ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 259 ลาจาก

ให้นางรั้งอยู่ที่ซอยจิ่วหรู ยังให้ย้ายมาอยู่ที่จวนหลัก ที่แท้เรื่องนี้ก็เป็นความคิดของท่านน้าฉือนี่เอง!

โจวเสาจิ่นมองเฉิงฉืออย่างตกตะลึง ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่ได้สติกลับมา

เฉิงฉือประหลาดใจยิ่งนัก

เขาคาดไม่ถึงว่าโจวเสาจิ่นจะปฏิเสธเรื่องนี้

มองจากมุมของเขาแล้ว นี่เป็นแผนที่ดีที่สุดแล้ว

ทั้งได้ช่วยเหลือตระกูลเฉิงอย่างที่โจวเสาจิ่นคาดหวังเอาไว้ และโจวเสาจิ่นก็ได้เป็นอิสระจากจวนสี่ ได้ใช้ชีวิตตามที่ตัวเองปรารถนา

แต่โจวเสาจิ่นไม่ได้กลัวว่าจะถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน

กว่าตระกูลเฉิงจะเกิดเรื่องขึ้นก็อีกสิบเอ็ดปีข้างหน้า ในเวลานั้นโจวเสาจิ่นก็แต่งงานออกไปแล้ว หญิงสาวที่แต่งงานออกไปแล้วย่อมไม่ถูกตัดสินว่ามีส่วนผิดด้วย ในเมื่อนางย้อนกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ย่อมต้องทราบเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว

ไม่อย่างนั้นนางเองก็คงจะไม่เล่าความลับของตัวเองให้เขาฟังเหมือนกัน

เช่นนั้นก็มีเพียงความเป็นไปได้เดียวแล้ว

นั่นก็คือนางไม่อยากพบหน้าเฉิงสวี่

เมื่อความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในหัว เฉิงฉือเม้มปากแน่นอย่างห้ามไม่อยู่

ตกลงว่าชาติก่อนเฉิงสวี่ทำเรื่องอะไรไว้กันแน่?

เขาควรจะเปิดเผยบาดแผลในใจนี้ของโจวเสาจิ่นหรือไม่

คนที่แน่วแน่มั่นคงมาโดยตลอดอย่างเฉิงฉือพลันลังเลตัดสินใจไม่ได้ขึ้นมา

โจวเสาจิ่นกลับก้มศีรษะลง กล่าวเสียงเบาว่า “ท่านน้าฉือ ข้าอยากตามมารดาเลี้ยงกลับไปที่เป่าติ้งเจ้าค่ะ หากท่านมีอะไรที่อยากถามข้า ก็ใช้เวลาช่วงที่ข้ายังอยู่ที่จินหลิงนี้สอบถามข้าก็ได้ หรือเขียนจดหมายไปหาข้าที่เป่าติ้งก็ได้ ข้าจะบอกทุกอย่างที่รู้อย่างแน่นอน ท่านวางใจได้เจ้าค่ะ!”

ขนตายาวของนางที่ประดับอยู่บนเปลือกตา ทิ้งเงารางๆ เอาไว้ ดูเชื่องว่าง่ายประหนึ่งลูกแกะน้อยตัวหนึ่ง

ทันใดนั้นเฉิงฉือพลันรู้สึกทนไม่ได้อยู่ในใจ

นี่เป็นเรื่องของตระกูลเฉิง สิ่งที่นางต้องทำนางก็ทำแล้ว สิ่งที่ไม่ต้องทำนางก็ทำแล้วเช่นกัน เขายังจะลากนางลงน้ำมาด้วยอีกทำไม?

และก็เป็นอย่างที่นางกล่าวมา ถ้าเขาอยากรู้อะไรเพิ่มจริงๆ อย่างมากก็เขียนจดหมายหรือไม่ก็ส่งคนไปถามนางได้ นางไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ที่จวนหลักก็ได้

เขาลดเสียงลงพลางกล่าว “เสาจิ่น เรื่องนี้เป็นน้าฉือเองที่พิจารณาได้ไม่รอบด้าน เจ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว เจ้าตามพี่สาวของเจ้ามาอยู่ที่ซอยจิ่วหรูนานหลายปีเพียงนี้ ก็คงจะคิดถึงบ้านเป็นอย่างมากแล้ว ตอนนี้พี่สาวของเจ้าออกเรือนไปแล้ว เจ้าก็ควรจะกลับไปอยู่กับบิดาของเจ้า ไปอยู่เป็นเพื่อนบิดาและมารดาเลี้ยงของเจ้าให้มากถึงจะถูก!”

โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้น มองเฉิงฉืออย่างประหลาดใจ

นางคิดว่าตัวเองอาจจะต้องใช้เวลาอย่างมากในการโน้มน้าวเฉิงฉือ กระทั่งอาจจะต้องเล่าประสบการณ์อันเลวร้ายบางส่วนของชาติก่อนให้ท่านน้าฉือฟัง ท่านน้าฉือถึงจะยอมให้นางตามมารดาเลี้ยงกลับไปที่เป่าติ้ง

“ท่าน…” นางมองเฉิงฉืออย่างฉงนสงสัย เสมือนกับว่าไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่อย่างไรอย่างนั้น

เฉิงฉือหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

เจ้าเด็กคนนี้ มันน่ายิ่งนัก โง่เขลาจนกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ ต้องอย่าปล่อยให้ผู้อื่นขายแล้วยังจะช่วยผู้อื่นนับเงินอีกสิถึงจะถูก

เขากล่าว “ข้าให้ซางมามากลับไปเมืองเป่าติ้งเป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน!”

“อะไรนะเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นกระพริบตาปริบๆ ถึงได้เข้าใจความหมายของเฉิงฉือ นางรีบโบกมือ พลางกล่าว “นี่จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ ซางมามาไปแล้ว ผู้ใดจะรับใช้ท่าน!” กล่าวถึงตรงนี้ นางก็คิดอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ กล่าวขึ้นอย่างร้อนรนว่า “ท่านน้าฉือ ฮูหยินผู้เฒ่าคงตอบตกลงให้ข้ามาอยู่ที่เรือนหานปี้ซานแล้วกระมัง หากข้าจากไปเช่นนี้ แล้วท่านจะอธิบายกับฮูหยินผู้เฒ่าว่าอย่างไรเจ้าคะ!”

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “เจ้าเพิ่งจะมากังวลเรื่องนี้เอาตอนนี้น่ะหรือ แล้วเมื่อกี้ทำอะไรลงไป”

โจวเสาจิ่นอดรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้

สิ่งที่ท่านน้าฉือทำล้วนเป็นผลดีต่อตัวนางทั้งสิ้น แต่เป็นปมในใจของนางเอง ก็เลยไม่อยากมาอาศัยอยู่ที่จวนหลัก

นางมองเฉิงฉืออย่างกระดากอาย นัยน์ตากระจ่างใสนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

เจ้าเด็กคนนี้ ดวงตาคู่นั้นประหนึ่งพูดได้ก็ไม่ปาน

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “เอาล่ะๆ เจ้าก็อย่าได้รู้สึกไม่ดีเลย เจ้ามิใช่พูดว่าเชื่อมั่นในตัวน้าฉือหรอกหรือ ในเมื่อข้าทำให้มารดายอมตกลงรับเลี้ยงดูเจ้าได้ ก็ทำให้ท่านอาสะใภ้สี่ยอมยกเลิกแผนการรับเจ้าเข้าจวนได้เช่นกัน เจ้าเพียงกลับไปรอข่าวที่บ้านให้สบายใจก็พอแล้ว”

จริงด้วย!

ท่านน้าฉือเก่งกาจที่สุด

เพียงไม่กี่ประโยคเขาก็ปกปิดเรื่องจากฮูหยินผู้เฒ่าได้ ชาติก่อนยังไปบุกลานประหารอีก แน่นอนว่าต้องมีวิธีทำให้ท่านยายยอมถอนคำพูดเป็นแน่

นางก็จะได้ตามมารดาเลี้ยงไปเมืองเป่าติ้งแล้ว

และนางก็จะได้หลีกหนีจากชะตาของชาติก่อนด้วยเช่นกัน

โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณเฉิงฉืออย่างลิงโลด ดวงหน้าที่งดงามนั้นยิ้มตาหยีจนโค้งมนคล้ายกับพระจันทร์เสี้ยว

ต้องดีใจมากถึงเพียงนั้นเลยหรือ

เฉิงฉือรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจ

เพียงปล่อยนางกลับไปเท่านั้น นางก็ดีใจจนเสมือนกับลูกนกที่ได้รับการปล่อยตัวออกจากกรงก็ไม่ปาน

เกรงว่าเรื่องราวคงจะร้ายแรงเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้เป็นแน่

แต่นางไม่พูด ผู้ใดก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่าสิ่งที่นางเคยพานพบมานั้นเป็นความเจ็บปวดประเภทใด

เขากล่าวขึ้นอย่างทนไม่ได้ว่า “เสาจิ่น เจ้าเคียดแค้นหรือไม่”

โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจ

เฉิงฉือกล่าว “เจ้ามองคนที่เคยทำร้ายเจ้าเหล่านั้นแล้ว เจ้าเคยเคียดแค้นหรือไม่”

โจวเสาจิ่นก้มหน้าลงเงียบๆ กล่าวเสียงเบาว่า “แน่นอนว่าต้องเคียดแค้นอยู่แล้วเจ้าค่ะ! บางครั้งยามที่ข้าเห็นพวกเขา ก็ปรารถนาให้พวกเขาไถลตกลงไปในทะเลสาบตอนที่ไปร่วมงานเลี้ยง ถูกทุกคนหัวเราะเยาะมองเป็นเรื่องขบขัน หรือไม่ก็อ้างอิงแหล่งที่มาผิดยามที่กำลังแสดงอยู่ต่อหน้าทุกคนด้วยความภาคภูมิใจ ให้ต้องขายหน้า ให้มีชื่อเสียงว่าเป็นผู้ไร้ความสามารถ…แต่ชาตินี้พวกเขายังไม่ได้รังแกข้า ข้าคงไม่อาจเอาความทรงจำของชาติที่แล้วมาล้างแค้นพวกเขาหรอกกระมัง บางครั้งยามข้าคิดถึงมัน ตัวเองก็จะรู้สึกเป็นทุกข์ รู้สึกชิงชัง…และยังรู้สึกโดดเดี่ยวยิ่งนักอีกด้วย ทว่าคนที่ถูกเคียดแค้นเหล่านั้นต่างไม่รู้เรื่อง มีแต่ข้าที่กัดฟันเคียดแค้นอยู่ตรงนั้นเพียงผู้เดียวเท่านั้น…” ขณะที่นางกล่าว นึกถึงว่าเรื่องราวเหล่านี้ล้วนผ่านพ้นไปแล้ว และนางก็ได้ตอบแทนหลินซื่อเซิ่งตามที่ปรารถนาแล้ว อีกทั้งยังได้โยนภาระเรื่องของตระกูลเฉิงให้ท่านน้าฉือไปแล้ว…นางจึงเงยหน้าขึ้นค่อยๆ เผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา “แต่ว่าตอนนี้ดีแล้ว ได้เล่าเรื่องเหล่านี้ให้ท่านน้าฉือฟัง ข้าสบายใจขึ้นมากแล้ว แล้วก็ไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวอีกแล้วเจ้าค่ะ”

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เฉิงฉือเข้าใจว่าเหตุใดผู้คนถึงได้ใช้คำที่ว่า ‘ราวกับใจถูกทิ่มแทงด้วยมีด’ ยามต้องการอธิบายถึงอาการเจ็บปวดใจ

เฉิงสวี่ทำใจทำร้ายโจวเสาจิ่นอย่างโหดเหี้ยมได้อย่างไร

เขายิ้มเย็นอยู่ในใจ

ดูทีแล้ว เขาคงต้องหันมาใส่ใจหลานชายผู้นี้ของตนสักหน่อยเสียแล้ว

มีเมฆครึ้มสายหนึ่งวาบผ่านดวงตาของเฉิงฉือ

โจวเสาจิ่นที่กำลังอารมณ์ดีมีความสุขกลับไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ นางยิ้มร่าพลางถามเฉิงฉือว่า “ท่านน้าฉือ ท่านมีอะไรอยากจะถามข้าหรือไม่เจ้าคะ”

เฉิงฉือไม่เข้าใจ

โจวเสาจิ่นจึงรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ ท่านมิใช่บอกว่ามีเรื่องจะถามข้าหรือเจ้าคะ ท่านมีเรื่องอะไรก็ถามข้าตอนนี้ได้เลยเจ้าค่ะ ข้าตอบตอนอยู่ต่อหน้าท่าน ย่อมชัดเจนและละเอียดกว่าเขียนจดหมายหรือไม่ก็ให้คนไปถามอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ!”

เฉิงฉือเห็นท่าทางอวดดีของผู้น้อยเช่นนั้นของนางแล้ว จึงกลั้นยิ้มเอาไว้แล้วถามขึ้นอย่างขึงขังว่า “เช่นนั้นเจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดตระกูลเฉิงถึงได้ถูกตรวจค้น”

ใบหน้าของโจวเสาจิ่นพลันขึ้นสีแดงเรื่อ พึมพำกล่าวว่า “เรื่องนี้…เรื่องนี้ไม่นับว่า…”

“เจ้ามิใช่บอกว่าถามต่อหน้าเจ้า เจ้าจะตอบได้ชัดเจนและละเอียดกว่าหรอกหรือ” เฉิงฉือกล่าวอย่างน่ายำเกรง

“ข้า…ข้า…ข้า…” โจวเสาจิ่นอึกๆ อักๆ ใบหน้าแดงประหนึ่งก้อนเมฆสีกุหลาบก็ไม่ปาน

“ล้อเจ้าเล่นเท่านั้น!” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ตอนนี้สมองของข้าไม่ค่อยแล่นนัก จึงยังไม่มีอะไรที่ต้องสอบถามเจ้าในเวลานี้”

โจวเสาจิ่นถอนใจอย่างโล่งอกไปครั้งหนึ่ง หันไปยิ้มให้เฉิงฉืออย่างขัดเขิน

เจ้าเด็กโง่ผู้นี้!

เฉิงฉือเองก็ยิ้มตามออกมาด้วย

รอยยิ้มของเขาอบอุ่น ทว่าก็มีการยับยั้งเอาไว้บ้าง ดูสุภาพอ่อนโยนและมีอัธยาศัยดี

ยามท่านน้าฉือยิ้มช่างน่าดูยิ่งนัก!

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดอย่างฉงนสงสัย ถามเฉิงฉือว่า “ท่านน้าฉือ ยามที่ท่านเดินทางผ่านเมืองเป่าติ้งจะมาเป็นแขกที่บ้านของพวกข้าได้หรือไม่เจ้าคะ” เสียงยังไม่ทันได้สิ้นสุดลง นางก็คิดได้ว่าประโยคนี้ของตนถามได้ค่อยดีนัก จึงรีบกล่าวขึ้นใหม่ว่า “หากท่านเดินทางผ่านเมืองเป่าติ้ง จะต้องมาเป็นแขกที่บ้านของพวกข้าให้ได้นะเจ้าคะ ถึงเวลานั้นข้าคงเรียนทำของว่างได้หลายอย่างแล้ว ท่านไปแล้วข้าจะทำให้ท่านรับประทานเจ้าค่ะ!”

เฉิงฉือพยักหน้า กล่าวยิ้มๆ ว่า “ถึงเวลานั้นข้าจะต้องไปเป็นแขกที่บ้านเจ้าอย่างแน่นอน!”

โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ยิ้มจนตาหยี

แค่นี้ก็ร่าเริงขึ้นมาได้แล้ว

เฉิงฉือส่ายศีรษะไม่หยุด

ทันใดนั้นโจวเสาจิ่นก็กระโดดตัวโหยงขึ้นมา กล่าวอย่างร้อนรนว่า “แย่แล้วๆ ตอนที่ข้ามายังไม่ได้ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเลยเจ้าค่ะ!”

เมื่อเห็นว่าใกล้เที่ยงแล้ว หากนางไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวในเวลานี้ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีข้อกังขาว่านางไปขอข้าวกิน

เฉิงฉือจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็ได้อยู่รับมื้อเที่ยงพอดี!”

“ท่านน้าฉือ!” โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโตมองเขา

เฉิงฉือหัวเราะเสียงดังลั่น

โจวเสาจิ่นรู้สึกหดหู่ยิ่งนัก

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “รีบไปเถิด! หากยังจะชักช้าอยู่อีก ก็คงจะต้องตรงไปนั่งที่โต๊ะอาหารเสียแล้ว”

โจวเสาจิ่นกระทืบเท้า แล้วรีบวิ่งไปที่เรือนหานปี้ซานอย่างรวดเร็วดุจควันสายหนึ่ง

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินข่าวแล้วว่าโจวเสาจิ่นเข้ามาที่จวน เนื่องจากไม่เห็นเงาของโจวเสาจิ่นสักที นางจึงเข้าใจว่าโจวเสาจิ่นคงถูกฮูหยินผู้เฒ่ากวนรั้งให้อยู่รับมื้อเที่ยงด้วย ดังนั้นตอนที่เห็นโจวเสาจิ่นนางจึงประหลาดใจเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “เจ้ารับมื้อเที่ยงมาแล้วหรือยัง”

โจวเสาจิ่นได้แต่ทำหน้าหนาตอบกลับไปว่า “ข้าอยากกินฟองเต้าม้วนยัดไส้ทอดที่ห้องครัวของท่านทำเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดีใจเป็นอย่างยิ่ง สั่งปี้อวี้ว่า “รีบไปบอกให้ในครัวทำฟองเต้ายัดไส้ทอดให้คุณหนูรองจานหนึ่ง” ถามนางอีกว่า “เจ้ายังอยากกินอะไรอีกหรือไม่”

โจวเสาจิ่นจะกล้าสั่งอาหารเพิ่มอีกได้อย่างไร ยิ้มพลางกล่าวอย่างออดอ้อนว่า “อาหารที่ห้องครัวของท่านทำมาข้าชอบกินจานนี้ที่สุดเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มร่า นั่งคุยกับนางอยู่บนตั่งหลัวฮั่น “ช่วงนี้อยู่บ้านทำอะไรบ้าง เหตุใดจู่ๆ ถึงเข้ามาที่ซอยจิ่วหรูได้ ฮูหยินอยู่บ้านสบายดีหรือไม่ เจ้าว่าพรุ่งนี้ข้าเชิญนางมากินข้าวด้วยนางจะมีเวลาหรือไม่”

ท่านน้าฉือบอกแล้วว่าเรื่องนี้ปล่อยให้เขาจัดการเอง นางก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็แล้วกัน

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เดิมทีคิดว่าจะทำงานเย็บปักอยู่ที่บ้าน ทว่าทำใจให้สงบลงไม่ได้เสียที จึงมาเยี่ยมท่านกับท่านยายเจ้าค่ะ ส่วนที่บ้านเดิมทีก็ไม่ได้เชิญแขกมากมาย จัดเก็บไม่กี่วัน ฮูหยินก็พอจะมีเวลาว่างแล้วเจ้าค่ะ ข้ากลับไปแล้วจะถามฮูหยินให้ท่าน ดูว่าพรุ่งนี้นางมีธุระอะไรหรือไม่!”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าไม่หยุด พลางกล่าว “เจ้าไปพบน้าฉือของเจ้าแล้วหรือยัง”

โจวเสาจิ่นนั้นขี้กลัว อีกทั้งไม่อยากจะโกหกฮูหยินผู้เฒ่ากัว จึงกล่าวว่า “ได้ยินว่าท่านน้าฉือมีแขก เห็นว่าเป็นอาจารย์จางของเขาหลงหู่เจ้าค่ะ!”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “อาจารย์จางมีชื่อเรียกว่าจางเฉิงอวี้ เป็นสหายสนิทของน้าฉือของเจ้า หลายปีแล้วที่เขาไม่ได้มาหา คงใกล้จะออกจากการฝึกตนแล้ว ก็เลยมาเยี่ยมน้าฉือของเจ้า เฉิงอวี้ชื่นชอบการดูดวงชะตา ส่วนน้าฉือของเจ้าชื่นชอบโหราศาสตร์ บางครั้งทั้งสองคนสนทนากันอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น ไม่หลับไม่นอนทั้งวันทั้งคืน”

โจวเสาจิ่นตะลึงงัน

อาจารย์จางยังไม่ไปอีกหรือ

เช่นนั้นท่านน้าฉือมาปรากฏตัวตรงที่พักของจี๋อิ๋งได้อย่างไร

โจวเสาจิ่นถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างลังเลว่า “อาจารย์จางจะอยู่ถึงเมื่อใดหรือเจ้าคะ”

นางอยากจะไปพบเฉิงฉือสักหน่อย

ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่ให้เฉิงฉือรู้ว่านางซาบซึ้งในน้ำใจของเขาก็ดีเหมือนกันนี่นา!

“น่าจะอยู่ถึงวันสรงน้ำพระพุทธเจ้าแล้วค่อยจากไปกระมัง” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวคาดการณ์ยิ้มๆ “มีปีหนึ่งที่บ้านของเขามีแขกมาพักอยู่ด้วย เขาจึงพักอยู่ที่บ้านของพวกข้าจนถึงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างแล้วค่อยจากไป”

ริมฝีปากของโจวเสาจิ่นประเดี๋ยวเปิดประเดี๋ยวปิด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา ประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวเดินไปที่ห้องรับรองซึ่งเป็นสถานที่ที่จัดโต๊ะอาหาร

แต่ใครจะรู้ว่าพวกนางเพิ่งจะนั่งลง เจินจูก็เข้ามารายงานว่า “อาจารย์จางมากล่าวอำลาท่านเจ้าค่ะ!”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตกใจเป็นการใหญ่ รีบกล่าวขึ้นว่า “เหตุใดถึงจะจากไปในเวลานี้เล่า แล้วรับมื้อเที่ยงเรียบร้อยหรือยัง”

เจินจูกล่าวยิ้มๆ ว่า “เห็นบอกว่าครั้งนี้อาจารย์จางออกมาท่องโลกหาประสบการณ์กับอาจารย์อาของเขา อย่างน้อยก็สามปี อย่างมากก็ห้าปีถึงจะได้กลับมา ดังนั้นก่อนไปจึงเข้าจวนมาเยี่ยมเยียนเป็นการเฉพาะ นายท่านสี่ได้จัดให้อาจารย์จางรับมื้อเที่ยงเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงได้วางใจลง บอกปี้อวี้ให้เชิญอาจารย์จางเข้ามา

โจวเสาจิ่นกลับครุ่นคิดอย่างฟุ้งซ่าน นางไปเป่าปิ้งในครั้งนี้ มิใช่ว่าก็จะไม่ได้พบท่านน้าฉืออีกหลายปีเลยหรอกหรือ!

…………………………………

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน
Status: Ongoing
ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset