ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 256 ชื่นชมยินดี

ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นร้อนผ่าว หลังจากเงียบงันไปชั่วขณะ นางก็กระโดดขึ้นมาเดินออกไปจากห้อง “ท่านพี่ ประ…ประเดี๋ยวข้าค่อยมาหาท่านใหม่นะเจ้าคะ!”

“อื้มๆๆ!” โจวชูจิ่นผู้เคร่งขรึมและงามสง่าอยู่เสมอมองน้องสาวที่หนีเตลิดออกจากห้องของตนไปอย่างเก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูก ดวงหน้าแดงเถือกยิ่งกว่าโจวเสาจิ่นเสียอีก

ส่วนโจวเสาจิ่นวิ่งเข้าห้องของตนไปทันที แล้วโถมตัวลงบนผ้าห่มไหมสีแดงชาดบนเตียงเคลือบเงา ไอร้อนบนใบหน้ายังไม่คลายลง

เหตุใดนางจึงคิดไม่ถึงเล่า

คืนก่อนที่เจ้าสาวใหม่จะออกเรือน บรรดาสตรีญาติผู้ใหญ่ในบ้านล้วนจะสอนนางเรื่องค่ำคืนในห้องหอ

ชาติที่แล้ว สถานการณ์ของนางพิเศษเล็กน้อย ตอนที่แต่งงานมีเพียงสหายไม่กี่คนของพี่เขยมาร่วมแสดงความยินดี ด้วยเห็นแก่หน้าพี่เขยเท่านั้น โต๊ะสำหรับงานเลี้ยงฉลองจึงมีทั้งหมดเพียงสี่ถึงห้าโต๊ะเท่านั้น

ตอนที่แต่งงานกันใหม่ๆ นางนอนบนเตียง ส่วนหลินซื่อเซิ่งนอนบนพื้น รอบตัวล้วนเป็นคนของหลี่ซื่อเซิ่ง จึงไม่ตกเป็นที่ซุบซิบนินทาของผู้ใด ต่อมานางไปอาศัยอยู่ในบ้านสวนที่ต้าซิ่ง จึงยิ่งเรียบง่ายกว่าเดิม หลังจากที่ถูกพี่สาวค้นพบว่ามีบ่าวบางคนในบ้านสวนเพิกเฉยนาง ทุกๆ เดือนหลินซื่อเซิ่งจึงไปหานางครั้งหนึ่ง ภายในห้องกั้นไว้ด้วยฉากกั้นห้อง คนหนึ่งนอนในห้องชั้นใน ส่วนอีกคนหนึ่งนอนในห้องชั้นนอก

พอนึกถึงเรื่องราวเหล่านี้แล้ว นางก็รู้สึกเศร้าโศกเล็กน้อย

หากนางได้ออกเรือนอย่างคึกคักและรื่นเริงเฉกเช่นพี่สาวก็คงจะดีไม่น้อย!

ความทรงจำอันเจ็บปวดระทมใจในชาติก่อนเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นในห้วงสมองของนางอีกครั้ง

น้ำตาจึงไหลรินลงมาอย่างไร้สุ้มเสียง

โจวเสาจิ่นนอนคุ้ดคู้อยู่ใต้ผ้าห่ม แล้วด่ำดิ่งสู่ห้วงนิทรา

วันรุ่งขึ้นพอตื่นขึ้นมา ดวงตาของนางก็บวมเป่ง

โจวเสาจิ่นกลัวว่าคนอื่นจะมองเห็นความผิดปกติ จึงบอกให้ชุนหว่านหาทางไปต้มไข่ไก่ฟองหนึ่งมาช่วยนางประคบดวงตา ใครจะรู้ว่าพอฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเห็นเข้ากลับโอบไหล่ของนางเอาไว้พร้อมกับกล่าวยิ้มๆ ว่า “เด็กโง่ เจิ้นเจียงอยู่ห่างจินหลิงใกล้ถึงเพียงนี้ หากเจ้าคิดถึงชูจิ่น ก็ไปเยี่ยมนางที่เจิ้นเจียงก็ได้ ร้องห่มร้องไห้จนมีสภาพเช่นนี้ เห็นแล้วก็ทำให้คนรู้สึกสงสารเห็นใจยิ่ง”

นางคลี่ยิ้มอย่างขัดเขิน

ทุกคนต่างยิ้มน้อยๆ อย่างเอ็นดู

แม้แต่โจวชูจิ่นเองก็คิดว่าโจวเสาจิ่นเศร้าเสียใจที่ตนจะแต่งงาน จึงรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่เมื่อคืนไม่ได้รั้งให้น้องสาวค้างอยู่ด้วย นางจับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้พลางกล่าว “เจ้าอย่าลืมมาเยี่ยมข้า! เจ้าบอกว่าอยากพาพี่สาวไปเขาผู่ถัวมิใช่หรือ”

โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ

ทว่าโจวชูจิ่นกลับร้องไห้ออกมา

โจวเสาจิ่นกระซิบปลอบใจพี่สาว

นางไม่ได้รู้สึกไม่เต็มใจให้พี่สาวจากไปแต่อย่างใด

หรือเป็นเพราะนางรู้ดีว่าพี่สาวจะมีชีวิตแต่งงานที่ดียิ่ง นอกจากจะได้พบกับสามีที่รักใคร่กันตลอดชีวิตแล้ว ยังมีบ้านหลังเล็กของตนเองหลังหนึ่ง มีความสุขยิ่งกว่ายามที่อยู่ในตระกูลเฉิงเสียอีก

ครั้นฮูหยินใหญ่ตระกูลกู้ผู้ทำหน้าที่เป็นสตรีผู้เปี่ยมไปด้วยพรทุกประการให้โจวชูจิ่นเห็นแล้วก็ยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวอย่างอดไม่ได้ว่า “คุณหนูใหญ่อ่อนน้อมถ่อมตน ส่วนคุณหนูรองอ่อนโยนและนุ่มนวล ความจริงข้าคิดว่าอุปนิสัยของคุณหนูรองจะต้องเปราะบางอยู่บ้าง แต่ไม่คาดคิดว่าพอถึงช่วงเวลาสำคัญกลับเป็นคุณหนูใหญ่ที่ร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่”

ทุกคนถึงได้สังเกตเห็นความผิดปกติของโจวเสาจิ่น

มีน้องสาวคนใดบ้างที่ไม่ร้องไห้ยามที่พี่สาวจะออกเรือน

ทว่าความจริงแล้วโจวเสาจิ่นร้องไห้ไม่ออกต่างหาก

หลังจากที่นางย้อนกลับมามีชีวิตใหม่ ความปรารถนาสองข้อที่หมายมั่นเอาไว้ล้วนกลายเป็นจริงแล้ว และอีกไม่นานนางก็จะหลุดพ้นจากโคลนตมของเฉิงสวี่แล้วเช่นกัน ยังไม่ทันได้ดีอกดีใจ จะให้ร้องไห้ออกมาได้อย่างไรเล่า

โจวเสาจิ่นได้แต่พูดกลบเกลื่อนไปว่า “ท่านป้าใหญ่กับท่านพี่ต่างบอกให้ข้าไม่ต้องเสียใจ หากคิดถึงท่านพี่ ก็ไปเยี่ยมนางที่เจิ้นเจียงได้มิใช่หรือเจ้าคะ”

หญิงสาวที่แต่งงานแล้วเบื้องบนมีพ่อแม่สามี เบื้องล่างมีพี่น้องสามี ข้างๆ ยังมีพี่สะใภ้น้องสะใภ้ ไหนเลยจะง่ายดายถึงเพียงนั้น

แต่ทุกคนยังถูกถ้อยคำอันไร้เดียงสาของนางทำให้ขบขันจนหัวเราะร่วนขึ้นมา นอกจากจะคลายความโศกเศร้าที่ต้องจากกัน ยังเพิ่มบรรยากาศชื่นมื่นขึ้นเล็กน้อยด้วย กลับเป็นผลเก็บเกี่ยวที่เหนือความคาดหมาย

หลี่มามายิ้มพลางเข้ามาแจ้งว่า ทางด้านห้องครัวส่งน้ำร้อนมาแล้ว

ทุกคนต่างย้ายไปนั่งที่ห้องปีกที่อยู่ข้างๆ

โจวเสาจิ่นเดินตามไป

บรรดาฮูหยินผู้เฒ่าของซอยจิ่วหรูต่างไม่ได้มาร่วมงาน เจียงซื่อกับหงซื่อล้วนเป็นญาติผู้ใหญ่ที่เห็นโจวเสาจิ่นเติบโตขึ้นมาเหมือนกัน บรรยากาศจึงกลมเกลียวยิ่ง มีแต่เฉิงเจียผู้เดียวที่ทำหน้าบึ้งตึงตั้งแต่ต้นจนจบ

โจวเสาจิ่นได้แต่รู้สึกทอดถอนใจ

เจียงซื่อเข้มงวดกับเฉิงเจียมากยิ่งขึ้น คราวก่อนนางใช้ข้ออ้างว่าเนื่องจากพี่สาวจะออกเรือนแล้วพวกพี่น้องอยากจะพูดคุยกันสักหน่อย อยากจะรั้งให้เฉิงเจียค้างคืนที่ถนนผิงเฉียวสักคืนหนึ่งก็ไม่ได้ดั่งหวัง

แขกเหรื่อของตระกูลโจวมีจำนวนไม่มากนัก ทว่าซอยจิ่วหรูในจินหลิงกลับมีชื่อเสียงเลื่องลือ แขกมากมายที่มามอบของขวัญตอบแทนให้ตระกูลโจวล้วนมาเพราะเห็นแก่หน้าของซอยจิ่วหรูทั้งนั้น ทั้งหมดล้วนเป็นผู้ที่คุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง แม้นตระกูลโจวจะเป็นเจ้าภาพ ทว่ากลับเสมือนตระกูลเฉิงที่เป็นผู้จัดงานก็ไม่ปาน

โจวเสาจิ่นเห็นทุกคนสนทนากันอย่างแช่มชื่น จึงส่งสายตาให้เฉิงเจีย แล้วออกจากห้องข้างไป

เฉิงเจียตามออกไปในทันที

ทั้งสองคนยืนอยู่หน้าต้นทับทิมที่เพิ่งจะผลิใบอ่อนออกมาให้ยลโฉมในลานบ้าน

โจวเสาจิ่นกระซิบถามว่า “วันนั้นเจ้าตามหาหาข้าเพื่ออันใด”

นัยน์ตาของเฉิงเจียมีรอยครุ่นคิดอย่างลังเลสายหนึ่งวาบผ่าน นานพักหนึ่งกว่าจะกระซิบกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นข้าไปจุดธูปที่วัดกันเฉวียนเป็นเพื่อนท่านแม่ แล้วได้พบพี่ชายจิ้งที่นั่น…เขาซูบผอมลงมาก…ยังถามข้าว่ายิน…ยินดีแต่งงานกับเขาหรือไม่…หากข้ายินดี ให้ข้าไม่ต้องสนใจสิ่งใด เรื่องอื่นๆ เขาจะหาทางจัดการเอง…แต่หากข้าไม่ตกลง…เขาอยากจะมอบสร้อยคอเงินเส้นหนึ่งให้ข้า บอกว่าไม่อาจขอสิ่งของอะไรจากข้า นี่เป็นสร้อยคอที่ท่านยายมอบให้ตอนที่เขาเป็นเด็ก เขามอบให้ข้า ถือว่าเป็นจับจองที่มอบให้กับบุตรชายบุตรสาวของข้า…” กล่าวถึงตรงนี้ ดวงหน้าของเฉิงเจียก็แดงเถือกราวกับเลือด “บอกว่าหากข้าให้กำเนิดบุตรสาวคนหนึ่ง ก็ให้ข้าเลือกบุตรชายของเขา แต่หากข้าให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ก็ให้มาเป็นบุตรเขยของเขา…ขะ…ขะ…ข้า…”

ช่างกล้าหาญยิ่งนัก!

โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วดวงตาลุกวาว

ชาติก่อนนางมักจะวิ่งตามก้นของเฉิงเจีย แม้ว่าเฉิงเจียจะเล่นกับนางอย่างสนุกสนาน แต่เรื่องประเภทนี้กลับไม่เคยมาคุยกับนางเลย

ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วมีเรื่องนี้เกิดขึ้นด้วยหรือไม่

นางรีบกล่าวอย่างร้อนรน “ละ…แล้วเจ้าตอบว่าอย่างไร”

“ข้าจะตอบอะไรได้เล่า!” เฉิงเจียมองค้อนนางทีหนึ่ง “เรื่องพวกนี้เจ้ากับข้าตัดสินใจเองได้หรือ”

ทว่าโจวเสาจิ่นได้ยินแล้วกลับคิดว่าในถ้อยคำนี้มีความนัยแฝงอยู่ นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “‘เจ้ากับข้า’ อะไรกัน เป็นเจ้าคนเดียวต่างหากมิใช่หรือ! เจ้าอย่าได้เหมารวมข้าเข้าไปด้วย ยิ่งกว่านั้น เรื่องเช่นนี้เจ้าปฏิเสธไปก็ได้ แต่เจ้ากลับไม่ปฏิเสธ แสดงว่าเห็นพ้องด้วยแล้วกระมัง!”

เฉิงเจียร้อนรนขึ้นมา กล่าวว่า “ใครบอกว่าข้าเห็นด้วย! ข้าไม่ได้รับสร้อยคอของเขามาสักหน่อย ยังมาบอกว่าให้ข้าเลือกบุตรชายของเขาอะไรนั่นอีก ถ้าหากบุตรชายของเขาเป็นคนเสเพลไม่เอาไหน จะให้ข้าเลือกได้อย่างไร!”

โจวเสาจิ่นมองนางด้วยท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม พลางกล่าว “แต่ดูเหมือนว่าเจ้าก็ไม่ได้ตอบว่าไม่ได้นี่นา!”

“ขะ…ขะ…ข้า…” เฉิงเจียที่เป็นคนพูดจาฉะฉานอย่างมั่นใจกลับพูดตะกุกตะกักขึ้นมา นานพักใหญ่แล้วแต่ก็พูดอะไรไม่ออกสักประโยค

โจวเสาจิ่นยกยิ้มอย่างเริงร่า

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พอนางเห็นเฉิงเจียถูกบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้เช่นนี้แล้วรู้สึกเบิกบานใจยิ่งนัก

เฉิงเจียเชิดหน้าขึ้นไม่มองโจวเสาจิ่น พลางกล่าว “ข้ามาหาเจ้าเพื่อปรึกษา หากเจ้ายังเป็นเช่นนี้อีก ต่อไปเจ้าอย่าคิดว่าข้าจะสนใจเจ้าอีก”

“เจ้าไม่ต้องสนใจข้าก็ได้!” โจวเสาจิ่นไม่กลัวแม้แต่น้อย พลางกล่าว “ข้าจะคอยดูว่าวันหลังถ้าหากเจ้ามีเรื่องอะไรจะไปเล่าให้ใครฟังได้บ้าง!”

เฉิงเจียตอบ “เจ้าวางใจได้เลย! ถ้าหากเจ้าไม่ว่าง คุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ก็ยังว่าง ถึงตอนนั้นข้าจะไปเล่าให้นางฟัง!”

โจวเสาจิ่นตะลึงงัน เอ่ยถามว่า “คุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋? คุณหนูใหญ่ของเจ้าเมืองอู๋ที่ชื่อเป่าจางผู้นั้นน่ะหรือ”

“เป็นนางนั่นแหละ!” เฉิงเจียตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “ตั้งแต่คราวก่อนหลังจากที่นางช่วยเย็บเสื้อผ้าสองสามชุดให้หลานอวิ๋นของจวนรองก็ได้รับคำชื่นชมจากสะใภ้ใหญ่สือ จากนั้นก็เข้าออกตระกูลเฉิงอยู่บ่อยๆ หลายครั้งที่พบข้าก็ยังทักทายด้วยรอยยิ้ม ขอคืนดีกับข้า หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าคงไปเล่นกับนางตั้งนานแล้ว”

โจวเสาจิ่นย่นหัวคิ้วมุ่น

เห็นทีว่าที่ตนตัดสินใจไปเมืองเป่าติ้งนับว่าถูกต้องแล้ว

นางอยากจะเตือนเฉิงเจียอีกสักสองสามคำ แต่นางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็มีสาวใช้เด็กคนหนึ่งวิ่งมา พร้อมกับกล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรอง คุณหนูสี่ตระกูลเฉิง คุณหนูใหญ่กำลังจะโขกศีรษะแล้วเจ้าค่ะ”

เฉิงเจียดึงตัวโจวเสาจิ่นแล้ววิ่งออกไป พลางกล่าว “พวกเราไปดูกันเถอะ” แล้วกล่าวอีกว่า “แต่ไหนแต่ไรผู้อื่นล้วนเรียกเจ้าว่า ‘คุณหนูโจว’ และเรียกข้าว่า ‘คุณหนู’ แต่ตอนนี้ผู้อื่นเรียกเจ้าว่า ‘คุณหนู’ เรียกข้าว่า ‘คุณหนูเฉิง’ ช่างน่าสนุกจริงๆ!”

โจวเสาจิ่นไร้คำเอื้อนเอ่ย

กระทั่งยามที่พวกนางเดินเข้ามาภายในห้อง ฮูหยินใหญ่กู้กับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก็เริ่มหวีผมให้โจวชูจิ่นแล้ว

เฉิงเจียมองโจวชูจิ่นที่สวมชุดเจ้าสาวสีแดงสด ดวงหน้าแต้มความเขินขายและความหวัง ก็กล่าวอย่างอิจฉาว่า “พี่สาวชูจิ่นช่างงดงามจริงๆ!”

โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม

หลี่มามายกต้มเม็ดบัวผสมไป่เหอเข้ามา

ฮูหยินใหญ่กู้ช่วยป้อนให้โจวชูจิ่น

ผู้ที่มารับเจ้าสาวจากตระกูลเลี่ยวมากันแล้ว

เสียงประทัด ฆ้องและกลองดังสนั่นก้องหู เสียงหัวเราะและโห่ร้องยินดีดังอื้ออึงปะปนกันไป ทำให้บ้านตระกูลโจวครึกครื้นขึ้นมาในทันใด

โจวชูจิ่นคว้ามือของโจวเสาจิ่นมาจับไว้แน่น

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดแล้ว กระซิบบอกพี่สาวว่า “ท่านพี่ เจ้าวางใจเถิด ท่านน้าฉือบอกว่า เขาได้พบกับพี่เขยแล้ว พี่เขยไม่เพียงหน้าตาคมคาย แต่ยังเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ เป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่ง ตอนที่พบท่านน้าฉือก็วางตัวได้อย่างเหมาะสมยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าเขาพึงพอใจกับการแต่งงานนี้เป็นอย่างมากเจ้าค่ะ”

โจวชูจิ่นตะลึงงันเล็กน้อย มือที่จับโจวเสาจิ่นค่อยๆ คลายลงมา

โจวเสาจิ่นยิ้ม

ไม่นานนัก เสียงอึกทึกก็เคลื่อนมาถึงประตู คนของตระกูลเลี่ยวมอบผ้าคลุมหน้าให้

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเชิญแขกที่มาชมงานรื่นเริงไปนั่งที่ห้องข้างอย่างสุภาพนอบน้อม คนของตระกูลเลี่ยวกำลังจะมารับเจ้าสาวแล้ว

โจวเสาจิ่นถูกทิ้งให้อยู่ในห้อง

ฮูหยินใหญ่กู้ยิ้มพลางกล่าวกับโจวชูจิ่นว่า “ไม่ต้องกลัว ถึงเวลาข้าจะตามไปด้วย เจ้ามีเรื่องอะไร ก็ให้สาวใช้ข้างกายไปหาข้า”

โจวชูจิ่นตอบว่า “เจ้าค่ะ” เบาๆ

ฮูหยินใหญ่กู้ช่วยประคองโจวชูจิ่นไปที่ห้องโถง

หลังจากกราบไหว้ป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษกับเฉิงเฮ่อมารดาผู้ให้กำเนิดและจวงเหลียงอวี้มารดาเลี้ยง และโขกศีรษะให้เก้าอี้ว่างเปล่าอันเป็นตัวแทนของโจวเจิ้นและหลี่ซื่อเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินใหญ่กู้ก็ช่วยโจวชูจิ่นคลุมใบหน้าด้วยผ้าคลุมหน้า ครั้นดึงโจวเสาจิ่นมายืนอยู่ข้างๆ โจวชูจิ่นแล้ว เฉิงเก้าที่สวมชุดจื๋อตัวสีเขียวใหม่เอี่ยมก็เดินเข้ามา ผู้ที่เปี่ยมไปด้วยพรทุกประการจากตระกูลเลี่ยวที่เดินตามหลังเข้ามามอบซองแดงซองใหญ่ให้โจวเสาจิ่นกับเฉิงเก้าคนละซองด้วยรอยยิ้มเบิกบาน

“ถึงฤกษ์งามยามดีแล้ว!” เฉิงเก้าผู้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวตะโกนเสียงกังวานพลางแบกโจวชูจิ่นขึ้นหลังออกจากห้องโถงไป

ข้างนอกมีเสียงประทัดดังตูมตามก้องฟ้า

แขกเหรื่อที่มาชมงานที่อยู่ในห้องโถงก่อนหน้านี้ล้วนแห่กันออกไปข้างนอกทั้งหมด

โจวเสาจิ่นถือซองสีแดงจ้า ยืนอยู่ใต้ชายคาอย่างเงียบๆ มองดูเงาร่างของพี่สาวที่ค่อยๆ หายไปในหมอกควันของประทัด กระทั่งลับหายไปจนมองไม่เห็น

รอบตัวเย็นเยียบขึ้นมา

“ดูเหมือนว่าพี่สาวของเจ้าจะได้ออกเรือนไปอย่างดียิ่ง!” จู่ๆ ก็มีคนพูดขึ้นมาข้างๆ นาง

นางหันไป นัยน์ตาก็ลุกวาวขึ้นมาในทันใด “ท่านน้าฉือ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าหมายความว่า ท่านมาอยู่ในลานชั้นในนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ ท่านควรจะดื่มเฉลิมฉลองอยู่ที่ลานชั้นนอกมิใช่หรือ”

เฉิงฉือยิ้มพลางกล่าว “ข้าตามเข้ามาดูสักหน่อย”

เขาเพียงตามเข้าดูจริงๆ

ทว่าเหลือบเห็นโจวเสาจิ่นยืนอยู่ใต้ชายคาทำท่าเหมือนจะร่ำไห้แต่มุมปากกลับยกยิ้มบางเบา

เขาจึงเดินเข้ามา

โจวเสาจิ่นพยักหน้าพลางยิ้มตาหยี กล่าวว่า “ท่านพี่ได้ออกเรือนไปอย่างดี! พี่เขยก็ปฏิบัติกับนางอย่างดียิ่งด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ!”

เฉิงฉือเลิกคิ้วขึ้น พลางกล่าว “แต่มีบุตรยาก!”

โจวเสาจิ่นมุ่ยปากอย่างไม่พอใจ กล่าวว่า “ข้าช่วยท่านพี่ขออิฐจากเจดีย์เหลยเฟิงกลับมาแล้ว ชาตินี้พี่สาวจะต้องมีบุตรหลานเต็มเรือนแน่นอนเจ้าค่ะ!”

เฉิงฉือย่นคิ้วขึ้น

โจวเสาจิ่นโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก เอ่ยขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร วันนี้เป็นวันแต่งงานของพี่สาวของข้านะเจ้าคะ!”

เฉิงฉือชำเลืองมองนางทีหนึ่ง พลางกล่าว “ข้าได้พูดอะไรออกไปอย่างนั้นหรือ”

ก็เพราะว่าไม่ได้พูดอะไรแต่นางกลับรู้ดีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ยิ่งทำให้คนอื่นโมโหอย่างไรเล่า!

โจวเสาจิ่นกระทืบเท้า

……………………………………

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน
Status: Ongoing
ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset