ภรรยาของหม่าฟู่ซานได้ยินแล้วรู้สึกหัวใจหนาวยะเยือก
แต่ก่อนนางมีเรื่องอะไรก็มักจะไปขอความเห็นจากคุณหนูใหญ่ ไม่เคยปรึกษาคุณหนูรองเลยแม้แต่น้อย เวลานี้คุณใหญ่กำลังจะแต่งงาน อีกทั้งฮูหยินต้องให้การต้อนรับฮูหยินผู้เฒ่าทั้งหลาย นางจึงมาถามคุณหนูรอง ไม่คาดคิดว่าคุณหนูรองจะจัดการได้อย่างเป็นการเป็นงานเช่นนี้ เมื่อก่อนตนดูเบาคุณหนูรองไปเสียแล้ว
ภรรยาของหม่าฟู่ซ่านรีบเก็บความคิดดูแคลนรางๆ นั้นไป กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะทำตามที่ท่านบอกเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า
มีมามาผู้เป็นแม่บ้านเข้ามาถาม “คุณหนูรองเจ้าคะ ก่อนหน้านี้ฮูหยินบอกว่าตระกูลเฉิงอาจจะนำมามาประมาณเจ็ดถึงแปดคนและสาวใช้สิบกว่าคนมาเจ้าค่ะ หลี่มามาจึงจัดเตรียมให้บ่าวรับใช้เหล่านั้นอยู่ที่ศาลาหลิวฟาง แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้ตระกูลเฉิงจะนำหมัวมัวมาสิบกว่าคนและสาวใช้อีกยี่สิบกว่าคน สถานที่รับรองจึงไม่เพียงพอเจ้าค่ะ…”
ก่อนหน้านี้โจวเสาจิ่นเคยส่งคนไปสอบถามมาแล้ว ทางซอยจิ่วหรูแจ้งว่านอกจากฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว ผู้หลักผู้ใหญ่ท่านอื่นไม่น่าจะมา แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายฮูหยินผู้เฒ่าถังและฮูหยินผู้เฒ่าหลี่จะมาด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้บ่าวรับใช้ที่ติดตามมาด้วยจึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน สถานที่ที่จัดเตรียมไว้สำหรับรับมื้อเที่ยงของพวกนางก็เลยไม่เพียงพอ
นางกล่าว “เช่นนั้นก็แยกพวกมามากับสาวใช้ออกจากกัน จัดให้พวกมามาอยู่ที่ศาลาหลิวฟางเหมือนเดิม ส่วนพวกสาวใช้ก็จัดให้อยู่ที่ศาลาริมน้ำข้างๆ ศาลาหลิวฟาง โชคดีที่อากาศอบอุ่นดอกไม้ต่างผลิบาน ดอกเหมยข้างศาลาริมน้ำกำลังเบ่งบานพอดี รับประทานอาหารที่นั่นก็เพลิดเพลินไปอีกแบบ”
มามาผู้นั้นราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก เผยรอยยิ้มยินดีออกมา พลางกล่าว “ยังคงเป็นคุณหนูรองที่ขบคิดได้รอบคอบ ข้าจะไปสั่งการให้จัดโต๊ะที่ศาลาริมน้ำเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นเองก็รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่งเช่นกัน
โชคดีที่พี่สาวสั่งการให้มามาในบ้านไปทำความสะอาดโต๊ะเก้าอี้สำหรับงานเลี้ยงเอาไว้ก่อน หาไม่แล้ววันนี้ต่อให้เปิดศาลาริมน้ำไปก็ไม่มีโต๊ะเก้าอี้ให้ใช้ เกรงว่าจะทำให้บรรดาสาวใช้จากตระกูลที่ร่ำรวยมั่งคั่งเฉกเช่นซอยจิ่วหรูหัวเราะเยาะว่าตระกูลโจวตกอับเสียแล้ว
ทว่ายังไม่ทันรอให้นางหมุนกายไป ก็มีสาวใช้เด็กอีกคนวิ่งมาหา เอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูรองเจ้าคะ หม่าต้าเหนียงเชิญให้ท่านไปพูดคุยที่หน้าห้องโถงเจ้าค่ะ”
เป็นไปได้ว่าท่านลุงตัวดีผู้นั้นของนางจะก่อเรื่องวุ่นวายเสียแล้ว
โจวเสาจิ่นรู้สึกห่อเหี่ยวทั้งกายและใจ ทว่าทำได้เพียงไปดูเท่านั้น
นางกระซิบบอกชุนหว่านสองสามประโยค แล้วตามสาวใช้เด็กคนนั้นไปที่หน้าห้องโถง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่นั่งอยู่ในห้องรับรองมองดูโจวเสาจิ่นโดยไม่เอ่ยคำใดมาตลอด
นานครู่ใหญ่กว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนจะสังเกตเห็นท่าทีผิดปกติของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
นางยิ้มพลางถามขึ้นว่า “ท่านมองดูอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถอนหายใจครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้าช่างมีวาสนาดีจริงๆ! เสาจิ่นอุปนิสัยอ่อนโยนและมีความสามารถ เจ้ายังมีวันเวลาดีๆ รออยู่ข้างหน้า ไม่เหมือนข้า เลี้ยงดูฟูมฟักหลานสาวสามคนจนเติบใหญ่ แต่ปรากฏว่ายามชรากลับไม่มีใครอยู่ข้างกายเลยสักคน”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนรีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่ก็ตรงกับคำกล่าวที่ว่า ‘สิ่งของของผู้อื่นล้วนเป็นของดี’ ท่านมองว่าข้ามีความสุขในวัยชราได้เล่นกับหลานๆ เป็นเรื่องดี แต่ข้ากลับอิจฉาจวนหลักของพวกท่านที่มีบุตรหลานเป็นขุนนางอยู่ข้างนอกมากมาย ได้สนับสนุนวงศ์ตระกูล เห็นได้ชัดว่าไม่มีเรื่องใดๆ บนโลกนี้ที่สมบูรณ์แบบ”
“จริงแท้ยิ่งนัก!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ เห็นฮูหยินผู้เฒ่าถังกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กำลังคุยโวโอ้อวดกับหลี่ซื่ออยู่ นางจึงกระซิบกล่าวว่า “เสาจิ่นจะไปเป่าติ้งเมื่อใดหรือ อย่างไรเด็กคนนี้ก็เคยปรนนิบัติข้าช่วงหนึ่ง ยามนางจะเดินทางจากไป ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องตกรางวัลให้นางสักหน่อย ให้นางเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกวาดสายตามองรอบห้องทีหนึ่งอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจ ก็กดเสียงลงต่ำกล่าวขึ้นว่า “ข้าอยากให้นางรั้งอยู่ที่ซอยจิ่วหรูต่อไปเหมือนเดิม หลังจากที่ชูจิ่นแต่งงานแล้ว ก็ถึงคราวของเก้าเกอเอ๋อร์แต่งสะใภ้ ถึงตอนนั้นเหอซื่อก็น่าจะมีเวลาว่างมากขึ้นแล้ว จะได้ชี้แนะสั่งสอนเสาจิ่นในเรื่องการจัดการงานบ้านงานเรือนว่าต้องทำอย่างไรได้พอดี”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าหงึกๆ โดยไม่เอ่ยคำใด ทว่าดวงหน้ากลับฉายสีหน้าไม่เห็นด้วย เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นด้วยกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่กระทำเช่นนี้ แต่ก็ไม่อยากจะแทรกแซงเรื่องของผู้อื่นอะไรมากนักเช่นกัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนชื่นชมวิสัยทัศน์ของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเสมอมา เห็นแล้วใจเต้นตึกตักอย่างอดไม่ได้ ใคร่ครวญถ้อยคำที่ตนพูดออกไปเมื่อครู่อย่างละเอียด ไม่รู้ว่าพูดผิดตรงไหนไปจริงๆ จึงอดถามไม่ได้ว่า “ทำไมหรือ ท่านคิดว่าไม่เหมาะสมหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกล่าว “ก็ใช้ได้! สุดท้ายแล้วก็ต้องแต่งเข้าบ้านของพวกเจ้า ปรับตัวให้คุ้นเคยแต่เนิ่นๆ ได้ก็ดีเหมือนกัน” ทว่าน้ำเสียงกลับฟังดูฝืดฝืนยิ่งนัก
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ พึมพำกล่าวขึ้นว่า “พวกเราเป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้กันมาหลายปีถึงเพียงนี้ ท่านมีเรื่องอะไรที่บอกกันตรงๆ ไม่ได้เชียวหรือ” จะต้องซักถามให้กระจ่าง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงได้ตอบว่า “ข้าคิดว่า การที่หลานสะใภ้เหมี่ยนชี้แนะเสาจิ่นเรื่องในเรือนนั้น หากว่านางแต่งงานออกไปที่อื่นก็คงจะเป็นผลดี แต่หากรั้งอยู่ในบ้านของพวกเจ้า เกรงว่าถ้าสะใภ้คนใหม่ทราบเรื่องทีหลัง จะรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง ยิ่งกว่านั้น อี้เกอเอ๋อร์กับเสาจิ่นก็โตมาด้วยกัน คนอื่นที่รู้ดีจะกล่าวว่าเป็นเพราะเสาจิ่นเติบโตอยู่ในตระกูลเฉิงมาตั้งแต่เด็ก ผู้ที่ไม่รู้อาจจะคิดไปได้ว่าเสาจิ่นเป็นเจ้าสาวเด็กที่นำมาเลี้ยงเอาไว้…ทำให้ชื่อเสียงของเสาจิ่นเสื่อมเสียได้!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนตกใจจนเหงื่อเย็นชุ่มไปทั้งตัว
บางครั้งความขัดแย้งระหว่างพี่สะใภ้น้องสะใภ้นี้ก็สืบเนื่องมาจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เรื่องหนึ่งได้เหมือนกัน
เชือกเส้นนี้ต้องพันให้แน่นจนเป็นเกลียวจึงจะแข็งแรงมั่นคง ความจริงนางหวังให้เฉิงเก้าสองพี่น้องกับสะใภ้ทั้งสองคนช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ ทำให้จวนสี่ได้มีปากมีเสียงขึ้นมาในซอยจิ่วหรูได้ในวันหนึ่งข้างหน้า หากว่าด้วยเหตุนี้กลับทำให้เหอเฟิงผิงกับโจวเสาจิ่นแตกร้าวกัน มิใช่ว่าความปรารถนาดีของนางจะกลายเป็นร้ายไปแล้วหรอกหรือ
แต่ฝากฝังโจวเสาจิ่นให้หลี่ซื่อเลี้ยงดูและสั่งสอน…หากว่าเกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้นมา ไม่ใช่ว่าพวกเขาต้องมาตามแก้ไขให้หรอกหรือ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ โจวเสาจิ่นเป็นเด็กสาวที่นางเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต ทั้งว่านอนสอนง่ายและนิสัยอ่อนโยน หนำซ้ำกำลังอยู่ในวัยที่ความคิดฟุ้งซ่าน หากว่าไปเติบใหญ่อยู่ที่เมืองเป่าติ้ง มีหลี่ซื่อคอยยุแยงอยู่ข้างหูนาง ใครจะรู้ว่านางจะทำตัวเหินห่างกับตระกูลเฉิงหรือไม่
เช่นนั้นอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเอ่ยถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างจริงใจว่า “เช่นนั้นท่านคิดว่าเรื่องนี้ควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
“แต่ละคนต่างมีวิธีจัดการที่ไม่เหมือนกัน” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกล่าว “เรื่องเช่นนี้ใครจะมาตัดสินใจแทนพวกเจ้าได้เล่า”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนรู้สึกหนักอกหนักใจอย่างห้ามไม่อยู่ กระทั่งออกมาจากถนนผิงเฉียวจนถึงเรือนเจียซู่ที่ซอยจิ่วหรู ก็ยังขบคิดเรื่องนี้อยู่ในใจมาตลอดทาง
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเข้ามาปรนนิบัติแม่สามีพักผ่อน ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจึงจับมือของบุตรสะใภ้เอาไว้แล้วเล่าเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวมาให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนฟัง
“เป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเอ่ยขึ้นอย่างลังเล “เฟิงผิงไม่น่าจะเป็นหญิงสาวประเภทนั้นหรอกเจ้าค่ะ!”
“คนบนโลกใบนี้ ล้วนไม่กลัวความอดอยากแต่จะกลัวความอยุติธรรม” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้ยินน้ำเสียงหวั่นไหวของบุตรสะใภ้แล้ว ก็ยิ่งคิดว่าที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวมานั้นถูกต้องยิ่งนัก แต่จะปล่อยโจวเสาจิ่นออกไปใช้ชีวิตข้างนอกสักสองสามปี ฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็ไม่ไว้วางใจสักเท่าใด กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “หากหลี่ซื่อผู้นั้นเป็นสตรีที่มีการศึกษาก็คงดี หรือว่าเสาจิ่นมีผู้ที่มีความรู้ความสามารถมาช่วยดูแลนางสักคนหนึ่งก็คงจะดี”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกล่าวยิ้มๆ ว่า “หากมีตัวเลือกเช่นนั้น ท่านบุตรเขยจะฝากฝังคุณหนูทั้งสองคนไว้ที่ซอยจิ่วหรูได้อย่างไรเจ้าคะ”
“ทำไมข้าจะไม่รู้” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนถอนหายใจ
ทว่านัยน์ตาของฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกลับลุกวาว กล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านว่า พวกเราฝากโจวเสาจิ่นไว้กับฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นอย่างไร ข้าเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวชื่นชอบนางยิ่งนัก ทั้งยังพานางไปเขาผู่ถัวด้วย ฮูหยินผู้เฒ่ากัวน่าจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้นะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนนึกถึงฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่จ้องมองโจวเสาจิ่นตลอดเวลาที่อยู่ที่ถนนผิงเฉียว คิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นไปได้อยู่บ้าง
นางกล่าว “ข้าขอไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างละเอียดอีกสักหน่อย”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไม่กล้ากล่าวอะไรมากอีก
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล
ยิ่งกว่านั้นเช่นนี้ก็เป็นผลดีต่อโจวเสาจิ่นด้วย
เด็กสาวที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้คำชี้แนะสั่งสอนมาด้วยตัวเอง ได้รับการอบรมสั่งสอนเช่นเดียวกับที่เฉิงเซิงผู้อยู่ที่จิงเฉิงได้รับ คนอื่นๆ ย่อมมองสถานะของนางสูงส่งขึ้นเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนนำชาหลูซานอวิ๋นที่เฉิงหยวนบุตรชายคนเล็กที่ไปรับราชการอยู่ที่อื่นให้คนนำกลับมาฝากนางไปที่เรือนหานปี้ซาน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นเหมือนดังที่นางคาดการณ์เอาไว้ หลังจากที่ทราบจุดประสงค์การมาของนาง ก็ปฏิเสธคำขอร้องของฮูหยินผู้เฒ่ากวนอย่างสุภาพ “…ข้าอายุมากแล้ว ไม่มีพละกำลังมากพอไปเลี้ยงดูเด็กสาวอีกคนหนึ่งแล้ว! อย่างไรก็ตาม ข้าชื่นชอบเสาจิ่นเด็กคนนี้มากจริงๆ หากในภายภาคหน้านางมีเรื่องอะไรที่ไม่เข้าใจ ก็ให้นางมาถามข้าได้”
“นางไม่ใช่เด็กสาวอายุเจ็ดหรือแปดขวบแล้ว ทั้งเฉลียวฉลาดและมีไหวพริบ ไหนเลยจะต้องให้ท่านคอยดูแลอยู่ตลอดเวลาเจ้าคะ” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนโน้มน้าวฮูหยินผู้เฒ่ากัวตลอดทั้งเช้า ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจนปัญญาแล้วจริงๆ จึงกล่าวว่า “หากว่าบุตรเขยของพวกเจ้าไว้วางใจ จะเอานางมาเลี้ยงดูในเรือนของข้าก็เอามาเถิด!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนปีติยินดียิ่งนัก กล่าวขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่ากัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
***
ณ ถนนผิงเฉียว จวนจะถึงวันแต่งงานแล้ว จู่ๆ โจวชูจิ่นผู้ใจเย็นและสงบนิ่งเสมอมา ก็กลายเป็นตื่นเต้นและประหม่าขึ้นมา ประเดี๋ยวก็อยากให้ฉือเซียงตรวจสอบถุงเท้ารองเท้าที่จะนำไปใช้ยามไปทักทายญาติพี่น้องของตระกูลเลี่ยวอีกรอบ เพื่อดูว่าตกหล่นของผู้ใดไปบ้างหรือไม่ ประเดี๋ยวก็สั่งตงหว่านให้นำรายการอาหารในงานเลี้ยงมาให้นางดู ประเดี๋ยวก็เรียกภรรยาของหม่าฟู่ซานเข้ามา ถามนางว่า “เจ้าย้ำกำชับบ่าวหญิงทุกคนที่จะตามไปด้วยให้ชัดเจนแล้วหรือยัง เวลาที่ขนย้ายสินเจ้าสาวไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้พวกนางเฝ้ากล่องเครื่องประดับของข้าหลายกล่องนั้นให้ดี ในกล่องเหล่านั้นมีของหลายชิ้นที่บรรดาฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินทั้งหลายจากซอยจิ่วหรูมอบให้ข้า ล้วนเป็นของเก่าแก่ ตอนนี้ต่อให้มีเงินก็หาซื้อไม่ได้แล้ว หากถูกผู้ขโมยไป ต่อไปยามที่กลับซอยจิ่วหรูข้ายังจะมีหน้าอะไรไปโขกศีรษะให้บรรดาฮูหยินผู้เฒ่ากับฮูหยินเหล่านั้นได้อีก”
ภรรยาของหม่าฟู่ซานกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านวางใจเถิด! ต่อให้ทางด้านพวกเราไม่ได้จับตามองเอาไว้ตลอด ตระกูลเลี่ยวก็ส่งคนมาจับตามองอยู่ดี กล่าวคือ หากสินเจ้าสาวของสะใภ้คนใหม่ที่ยังไม่ทันแต่งงานเข้าบ้านหายไปล่ะก็ ตระกูลเลี่ยวของพวกเขาย่อมไม่ยอมเสียหน้าเป็นอันขาด!”
แม้ว่าโจวชูจิ่นจะพยักหน้า แต่ตรงหว่างคิ้วยังคงมีความวิตกกังวลแต้มอยู่
ภรรยาของหม่าฟู่ซานเห็นว่าสภาพจิตใจของนางไม่ถูกต้องนัก ครุ่นคิดแล้ว จึงไปพบโจวเสาจิ่น “คุณหนูใหญ่ที่ปกติคุ้นเคยกับการจัดการการงานในบ้าน วันนี้จู่ๆ ก็ลนลานขึ้นมา เกรงว่าคงจะรู้สึกไม่คุ้นเคยไปชั่วขณะ อย่างไรเสียในบ้านก็ยังมีฮูหยินอยู่ หากคุณหนูรองมีเวลาว่างไม่สู้ไปนั่งกับคุณหนูใหญ่ให้มากสักหน่อย”
นับตั้งแต่วันมอบของขวัญแต่งงานให้เจ้าสาวซึ่งเป็นวันที่โจวเสาจิ่นให้หม่าฟู่ซานนำป้ายชื่อของบิดาไปขู่ท่านลุงตระกูลจวงวันนั้น ภาระงานของโจวเสาจิ่นก็เพิ่มมากขึ้นอย่างน่าประหลาด หากไม่ใช่คนนี้มาถามว่าใช้ธูปหอมอะไรดีก็เป็นคนนั้นมาถามว่าใช้ถ้วยอะไรดี นางยุ่งจนไม่รู้ว่าจะยุ่งอย่างไรแล้ว แต่พอเห็นว่าหลี่ซื่อก็ยุ่งจนหัวหมุนเหมือนกัน ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องงานแต่งของพี่สาวทั้งนั้น จึงได้แต่อดทนสั่งการมามาผู้เป็นแม่บ้านเหล่านั้นอย่างใจเย็นเท่านั้น
วันนี้พอได้ยินภรรยาของหม่าฟู่ซานกล่าวเช่นนี้ ดวงใจของนางก็บีบรัดขึ้นมาในทันใด ละทิ้งเรื่องยุ่งเหยิงเหล่านั้นในมือลงแล้วไปหาโจวชูจิ่น
ภายในห้องของโจวชูจิ่น ทั้งบนเตียง เก้าอี้ และโต๊ะต่างเต็มไปด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ นางกำลังเลือกเสื้อผ้ากับฉือเซียงอยู่ “ข้าคิดว่าตอนที่ไปทักทายญาติพี่น้องในวันที่สองควรจะสวมชุดเพ่ยจื่อสีแดงสดลายแจกันดอกโบตั๋นชุดนั้นน่าจะดีกว่า ลายผีเสื้อตอมดอกไม้ดูไม่เอาจริงเอาจังเกินไป แต่ชุดลายผีเสื้อตอมดอกไม้ชุดนี้เป็นผ้าไหมทอลาย ซึ่งดูดีกว่าผ้าไหมหังโจวเล็กน้อย…”
การต้องขบคิดชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียเช่นนี้ โจวเสาจิ่นเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
พี่สาวก็มียามที่สับสนจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ด้วยเหมือนกัน
นางอดหัวเราะ ‘คิก’ ขึ้นมาไม่ได้ ก้าวเข้าไปหยิบชุดเพ่ยจื่อสีแดงสดลายแจกันดอกโบตั๋นชุดนั้นขึ้นมา พลางกล่าว “ท่านพี่มีสินสอดหนึ่งหมื่นสองพันเหลี่ยง ในรายการของขวัญแต่งงานก็จดบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน ต่อให้ท่านสวมเพียงชุดผ้าเนื้อละเอียดตัวหนึ่ง คนของตระกูลเลี่ยวก็ได้แต่ต้องชมท่านว่าเป็นคนเรียบง่ายสมถะ ดูแลจัดการการงานในเรือนอย่างอุตสาหะและมัธยัสถ์ ท่านพี่ไม่จำเป็นต้องกังวล ระมัดระวังเอาไว้ย่อมดีกว่าเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นฉุกคิดขึ้นได้ในทันใด
ความจริงแล้วนี่เป็นเหตุผลที่ทุกคนต่างรู้ดี เหตุใดนางจึงคิดไม่ถึงเล่า
นางรู้สึกอยู่บ้างว่าหลายวันมานี้ตนใจร้อนและเป็นกังวลมากเกินไป จึงรั้งให้โจวเสาจิ่นอยู่เป็นเพื่อนนาง สองพี่น้องเวลามีเรื่องอะไรเจ้าเตือนข้า และข้าก็เตือนเจ้าได้ อารมณ์ของของนางจึงค่อยๆ สงบลงมา กลับมาเป็นคนที่มีความสามารถและประสิทธิภาพดังเดิม
………………………………..