้างหูด้วยเสียงอบอุ่นว่า “เสาจิ่น ข้าคือเฉิงจื่อชวน น้าของเจ้า…”
กลิ่นหอมสดชื่นจางๆ ของน้ำหอม ‘ดังที่ได้ยินมา’ ประดุจดอกไม้ไร้นามข้างภูเขาและท้องทุ่ง ทั้งมีกลิ่นหอมหวานของดอกไม้และมีกลิ่นหอมสดชื่นของใบหญ้า ทำให้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกผ่อนคลาย
โจวเสาจิ่นค่อยๆ สงบลงมา
เฉิงฉือรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ตบหลังของนางเบาๆ พลางปลอบใจนางประหนึ่งปลอบโยนเด็กทารกก็ไม่ปานว่า “ไม่ต้องกลัวๆ!”
โจวเสาจิ่นเสมือนได้หวนคืนสู่อ้อมอกของมารดา นานครู่หนึ่งถึงได้สติคืนกลับมา ค้นพบว่าตนกำลังถูกเฉิงฉือโอบกอดอยู่ในอ้อมแขนอย่างหมดหนทางสู้
นางสะดุ้งตกใจ ยื่นมือผลักเฉิงฉือออกไป
แต่ใครจะรู้ว่าเฉิงฉือแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่นางจินตนาการไว้ นอกจากนางจะผลักเฉิงฉือออกไปไม่ได้แล้ว ในทางกลับกันยังทำให้เฉิงฉือเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของนางผิดไป คิดว่านางเริ่มตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง จึงกอดรัดนางในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น พลางปลอบโยนนางเบาๆ ไม่หยุดว่า “ไม่ต้องกลัว ข้าคือน้าฉือ! ไม่ต้องกลัว ไม่เป็นไรแล้ว…”
แท้จริงแล้วท่านน้าฉือเพียงปลอบใจนางเท่านั้น
ทั้งร่างของโจวเสาจิ่นผ่อนคลายลงมาแล้ว
ดวงใจของเฉิงฉือที่แขวนค้างอยู่นั้นในที่สุดก็ผ่อนคลายลงมา
เขาลองคลายแขนที่โอบโจวเสาจิ่นออกอย่างช้าๆ
เด็กน้อยคนนี้ดูเหมือนอ่อนโยนนุ่มนวล แต่พอโวยวายขึ้นมากลับเหมือนแมวน้อยที่ทั้งข่วนและตะปบ หากว่านางเป็นเช่นนี้ต่อไปอีก เขาก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีแล้วจริงๆ
เด็กน้อยหยุดดิ้นอย่างเชื่อฟัง
เฉิงฉืออดไม่ได้ที่จะลูบศีรษะของนางประหนึ่งปลอบขวัญสัตว์ตัวน้อย กระซิบกล่าวว่า “เสาจิ่น ที่เจ้าบอกว่าเชื่อใจข้า ตอนนี้เจ้ายังเชื่อใจข้าอยู่หรือไม่”
แน่นอนว่านางเชื่อในความสามารถของท่านน้าฉือ
หาไม่แล้วชาติก่อนเขาก็คงจะไม่บุกไปช่วยเฉิงสวี่ที่ลานประหาร และชีวิตนี้นางก็คงจะไม่ขอให้เขาช่วยนำความไปแจ้งเฉิงจิงด้วยเช่นกัน!
โจวเสาจิ่นพยักหน้า
เช่นนั้นก็ดี!
เฉิงฉือเม้มปากกลั้นยิ้ม กล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “เช่นนั้น เสาจิ่น เจ้าบอกข้า นอกจากเฉิงสวี่แล้ว เฉิงลู่กับเฉิงจวี่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่”
โจวเสาจิ่นพรั่นกลัวจนรู้สึกสยองพองขน
นางยังไม่ทันได้กล่าวอะไร ท่านน้าฉือก็คาดเดาได้แปดถึงเก้าในสิบส่วนแล้ว
หากว่านางเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชาติก่อนจนหมดเปลือกล่ะก็ เช่นนั้นยังจะมีเรื่องอะไรที่สามารถปกปิดท่านน้าฉือได้อีกเล่า
ร่างกายของนางแข็งทื่อ
เฉิงฉือที่โอบกอดนางอยู่รู้สึกได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของนาง
ไอเหี้ยมโหดสายหนึ่งวาบผ่านนัยน์ตาของเขา ทว่าเสียงของเขากลับอ่อนโยนยิ่งขึ้น “เสาจิ่น เจ้าไม่ต้องกลัว เจ้าเพียงบอกความจริงกับข้า…เฉิงสวี่ฉกฉวยสิ่งของของเจ้าไปใช่หรือไม่ ฉะนั้นเจ้าถึงได้ไร้หนทางหลบหนี…”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
เฉิงฉือคิดไปถึงข้อนี้ได้อย่างไร
ทว่าเหตุการณ์ในปีนั้น ก็ไม่แตกต่างจากนี้มากนัก เพียงแต่ร้ายแรงกว่านี้มาก!
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ท่านน้าฉือก็ยังจะคิดว่านางไม่ผิดใช่หรือไม่
จะยืนอยู่ฝ่ายนางและช่วยเหลือนางอยู่ใช่หรือไม่
โจวเสาจิ่นจับแขนเสื้อของเฉิงฉือไว้แน่น
กล่าวอีกนัยได้ว่า ตนเดาถูกแล้ว!
เพลิงไฟในใจของเฉิงฉือพลันลุกพรึบขึ้นมาในทันที ทำให้เขาไม่กล้าเอ่ยปากพูดแม้แต่น้อย ด้วยเกรงว่าครั้นตนเอ่ยปากแล้วจะทำให้โจวเสาจิ่นหวั่นกลัวประหนึ่งนกน้อยที่หวาดผวาคันศร
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาถึงได้ลูบผมสีดำขลับของโจวเสาจิ่นเบาๆ พลางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เสาจิ่น เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะช่วยเจ้านำสิ่งของของเจ้ากลับมา รับรองว่าจะไม่ให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้เป็นอันขาด อย่างไรก็ตาม เจ้าต้องบอกข้าว่าของสิ่งนั้นคืออะไร…” พูดเสร็จก็กลัวว่าของสิ่งนั้นอาจจะเป็นของส่วนตัวมาก จึงกล่าวว่า “หรือไม่ เจ้าเขียนบอกข้าก็ได้…”
ขอบตาของโจวเสาจิ่นเปียกชื้นขึ้นมาในทันใด
หลังจากที่นางเล่าเรื่องที่น่าตกใจไปขนาดนั้น หลังจากที่นางกรีดร้องอย่างคลุ้มคลั่งไปเช่นนั้น นอกจากท่านน้าฉือจะไม่มองว่านางเป็นตัวประหลาด ไม่ผลักไสนางออกไปแล้ว กลับยังเป็นห่วงนาง ปกป้องนางเหมือนเดิม…บางทีในโลกนี้ ไม่มีผู้ใดดีกับนางได้กว่าท่านน้าฉืออีกแล้ว!
นางจับแขนเสื้อของเฉิงฉือพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น
ไม่นานแขนเสื้อของเฉิงฉือก็เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา
เฉิงฉือสีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย
ความจริงเด็กน้อยคนนี้เป็นผู้ที่ไร้เล่ห์เพทุบาย ถูกคนอื่นข่มขู่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าแอบหวาดกลัวตามลำพังมามากเพียงใด เสียน้ำตามามากเพียงใด ได้รับความไม่เป็นธรรมมามากเพียงใด ไม่แปลกเลยที่หลังจากเฉิงสวี่จากไปนางก็ร่าเริงแจ่มใสขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ตอนที่ไปเขาผู่ถัวพร้อมกับเขาและมารดาก็ยิ่งร่าเริงเบิกบานดังวิหคน้อย…เพียงแค่ได้ออกจากตระกูลเฉิงและซอยจิ่วหรูชั่วคราว นางก็รู้สึกลิงโลดดีใจแล้วกระมัง!
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเฉิงสวี่จะทำตัวเหลวไหลเพียงใด ก็เป็นไม่ได้ที่จะทำเรื่องข่มขู่เด็กสาวเช่นนี้…
เฉิงฉือนึกถึงเฉิงลู่
มีช่วงเวลาหนึ่งที่เฉิงสวี่กับเฉิงลู่สนิทสนมกัน หรือว่าจะเป็นช่วงนี้ที่เฉิงสวี่เปลี่ยนไปก็เป็นได้!
ด้วยเหตุนี้โจวเสาจิ่นถึงได้เพ่งเล็งเฉิงลู่ จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่นะ
ถึงกระนั้น เรื่องราวที่ตระกูลเฉิงจะถูกยึดทรัพย์และถูกฆ่าล้างยกตระกูล และสุดท้ายองค์ชายสี่จะเป็นผู้สืบราชบัลลังก์นั้นใครเป็นคนบอกโจวเสาจิ่น แล้วคนผู้นั้นมีเจตนาอะไร เขาไม่อาจหยั่งรู้ได้จริงๆ
มองดูโจวเสาจิ่นที่ร้องไห้อย่างทุกข์ระทมแล้ว เฉิงฉือจึงตัดสินใจว่าเรื่องนี้ค่อยหาคำตอบอีกทีในคราวหลังจะดีกว่า
อย่างไรก็ตามข้อมูลเช่นนี้ย่อมมีแต่ผลดีต่อตระกูลเฉิง ไม่มีผลเสียแต่อย่างใด!
หากคนผู้นั้นวางหมากมาอย่างไตร่ตรองแล้ว น่าจะไม่วางมือไปเช่นนี้ถึงจะถูก
เขากระซิบกล่อมโจวเสาจิ่นว่า “เอาล่ะ เลิกร้องไห้ได้แล้ว! หากเจ้าร้องไห้ต่อไปอีก เสื้อผ้าชุดนี้ของข้าก็คงจะใส่ไม่ได้อีกแล้ว นี่เป็นเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ตัดเย็บในปีนี้ของข้า จะดีจะร้ายเจ้าก็ต้องให้ข้าได้สวมใส่อีกสักสองครั้งถึงจะถูก! เสื้อผ้าของข้ายิ่งไม่ได้มีมากมายนักด้วย…”
โจวเสาจิ่นหัวเราะ “คิก” ออกมาเสียงหนึ่ง
หนานผิงตัดเย็บเสื้อผ้าให้ท่านน้าฉือสิบสองชุดในคราวเดียว…เขายังจะบอกว่าเขาไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่อีก
นางสะอื้นกล่าวว่า “ฝีมือเย็บปักของข้าก็ดีมากเช่นกัน อย่างมากข้าก็ตัดเย็บเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ท่านน้าฉือก็ได้แล้วเจ้าค่ะ!”
หยาดน้ำตาของเด็กน้อยราวกับสายฝนในเดือนสาม พัดผ่านมาอย่างรวดเร็วและพัดผ่านไปอย่างรวดเร็วดุจเดียวกัน
ผ่านไปเพียงสองประโยค นางก็เริ่มทำตัวไม่เคารพผู้อาวุโสต่อหน้าตนเหมือนเดิมแล้ว
อย่างไรก็ตาม เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว
อย่างน้อยก็หลอกล่อได้ง่าย
หากว่าต้องเผชิญกับคนเจ้าเล่ห์เฉกเช่นเฉิงเซิงล่ะก็ เขาคงได้แต่ต้องวางมาดของผู้หลักผู้ใหญ่
เฉิงฉืออารมณ์ดีขึ้นมาก ปล่อยโจวเสาจิ่น พลางกล่าว “ไม่เสียใจแล้วใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นตกตะลึง
มิใช่ว่านางเศร้าเสียใจเป็นอย่างมากหรอกหรือ ไฉนเพียงพริบตาเดียวก็ไม่รู้สึกเศร้าเสียใจแล้ว?
เฉิงฉือกล่าว “เฉิงเจียซ่านเป็นคนเช่นไร ข้ารู้ดีที่สุด เรื่องของเจ้า เป็นไปได้ว่าเฉิงลู่เป็นผู้ยุยงเขา เจ้าเล่าเรื่องที่พบเจอมาให้ข้าฟังก็พอ!”
โจวเสาจิ่นมองเขาอย่างงงงัน ชื่นชมอยู่ในใจเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยถามว่า “เหตุใดท่านถึงไม่คิดว่าเป็นเฉิงจวี่เจ้าคะ”
“เขาไม่มีทักษะและความสามารถมากพอมาบงการเฉิงเจียซ่านได้หรอก” เฉิงฉือกล่าวเสียงเบา “แม้ว่าเจียซ่านค่อนข้างไร้เดียงสา แต่เขากลับถือตัวยิ่งนัก ชาติกำเนิดของเฉิงจวี่ต่ำต้อย ซ้ำยังเป็นคนเสเพลไม่เอาไหน จะพูดคุยกับเจียซ่านได้อย่างไรเล่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการยุยงเขาได้เลย”
หากว่าชาติก่อนตนมีความฉลาดหลักแหลมสักครึ่งหนึ่งของเฉิงฉือ เรื่องราวคงจะมีบทสรุปเป็นอีกอย่างหนึ่งไปแล้วกระมัง
โจวเสาจิ่นเงียบงัน
เฉิงฉือเข้าใจว่านางนึกถึงความแค้นพยาบาทของเฉิงลู่ขึ้นมา จึงปลอบใจนางว่า “เสาจิ่น ต่อไปเฉิงลู่ไม่อาจข่มขู่เจ้าได้อีกแล้ว ข้าได้แจ้งเจ้าเมืองอู๋กับหลินเจี้ยวอวี้เอาไว้แล้ว การสอบในปีนี้ เขาจะสอบไม่ผ่านอย่างแน่นอน ก่อนที่เจ้าเมืองอู๋จะย้ายตำแหน่ง จะต้องกำจัดอาภรณ์บัณฑิตของเขาให้ได้ ต่อไปเขาก็จะไม่เหลือสิ่งใดมาสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายได้อีก แล้วจะทำตัวสงบเสงี่ยมยิ่งขึ้น”
อย่างไรก็ตาม บางทีอาจจะทำเรื่องที่บ้าบิ่นยิ่งขึ้นก็เป็นได้
แต่เรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องบอกให้เด็กน้อยรู้ทั้งหมด
เขาจะจัดการเอง
เฉิงฉือยกยิ้มพลางชี้พู่กันและหมึกบนโต๊ะเขียนหนังสือ กระซิบกล่าวว่า “เขียนสิ่งที่ข้าต้องตามหาลงไป”
โจวเสาจิ่นดวงหน้าแดงเรื่ออย่างอธิบายไม่ได้
เฉิงฉือเอ่ยถามเสียงเบา “เป็นอะไร หรือว่ายังมีเรื่องที่ต้องบอกข้าอีก”
โจวเสาจิ่นสูดลมหายใจเข้าลึก รวบรวมความกล้ากล่าวว่า “ท่านน้าฉือ ข้าก็ไม่รู้จะเล่าให้ท่านฟังอย่างไรดีเจ้าค่ะ พวกเขาไม่ได้ฉกฉวยสิ่งใดไปจากข้า ข้าเองก็ไม่ได้ถูกพวกเขาข่มขู่ด้วย ข้า…ข้าเพียงไม่รู้จะอธิบายให้ท่านฟังอย่างไร…” นางพูดเสร็จ ก็เงยหน้าขึ้นมามองเฉิงฉือ ดวงหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นมัว “ข้าไม่รู้ว่าขณะนี้ข้าอยู่ในความฝัน หรือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมาก่อนเป็นความฝัน หรือว่าทั้งสองล้วนไม่ใช่ฝัน…” น้ำเสียงของนางหยุดชะงัก แล้วกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “ข้า…ดูเหมือนว่าข้าจะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือมองนางอย่างตกตะลึง สายตาเปลี่ยนเป็นเฉียบคมขึ้นมา
โจวเสาจิ่นกัดริมฝีปาก ในที่สุดก็เลือกที่จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชาติก่อนส่วนหนึ่งออกมา
แน่นอนว่าในเรื่องที่เล่ามานี้ย่อมตัดเรื่องระหว่างนางกับเฉิงลู่และเฉิงสวี่ออกไป
เฉิงฉือฟังอย่างเงียบๆ สีหน้าของเขาบางครั้งก็เยียบเย็น บางครั้งก็เคร่งขรึม บางครั้งก็จมสู่ห้วงความคิดไปชั่วขณะ จวบจวนโจวเสาจิ่นเล่าเสร็จ เขาถึงได้ขมวดคิ้วมุ่นพลางกล่าว “เจ้าบอกว่า เจ้าล่วงรู้เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอีกสิบเอ็ดปีหลังจากนี้อย่างนั้นหรือ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ
เฉิงฉือรู้สึกเหลือเชื่อยิ่งนัก
เดิมทีเขาคิดว่ามีคนชักใยอยู่เบื้องหลังโจวเสาจิ่น
เห็นทีว่าเขาขบคิดเรื่องราวอย่างซับซ้อนเกินไปเสียแล้ว
เฉิงฉือเอามือไพล่หลัง ก้มหน้าเดินวนไปวนมาภายในห้องหลายรอบ แล้วจึงหยุดเดิน กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เจ้าหมายความว่า เจ้ามีความสามารถล่วงรู้อนาคตได้อย่างนั้นหรือ” จากนั้นไม่รอให้โจวเสาจิ่นได้ตอบ เขาก็พึมพำกล่าวกับตนเองว่า “เมื่อก่อนข้าเคยเจอคนผู้หนึ่งที่เฉียนซี คนอื่นคิดว่านางสติฟั่นเฟือน นางบอกว่านางเชื่อมหยินกับหยางได้ มองเห็นเงาวิญญาณได้ ข้าเคยขอให้นางแสดงให้ดู นางก็แสดงให้ดูได้บ้างจริงๆ…”
สายตาของโจวเสาจิ่นพร่ามัวลงเล็กน้อย
ท่านน้าฉือยอมรับเรื่องแปลกประหลาดของนางได้อย่างง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ
ไม่ได้ตกตะลึง หรือสงสัย หรือตื่นตระหนก หรือหวาดกลัว แต่กลับยอมรับสิ่งที่นางเล่ามาอย่างง่ยๆ สบายๆ เช่นนี้เลย
นี่ถือว่าเป็นความเชื่อใจอย่างหนึ่งหรือไม่นะ
โจวเสาจิ่นรู้สึกตื่นเต้นอยู่ในใจ อยากจะพยักหน้าเห็นด้วยกับถ้อยคำของเฉิงฉือเหลือเกิน
นางรู้ว่า นี่เป็นข้ออ้างที่ดีมากข้อหนึ่ง
แต่นางไม่อยากหลอกลวงเฉิงฉือ ยิ่งไม่อยากโกหกซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปตลอดชีวิต
และนางก็รู้ดีแก่ใจว่านางหลอกเฉิงฉือไม่ได้ด้วยเช่นกัน
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นพึมพำกล่าว “ข้าเพียงทราบเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวข้า หรือเรื่องที่ข้ารู้เท่านั้น…เช่นเรื่องที่ว่าตระกูลเฉิงจะถูกยึดทรัพย์และถูกฆ่าล้างยกตระกูลได้อย่างไรนั้นข้าไม่ทราบ เนื่องจากตอนนั้นข้าแต่งงานแล้ว ไม่ได้อยู่ที่จินหลิง จึงไม่ทราบสาเหตุที่เป็นต้นตอแม้แต่น้อย พี่สาวเล่าให้ข้าฟังหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นแล้ว ข้าถึงได้ทราบเรื่อง…ข้าคิดว่านั่นไม่ใช่ความฝัน…ความเจ็บปวดยามถูกเข็มทิ่มแทงยามเย็บปักเสื้อผ้า ความรู้สึกยามซดน้ำแกงแล้วถูกน้ำแกงลวกลิ้น ความหนาวเหน็บของฤดูหนาวในจิงเฉิง…ข้าล้วนรู้สึกได้อย่างชัดเจน…ข้าเคยเล่าให้พี่สาวข้าฟัง พี่สาวยังคิดว่าข้าถูกอะไรบางอย่างเข้าสิง ข้าจึงไม่กล้าพูดอีก…”
……………………………