ระหว่างทางไปเรือนหานปี้ซานนั้น มีร่มเงาของต้นไม้ เสียงนกร้องและกลิ่นมวลพฤกษาดอกไม้หอม โจวเสาจิ่นเดินไปด้วยก็ชมวิวไปด้วย รู้สึกสบายใจยิ่ง ชี้ไปที่ยอดของพุ่มต้นไม้ที่บดบังดวงอาทิตย์เอาไว้กล่าวกับซือเซียงว่า “ถึงแม้จะถึงกลางฤดูร้อน แต่หากมีพุ่มเขียวๆ เหล่านี้อยู่ ก็ไม่ต้องกลัวว่าอากาศจะร้อนเลย”
ซือเซียงยิ้มตาหยีพลางพยักหน้า
อย่างรวดเร็ว ทั้งสองก็มาถึงเรือนหานปี้ซาน
คนที่ออกมาต้อนรับพวกนางคือปี้อวี้ นางกล่าวทักทายโจวเสาจิ่นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางเดินนำทางนางไปยังเรือนหลัก พลางชี้แจงเสียงเบาไปด้วยว่า “นายท่านผู้เฒ่ารองที่เมืองหลวงใช้ให้คนมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่า ยังเชิญคุณหนูให้รอสักครู่เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นนึกแล้วนึกอีกถึงจำได้ว่านายท่านผู้เฒ่ารองท่านนี้คือใคร
เขาคือน้องชายแท้ๆ ของนายท่านผู้เฒ่าใหญ่เฉิงซวินจวนหลัก น้องสามีของฮูหยินผู้เฒ่ากัว นามว่าเฉิงเส้า เขากับนายท่านใหญ่เฉิงจิงจวนหลักสอบเป็นจิ้นซื่อพร้อมกันในรัชศกหย่งชางปีที่สิบสองเจี่ยซวี แต่ว่าในปีนั้นเฉิงจิงสอบผ่านจิ้นซื่อขั้นสองเป็นลำดับที่สิบหก ส่วนเฉิงเส้าสอบผ่านจิ้นซื่อขั้นหนึ่งเป็นลำดับที่สอง เรื่องดังกล่าวเป็นที่พูดถึงอย่างมากในเมืองจินหลิงในเวลานั้น แม้กระทั่งทุกวันนี้ ยามกล่าวถึงตระกูลเฉิง คนในเมืองจินหลิงก็ยังยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดถึงครั้งหนึ่ง จากนั้นเฉิงจิงสอบได้เป็นซู่จี๋ซื่อ ส่วนเฉิงเส้ารั้งอยู่ที่สำนักฮั่นหลินทำหน้าที่เป็นเปียนซิว ต่อมาเฉิงซวินเสียชีวิตไปจากความเจ็บป่วย เฉิงจิงที่เพิ่งจะเข้าทำงานเป็นพลเรือนฝ่ายซ้ายในกรมโยธาธิการได้ไม่นานต้องกลับไปร่วมพิธีไว้ทุกข์ที่บ้านเกิด ส่วนเฉิงเส้าที่รั้งอยู่ที่สำนักฮั่นหลินนั้นได้เลื่อนจากตำแหน่งเปียนซิวเป็นซื่อตู๋เสวียซื่อแห่งสำนักฮั่นหลิน และต่อมาเป็นเส่าชิงแห่งจานซื่อฝู่
ในความเข้าใจของทุกคนนั้น เฉิงเส้าเป็นผู้ที่น่าจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ เมื่อถึงเวลาคัดเลือกตัวแทนผู้นำของจวนหลัก เฉิงเส้าราวกับคุณชายเจียงผู้ที่สูญเสียความสามารถของตนและไม่ประสบความสำเร็จใดๆ อีกเลย กลับเป็นเฉิงจิงที่หลังจากเสร็จสิ้นการไว้ทุกข์แล้ว ได้ดำรงตำแหน่งเป็นจู่ป๋อแห่งศาลต้าหลี่เป็นลำดับแรก จากนั้นเพียงแค่ครึ่งปี ก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเฉิงแห่งศาลต้าหลี่ และอีกหนึ่งปีก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเส่าเหลียวแห่งศาลต้าหลี่ในที่สุด…กระทั่งต่อมาได้รับแต่งตั้งเข้าสู่ราชสำนัก หน้าที่การงานในราชสำนักราบรื่นยิ่ง ไม่มีสะดุด ส่วนเฉิงเส้าที่ย้ายไปอยู่ที่จิงเฉิงนานแล้วนั้น ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากความสนใจของผู้คนในซอยจิ่วหรูแห่งเมืองจินหลิง น้อยคนนักที่จะกล่าวถึงเขาอีก
ชาติก่อน เจียงซื่อยังเคยตั้งข้อสังเกตอย่างประสงค์ร้ายว่าครอบครัวของเฉิงเส้านั้นถูกฮูหยินผู้เฒ่ากัวขับไล่ออกไป
โจวเสาจิ่นอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้
ไม่รู้ว่าที่เฉิงเส้าส่งคนมาในครั้งนี้เพียงเพื่อแวะมาทักทายฮูหยินผู้เฒ่ากัวตามมารยาทหรือมีเรื่องอะไรต้องมาหาฮูหยินผู้เฒ่ากัวกันแน่
จากคำของเจียงซื่อแล้ว จวนหลักนั้นไม่ได้แยกครอบครัวออกจากัน จึงยังต้องส่งรายได้ครึ่งหนึ่งไปให้เฉิงเส้าที่อยู่ที่จิงเฉิงทุกปี แต่ผู้ที่ดูแลรับผิดชอบกิจการของจวนหลักคือนายท่านสี่เฉิงฉือ ซึ่งเขาก็เป็นบุตรชายของฮูหยินผู้เฒ่ากัว จวนหลักตั้งใจสร้างความลำบากให้เฉิงเส้า นอกจากส่งคนมา ‘เจรจา’ กับฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว เฉิงเส้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ
โจวเสาจิ่นที่กำลังนั่งดื่มชาอยู่ในห้องโถงนั้นเงี่ยหูฟังเสียงที่ห้องเยี่ยนซีไปด้วยโดยไม่รู้ตัว
ที่นั่นกลับเงียบเชียบไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยสักอย่าง
โจวเสาจิ่นลอบรู้สึกเสียดาย
เฝ่ยชุ่ยเลิกผ้าม่านออกมา ในมือยังถือกาน้ำทองแดงเอาไว้หนึ่งใบ
เห็นโจวเสาจิ่นนั่งอยู่ในห้องโถง นางผงะไปเล็กน้อย แล้วยิ้มพลางชี้ไปที่ห้องเยี่ยนซี หันไปพยักหน้าให้โจวเสาจิ่นโดยไม่เอ่ยเสียงออกมา
โจวเสาจิ่นเองก็ยิ้มพลางพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยเสียงใด ทันใดนั้นหูผึ่งขึ้นมา
มีเสียงแผ่วๆ ลอยออกมาจากห้องเยี่ยนซี “…ขอบคุณซู [1] รอง! รบกวนอู๋เซียนเซิงขอบคุณซูรองแทนข้าด้วย”
เป็นเสียงของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ที่แท้คนที่มาคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นผู้ชายหรอกหรือ!
เรื่องภายนอกไม่ใช่ว่าควรจะไปหานายท่านสี่หรอกหรือ
โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกๆ รู้สึกราวกับว่าตนเองได้ยินเรื่องที่ไม่สมควรได้ยินเข้า
รอจนกระทั่งตอนที่เฝ่ยชุ่ยถือกาน้ำทองแดงเข้าไปในห้องเยี่ยนซีอีกครั้งหนึ่งแล้ว นางลุกขึ้นมาแล้วเดินไปทางห้องเยี่ยนซีอีกหลายก้าวอย่างอดไม่ได้
มีเสียงแผ่วเบาของผู้ชายดังขึ้น “…นายท่านผู้เฒ่ารองได้กล่าวเอาไว้ เรื่องนี้รบกวนฮูหยินผู้เฒ่าช่วยเกลี้ยกล่อมนายท่านใหญ่สักหน่อยขอรับ”
โจวเสาจิ่นไม่ฟังต่อไปอีก รีบกลับมานั่งที่อย่างเรียบร้อย
เฝ่ยชุ่ยไม่ออกมาอีกเลย
โจวเสาจิ่นรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยอยู่ภายในใจ
ไม่นาน เฝ่ยชุ่ยเลิกผ้าม่านขึ้นออกมาส่งอู๋เซียนเซิงท่านนั้น
โจวเสาจิ่นมองอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง
อู๋เซียนเซิงท่านนั้นมีรูปร่างเล็ก สวมชุดจื๋อตัวสีน้ำเงินไพลินลายอู่ฝูเผิ่งโซ่วสีม่วงตัวหนึ่ง อายุประมาณห้าสิบกว่าปี ไว้เคราแพะ ใบหน้ากลับอ่อนโยนและสงบนิ่ง ไม่เหมือนกับเป็นพ่อบ้านส่งสารให้ผู้อื่น แต่กลับเหมือนเป็นที่ปรึกษาของตระกูลใหญ่สักตระกูล ทำให้นางนึกถึงอาจารย์ทั้งหลายที่อยู่ข้างกายของพี่เขยขึ้นมา
หรือว่าเขาจะเป็นผู้ช่วยของนายท่านผู้เฒ่ารองเฉิงเส้า?
ในใจของโจวเสาจิ่นเต้นระทึก รีบก้มหน้าลงด้วยรู้สึกละอาย ทำตัวราวกับเป็นรูปปั้นที่เผลอไปเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้า
อู๋เซียนเซิงรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
นางรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
เฝ่ยชุ่ยกลับมาและเข้าไปในห้องเยี่ยนซี เพียงไม่นานก็เดินออกมา ยิ้มพลางกล่าวกับนางว่า “คุณหนูรอง ฮูหยินผู้เฒ่าเชิญท่านเข้าไปเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณเสียงเบา แล้วตามนางเข้าไปในห้องเยี่ยนซี
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั่งอยู่บนตั่งตัวเตี้ย กำลังหมุนลูกประคำในมือด้วยอาการสงบนิ่ง มองไม่ออกว่ากำลังรู้สึกเศร้าหรือยินดี ถ้วยน้ำชาหลายใบบนโต๊ะล้วนถูกจัดเก็บเรียบร้อยจนสะอาดสะอ้าน ไม่เหมือนกับว่าเพิ่งจะมีแขกเข้ามา
นางขยับขึ้นด้านหน้าไปทำความเคารพ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกล่าว “ข้าจะไม่พูดอะไรให้มากความอีก นับจากวันนี้ไปเจ้าก็เข้ามาที่นี่ทุกบ่ายก็แล้วกัน มีเรื่องอะไรก็ให้บอกเฝ่ยชุ่ย หากว่านางทำให้ไม่ได้ เจ้าก็มาหาข้าได้เลย”
“เจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นลุกขึ้นมา ตอบอย่างว่าง่ายและเคารพนบนอบ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า สีหน้าสงบขึ้นเล็กน้อย
เจินจูเข้ามารายงานว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินกล่าวว่ามีเรื่องจะแจ้งท่านเจ้าค่ะ”
ถึงแม้หยวนซื่อจะเป็นภรรยาของขุนนางยศผิ่นขั้นสามเจิ้ง แต่ผู้คนในวงสังคมต่างคุ้นเคยกับการยกย่องผู้อื่น ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นภรรยาของขุนนางยศอะไรก็ล้วนแล้วแต่เรียกผู้นั้นว่า ‘ฮูหยิน’ อย่างให้เกียรติในยามพบหน้ากัน
โจวเสาจิ่นจึงรีบลุกขึ้นกล่าวลา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็ไม่ได้รั้งนางเอาไว้
โจวเสาจิ่นจึงได้เดินสวนกันกับหยวนซื่อที่กำลังยืนรอสาวใช้ที่ไปรายงานต่อฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ที่ใต้ชายคาเรือน
หยวนซื่อพยักหน้าให้นาง ยิ้มพลางกล่าว “เสาจิ่นมาคัดลอกพระธรรมใช่หรือไม่ ทำไมไม่นั่งต่ออีกสักหน่อย นี่กำลังจะไปห้องพระกันแล้วหรือ” ทั้งยังกล่าวทักทายเฝ่ยชุ่ยอีกว่า “วันนี้เป็นเจ้าที่อยู่รับใช้หรือ”
ท่วงท่าเป็นมิตรและเป็นธรรมชาติ
นี่เป็นหยวนซื่อที่โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่คุ้นเคยด้วยเอาเสียเลย
นางไม่ได้กล่าวคำใด เพียงยิ้มพลางย่อเข่าลงทำความเคารพหยวนซื่อครั้งหนึ่ง กลับเป็นเฝ่ยชุ่ยที่กล่าวทักทายกับหยวนซื่ออย่างเกรงอกเกรงใจอยู่หลายประโยคแล้วค่อยเดินนำนางไปยังห้องพระ
บนโต๊ะเขียนหนังสือตัวใหญ่ในห้องพระนั้น นอกจากจะมีพู่กัน แท่งหมึก กระดาษ แท่นฝนหมึก ถ้วยล้างพู่กัน แท่นวางพู่กัน และ พระธรรม ‘ศูรางคมสูตร’ อย่างหนาเล่มหนึ่งแล้ว ยังมีกล่องแกะสลักลายดอกไม้ไห่ถังสีแดงเลื่อมทองที่บรรจุไว้ด้วยขนมทานเล่นหนึ่งกล่องวางเอาไว้
สายตาของโจวเสาจิ่นละอยู่บนกล่องนั้น เฝ่ยชุ่ยจึงยิ้มพลางกล่าว “นี่เป็นฮูหยินผู้เฒ่าย้ำมาเป็นพิเศษ บอกว่ากลัวคุณหนูรองจะเหงาปาก เลยจัดเตรียมของว่างเอาไว้ให้ท่านเจ้าค่ะ” ยังกล่าวอีกว่า “ท่านลองดูว่ายังขาดอะไรอีกหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ขาดอะไรแล้ว” โจวเสาจิ่นยิ้มแล้วกล่าวกับนางอีกหลายประโยค “กล่าวขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าแทนข้าด้วย”
เฝ่ยชุ่ยจึงยิ้มแล้วตะโกนเรียกสาวใช้คนหนึ่งที่ยังอยู่ในวัยเด็กที่ทำผมสองจุกให้เข้ามา กล่าว “คุณหนูรอง นี่คือเสี่ยวถาน ต่อไปนางจะอยู่รับใช้ท่านในห้องพระเจ้าค่ะ” ยังกล่าวกับซือเซียงด้วยว่า “หากว่ามีเรื่องอะไรเจ้าก็เพียงสั่งการนางให้ช่วยเป็นธุระให้ก็พอ”
หากว่าไม่ได้ยินคำพูดสองประโยคนั่นของอู๋เซียนเซิงแล้ว โจวเสาจิ่นอาจจะรู้สึกแปลกใจกับการจัดเตรียมเช่นนี้ แต่เมื่อได้พบกับเรื่องในห้องเยี่ยนซีครั้งหนึ่งแล้ว นางก็เข้าใจได้ถึงความสำคัญและสถานะของเฝ่ยชุ่ยในเรือนหานปี้ซาน จึงไม่รู้สึกประหลาดใจที่เฝ่ยชุ่ยไม่ได้อยู่รับใช้นางด้วยตัวเอง แต่จัดเตรียมสาวใช้เด็กผู้หนึ่งให้อยู่คอยรับใช้นางที่ห้องพระแทน
เมื่อดูจากตอนนี้แล้ว การที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้เฝ่ยชุ่ยมาทำธุระให้นาง ก็ถือว่าเป็นการให้ความโปรดปรานแก่นางแล้ว
คงไม่มีใครในเรือนหานปี้ซานละเลยนางได้แล้วกระมัง?
รอจนกระทั่งเฝ่ยชุ่ยและซือเซียงได้ทักทาย เรียงลำดับความอาวุโส เรียกขานพี่สาวน้องสาวกันเสร็จแล้ว โจวเสาจิ่นให้ซือเซียงไปส่งเฝ่ยชุ่ยที่ประตู จากนั้นหมุนตัวจากกล่องใส่ขนมแล้วหยิบขนมรังไหมชิ้นหนึ่งส่งให้เสี่ยวถาน กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “หากว่าที่นี่มีเรื่องอะไรข้าจะเรียกเจ้าเอง ไปเล่นกับพวกพี่ๆ น้องๆ เถอะ!”
เสี่ยวถานนั้นผิวขาวเนียนละเอียด มีดวงตากลมโตคู่หนึ่ง เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางถือขนมเอาไว้แล้วเอียงศีรษะพลางกล่าว “คุณหนูรอง ข้าไม่เล่นกับพวกพี่สาวน้องสาวเจ้าค่ะ ข้าจะนั่งอยู่บนบันไดด้านนอกรอให้ท่านเรียกข้านะเจ้าคะ”
เสียงของนางกังวานใส ท่าทางฉลาดและน่ารัก ทำให้โจวเสาจิ่นนึกถึงบุตรสาวคนโตของหลินซื่อเซิ่ง ทุกครั้งที่นางได้พบกับเด็กคนนั้นก็มักจะเป็นเช่นท่านยายที่จะต้องให้ขนมเด็กคนนั้นชิ้นหนึ่ง และทุกครั้งเด็กคนนั้นก็จะเอียงศีรษะแล้วกล่าวขอบคุณนางด้วยดวงตาโตเช่นนี้
ใจของโจวเสาจิ่นอ่อนยวบลงจนยุ่งเหยิง ลูบศีรษะของเสี่ยวถานครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวกับนางว่า “ไปเถอะ” กระทั่งเห็นว่านางออกจากประตูไปแล้ว ถึงได้หมุนตัวนั่งลงตรงด้านหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ
ซือเซียงกลับมาจากไปส่งเฝ่ยชุ่ยพอดี เลิกแขนเสื้อขึ้นแล้วช่วยโจวเสาจิ่นฝนหมึก
โจวเสาจิ่นถือโอกาสนั้นพลิกเปิดไปยังบทที่มี ‘ศูรางคมสูตร’
เป็นการแกะสลักที่วิจิตรงดงาม ตัวอักษรใหญ่ดูสบายตา มีเว้นระยะห่างระหว่างบรรทัด ที่แท้เป็นหนังสือเก่าแก่ที่ตกทอดมาจากราชวงศ์ก่อน
จวนหลักแห่งนี้ ความสามารถช่างมากล้นเกินไปแล้ว!
นางกระซิบอยู่ในใจ รอจนกระทั่งซือเซียงฝนหมึกเสร็จแล้ว จึงจุ่มพู่กันแล้วเริ่มคัดพระธรรม
โจวเสาจิ่นนั้นเคยคัด ‘ศูรางคมสูตร’ มาก่อนแล้วในชาติก่อน จึงไม่เหมือนกับคนที่ไม่เคยหรือเพิ่งจะเคยคัดเป็นครั้งแรกที่ต้องหยุดพักเพื่ออ่านทำความเข้าใจไปด้วยขณะคัดลอก นางเห็นอักษรเพียงตัวเดียวก็สามารถคัดออกมาได้ทั้งประโยค ฉะนั้นจึงสามารถใส่เรี่ยวแรงทั้งหมดไปกับการเขียนตัวอักษร ไม่เพียงคัดลอกได้อย่างรวดเร็วและสวยงามเท่านั้น แต่ยังสามารถเข้าใจความลึกซึ้งและปรัชญาที่ซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัดในขณะที่คัดลอกพระธรรมไปด้วยได้
นางราวกับได้ย้อนกลับไปยังบ้านสวนที่ต้าซิ่งอีกครั้ง ไม่คิดถึงอะไร ไม่สนใจอะไร ปล่อยวางแล้วซึ่งทุกสิ่งบนโลกใบนี้ แล้วดำดิ่งอยู่กับความลึกซึ้งของธรรมะ
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนไปทางทิศตะวันตก ลำแสงในห้องพระค่อยๆ อับแสงลง
โจวเสาจิ่นที่ดำดิ่งอยู่กับการคัดลอกพระธรรมถึงได้ลุกขึ้นมา ยืดแขนเข้าออก แล้วสั่งการซือเซียงว่า “วันนี้พอแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้พวกเราค่อยมาใหม่”
ซือเซียงยิ้มพลางขานรับว่า “เจ้าค่ะ” เก็บโต๊ะหนังสือเรียบร้อย แล้วส่งเสี่ยวถานออกไป จากนั้นไปที่เรือนหลักกับโจวเสาจิ่น
บรรดาบ่าวรับใช้ของเรือนหลักต่างยืนกันอยู่ไกลๆ ที่ใต้ชายคาของห้องด้านข้างฝั่งตะวันออก มีเพียงเฝ่ยชุ่ยและปี้อวี้เท่านั้นที่กำลังรับใช้อยู่ที่หน้าประตูห้องโถง
โจวเสาจิ่นเองก็เคยเป็นนายหญิงของจวนมาก่อน เพียงแค่มองก็รู้ได้ว่าเป็นการที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีเรื่องต้องการจะคุยกับบ่าวรับใช้ข้างกาย
นางนึกถึงอู๋เซียนเซิงและถ้อยคำเพียงไม่กี่คำที่ตนเองไปได้ยินเข้า
หรือว่าเรื่องนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับนายท่านผู้เฒ่ารองและนายท่านใหญ่ที่อยู่ที่จิงเฉิง?
เพียงแต่ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นกำลังสนทนากับใครอยู่
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เฝ่ยชุ่ยก็เดินเข้ามาอย่างเบามือเบาเท้า ยิ้มพลางกล่าวเสียงเบาว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังสนทนากับพ่อบ้านใหญ่อยู่เจ้าค่ะ คุณหนูรองมาเพื่อจะกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่าใช่หรือไม่ เช่นนั้นท่านรอสักครู่ หรือไม่ก็ไปดื่มชาที่โถงรับแขกสักถ้วยดีหรือไม่เจ้าคะ”
หากว่าไปดื่มชาที่โถงรับแขกก็ต้องให้บ่าวไปรับใช้นางอีก การที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้บ่าวรับใช้ทั้งหมดยืนอยู่ที่ใต้ชายคาของห้องด้านข้างทางทิศตะวันออก ก็เพื่อไม่ให้บ่าวรับใช้เดินไปมาตามใจชอบแล้วไปได้ยินหรือได้เห็นในเรื่องที่ไม่สมควรเข้า
โจวเสาจิ่นไม่อยากสร้างความลำบากให้พวกนางอีก จึงยิ้มพลางกล่าว “คัดพระธรรมมาครึ่งค่อนวัน รู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวพอดี เช่นนั้นข้าเดินเล่นอยู่ใกล้ๆ แถวนี้ดีกว่า”
เฝ่ยชุ่ยแสดงความรู้สึกขอบคุณออกมาสายหนึ่ง
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางพยักหน้า พาซือเซียงเดินห่างออกไปจากเรือนหลัก
นางอยากจะกลับไปเร็วสักหน่อย อีกทั้งไม่อยากรออย่างโง่งมอยู่ในห้องพระ จึงปล่อยซือเซียงให้รออยู่ที่ข้างทางที่สามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวของเรือนหลักได้ “จงบอกข้าทันทีที่ฮูหยินผู้เฒ่าส่งแขกเรียบร้อยแล้ว”
ทั้งกลัวว่าเดี๋ยวซือเซียงจะหาตนเองไม่พบ โจวเสาจิ่นจึงไม่กล้าเดินไปไกล เพียงเดินไปมาอยู่ใกล้ๆ แถวนั้น
——
[1] ซู น้องสามี