ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 264 อนุมาน

ถึงว่าตอนนั้นท่านน้าฉือถามนางว่า ตอนนั้นข้ากำลังทำอะไรอยู่

เพราะว่าท่านน้าฉือไม่ใช่คนประเภทที่ชอบรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า!

โจวเสาจิ่นคว้ามือของเฉิงฉือเอาไว้ ร้องไห้โฮขึ้นมา “ท่านน้าฉือๆ…”

“เสาจิ่นๆ!” เฉิงฉือกล่าวเสียงขรึม ในน้ำเสียงแฝงความสุขุมที่บุรุษมักจะมีเอาไว้ “เจ้าอย่าร้องไห้! มีอะไรพวกเรามาพูดคุยกันดีๆ มีอะไรก็เก็บเอาไว้ในใจ คิดไปคิดมาซ้ำๆ อยู่เพียงผู้เดียว มีแต่จะนำไปสู่ทางตันเท่านั้น”

ทำไมโจวเสาจิ่นจะไม่เข้าใจ เพียงแต่พอนางคิดว่าพี่เขยที่ดีกับนางราวกับพี่น้องแท้ๆ อาจจะรับความช่วยเหลือมาจากตระกูลเฉิง กระทั่งอาจจะใช้ตัวเองเป็นข้อแลกเปลี่ยน และพี่สาวก็ไม่ทราบเรื่อง เพื่อให้มีบุตรชายให้พี่เขยแล้วยังขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์จนเหลือจะกล่าวนั้นแล้ว นางก็รู้สึกเสียใจประหนึ่งหัวใจถูกแทงด้วยมีดก็ไม่ปาน

“เอาล่ะๆ!” เฉิงฉือกระชับนางเอาไว้ในอ้อมกอด กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ไม่ร้องแล้ว มีอะไรก็บอกข้าดีๆ ข้าจะช่วยจัดการให้เจ้าเอง”

อ้อมกอดอบอุ่น กลิ่นของน้ำหอมดั่งที่ได้ยินมา และคำมั่นของเฉิงฉือ ทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกสงบขึ้น นางค่อยๆ หยุดร้องไห้ จับเสื้อของเฉิงฉือเอาไว้ เล่าเรื่องของเลี่ยวเส้าถังให้เฉิงฉือฟังอย่างระมัดระวัง

เฉิงฉือหัวเราะเบาๆ

เสียงหัวเราะนั้นดังลอดออกมาจากช่วงอก แก้วหูของโจวเสาจิ่นสั่นไหว ความรู้สึกนี้ทั้งแปลกใหม่ และยังทำให้ใจของนางเต้นตึกตักขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ ผ่านไปครู่ใหญ่กว่านางจะสงบลงมาได้ ยืนตัวตรงขึ้นอย่างประดักประเดิดเล็กน้อย

เฉิงฉือไม่ได้เก็บมาใส่ใจ

ไม่ว่าใครที่ร้องไห้อย่างเจ็บปวดเหมือนโจวเสาจิ่นเช่นนี้ หลังจบเรื่องย่อมรู้สึกกระดากอายอยู่บ้าง

เขาเพียงแต่ส่ายศีรษะอย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าจะให้ข้าว่ากล่าวเจ้าอย่างไรดี ข้าขอถามเจ้าสักหน่อย ตอนที่เจ้าแต่งงานผู้ใดเป็นพ่อสื่อให้เจ้า”

“พี่เขยเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นตอบอย่างไม่เข้าใจ

เฉิงฉือกล่าว “เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าอีก ตอนนั้นเจ้าอายุเท่าไร พี่เขยเจ้าอายุเท่าไร กำลังทำอะไรอยู่”

โจวเสาจิ่นตอบอย่างงงๆ ว่า “เวลานั้นข้าอายุสิบหกปี พี่เขย…ยี่สิบสามปี ยังเป็นเพียงซิ่วไฉผู้หนึ่ง เพิ่งไปถึงจิงเฉิงได้หนึ่งปี ศึกษาอยู่ที่สำนักศึกษาหลวง ยามปกติจะติดตามช่วยทำงานเอกสารต่างๆ ให้กับศิษย์พี่ที่เป็นขุนนางเส่าชิงประจำศาลต้าหลี่ผู้หนึ่งของเขา…”

เวลานั้น มีคนของตระกูลคัดค้านฐานะผู้สืบทอดตระกูลของพี่เขย วันเวลาของพี่เขยจึงผ่านไปอย่างยากลำบาก

หลังจากที่ช่วยให้นางได้หมั้นหมายกับหลินซื่อเซิ่งแล้ว นางไม่มีสินติดตัว ตอนที่พี่สาวเอ่ยขึ้นมาว่าจะแบ่งสินติดตัวของมารดาแท้ๆ ของตัวเองมาให้นางใช้ทำเป็นสินติดตัวนั้น พี่เขยยังช่วยพี่สาวปิดบังเรื่องนี้เอาไว้จากคนของตระกูลเลี่ยวอีกด้วย

นางยังจำได้ว่า ต่อมาเมื่อพี่เขยได้เป็นขุนนางแล้ว นำเงินเดือนมาใช้หนี้ตั้งนาน ต่อมาเป็นหลินซื่อเซิ่งที่ลากเขาไปทำการค้าด้วยครั้งหนึ่ง พี่เขยถึงได้ใช้หนี้เงินที่ยืมมาใช้สำหรับเป็นสินติดตัวให้นางตอนแต่งงานจนหมด

เฉิงฉือกล่าวต่อว่า “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่ได้บอกเจ้า แต่ข้าคิดว่าเจ้าพอจะทราบรางๆ อยู่ในใจบ้างแล้ว หากมิใช่เพราะพวกเจ้าอยากไปสักการะพระพุทธองค์ที่เขาผู่ถัว ฤดูใบไม้ร่วงของปีหน้าข้าก็คงจะไปจากตระกูลเฉิงแล้ว หากมิใช่หยุดพักที่กวนวั่ยที่ปกคลุมไปด้วยภูเขาน้ำแข็ง ก็คงหยุดพักที่ก่วงตงที่ที่อากาศประหนึ่งฤดูใบไม้ผลิทั้งสี่ฤดู อย่างน้อยก็อีกสามถึงสี่ปีถึงจะได้กลับมา แต่กลับมาแล้วก็ไม่น่าจะอยู่บ้านนาน เพียงมาเยี่ยมมารดาของข้าแล้วก็ไปเลย จากนั้นก็อาจจะกลับมาเยี่ยมมารดาของข้าบ้างทุกๆ สองสามปี…”

โจวเสาจิ่นพอจะเข้าใจบ้างแล้ว

นางกะพริบตา ในแววตาที่งงงวยเล็กน้อยนั้นค่อยๆ มีแววสุกใสขึ้นมา “ท่านจะบอกว่า ตอนแรกนั้นพี่เขยไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลเฉิงอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”

เฉิงฉือกล่าว “เรื่องของชาติก่อนนั้นข้าไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับมัน ข้าจึงไม่รู้ อย่างไรก็ตาม ด้วยคนอย่างมารดาของข้าแล้ว หากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นกับเจ้า นางไม่มีทางทนดูดายให้เจ้าจากไปเช่นนั้นได้ แต่ก็เป็นไปได้ว่าตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับเจ้านั้นตรงกับช่วงที่ข้าไปจากตระกูลเฉิงพอดี นางกำลังอยู่ในห้วงเสียใจ จึงไม่มีเรี่ยวแรงพอมาจัดการเรื่องพวกนี้” เขากล่าว แล้วก็หยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวอีกว่า “หากให้ข้ามาจัดการในตอนนี้ ถ้าเจ้ากับเฉิงเจียซ่านอยู่ด้วยกันไม่ได้จริงๆ สิ่งแรกที่ข้าคิดได้ก็อาจจะเป็นการชดเชยให้เจ้า ให้เจ้าได้มีกินมีใช้ไปตลอดชีวิต” แต่โจวเสาจิ่นยอมแต่งงานแบบหลอกๆ กับผู้อื่นมากกว่ายอมแต่งงานกับเฉิงสวี่ เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ในตอนนั้นรุนแรงไม่น้อย “หากเจ้าไม่ยอมรับไว้ ก็อาจจะนึกถึงบิดาของเจ้า แต่จากคำพูดของเจ้าแล้วฟังได้ความว่า ชาติก่อนเจ้าได้รับการปกป้องจากพี่เขยของเจ้าจริงๆ และพี่เขยของเจ้าก็อายุมากกว่าเจ้าเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น จึงสันนิษฐานได้ว่า หากเลือกพี่เขยของเจ้าเป็นที่กำบังให้เจ้า ย่อมเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดแล้ว”

คำพูดของเขาเป็นดังแสงแดดอบอุ่นลำแสงหนึ่งที่สาดส่องเข้ามาภายในจิตใจที่เงียบสงัดของโจวเสาจิ่น

ดวงตาของนางยิ่งอยู่ก็ยิ่งสว่างไสวแวววาวขึ้น

“ท่านน้าฉือ ท่านกล่าวได้ถูกต้อง!” นางกล่าวขึ้นอย่างตื้นตันใจเล็กน้อย “ต่อมาเมื่อตระกูลเฉิงล้มลง พี่เขยถึงกับยอมใช้ตำแหน่งผู้สืบทอดของตระกูลเลี่ยวมาเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับความปลอดภัยของพี่สาวและหลานชาย…เป็นข้าเองที่ประเมินน้ำใจของผู้สูงส่งด้วยจิตใจของผู้ต่ำต้อย เข้าใจพี่เขยผิดไป”

เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ พร้อมกับพยักหน้า

โจวเสาจิ่นดึงแขนเสื้อของเฉิงฉือเอาไว้อย่างอดไม่ได้ กล่าวอย่างขัดเขินเล็กน้อยว่า “ท่านน้าฉือ ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ! หากไม่ได้ท่าน ข้าต้องเข้าใจพี่เขยผิดไปแล้วแน่ๆ”

ความรู้สึกและความทรงจำดีๆ อันสวยงามในชาติก่อนเหล่านั้นก็อาจจะถูกทำลายไปในพริบตาด้วยเช่นเดียวกัน

เฉิงฉือมองท่าทางเสมือนเด็กน้อยของนางแล้ว ก็ยิ้มพลางลูบศีรษะนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงการสอนเอาไว้หลายส่วนว่า “ต่อไปหากพบเจอเรื่องเช่นนี้อีกก็ต้องคิดใคร่ครวญให้มาก อย่าเอาแต่ร้องไห้ การร้องไห้ช่วยแก้ปัญหาอะไรไม่ได้”

โจวเสาจิ่นหน้าแดงขณะพยักหน้า กล่าวขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “ท่านน้าฉือ ท่านว่า ชาติก่อนพี่เขยข้าจะรู้หรือไม่ว่าเขาได้รับความช่วยจากท่านหรือไม่ก็จากฮูหยินผู้เฒ่า”

เฉิงฉือกล่าว “ต่อให้เขารู้แล้วอย่างไร หรือไม่รู้แล้วอย่างไร การมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้คนไม่อาจมีแค่ขาวหรือดำเท่านั้น ยังมีเทาด้วย เขาให้ความช่วยเหลือเจ้าตอนที่เจ้ามีปัญหากับตระกูลเฉิง ตอนที่ตระกูลเฉิงล้มลงยังยืนอยู่ข้างเดียวกับพี่สาวและหลานชายของเจ้า นับว่าเป็นคนดีมีคุณธรรมผู้หนึ่ง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”

โจวเสาจิ่นถึงได้สลัดความคิดแย่ๆ ทิ้งไปได้จริงๆ ยิ้มสดใสขึ้นมา

เฉิงฉือโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “ข้าจะให้ซางมามายกน้ำเข้ามาช่วยล้างหน้าล้างตาให้เจ้าใหม่ หลังจากที่เจ้าไปคารวะมารดาของข้าเรียบร้อยแล้วก็กลับถนนผิงเฉียวเสีย รอให้ผ่านไปสักสองสามวันข้าจะส่งเจ้าไปเมืองเป่าติ้ง”

เหตุใดท่านน้าฉือยังต้องการจะส่งนางไปเมืองเป่าติ้งอยู่อีก?

โจวเสาจิ่นยู่ปากอย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่ไปเมืองเป่าติ้ง ข้าต้องการจะรั้งอยู่ที่ซอยจิ่วหรูเจ้าค่ะ” กล่าวถึงตรงนี้ นางนึกถึงเรื่องที่ตัวเองทำตอนที่เฉิงฉือไม่อยู่ รู้สึกภูมิใจขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ ท่านพ่อของข้าตอบจดหมายกลับมาแล้ว บอกให้ข้ารั้งอยู่ที่เรือนเจียซู่ ต่อให้ท่านอยากส่งข้าไปก็ไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ!”

“อย่างนั้นหรือ” เฉิงฉือย่นคิ้วขึ้น

โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตักอยู่ครู่หนึ่ง

“ท่านน้าฉือ ท่านจะทำแบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ!” นางกระโดดตัวโหยงขึ้นมา “เป็นท่านที่บอกว่าให้ข้ารั้งอยู่ที่ซอยจิ่วหรู ท่านพูดคำไหนไม่เป็นคำนั้น ข้าไม่สนแล้ว ข้าจะรั้งอยู่ที่ซอยจิ่วหรูต่อ หากท่านส่งข้าไปเมืองเป่าติ้ง ข้าจะ…ข้าจะไปบอกฮูหยินผู้เฒ่า บอกว่าท่าน…ว่าท่าน…”

นางอึกๆ อักๆ อยู่ครึ่งค่อนวัน ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาข่มขู่เฉิงฉือดี

เฉิงฉือหัวเราะ กล่าวขึ้นว่า “ข้าดูแล้วเจ้าก็มีความสามารถเพียงวิ่งไปฟ้องท่านแม่ของข้าเท่านั้น!”

พวงแก้มทั้งสองของโจวเสาจิ่นแดงก่ำ ทำหน้าหนากล่าวว่า “จะดีจะร้ายยังนับว่าเป็นความสามารถได้ก็ใช้ได้แล้วเจ้าค่ะ!”

เฉิงฉือหัวเราะดังลั่น

โจวเสาจิ่นจึงเขย่าแขนเสื้อของเขา ร้องเรียก “นะเจ้าคะท่านน้าฉือ…นะเจ้าคะ” ไม่หยุด

น้ำเสียงที่ทั้งอ่อนหวานและออดอ้อนนั้นไหลตรงเข้าไปในใจของเฉิงฉือไม่หยุด

เฉิงฉือได้แต่กล่าวขึ้นว่า “พี่ชายใหญ่ของข้าเขียนจดหมายมาให้ข้าฉบับหนึ่ง บอกว่ากลางเดือนหน้าเฉิงเจียซ่านก็จะกลับมาแล้ว เรื่องของเจ้า ข้าครุ่นคิดอย่างละเอียดดีแล้ว เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆ เสียแล้ว เฉิงเจียซ่านนั้นต่อให้จะเลวร้ายแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่เขาจะรังแกเจ้า…กลัวแต่ว่าจะชอบพอเจ้าจริงๆ ก็เลยตกหลุมพรางของคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”

ย้อนกลับมาอีกชาติ เฉิงเจียซ่านก็ยังคงตกหลุมรักเสาจิ่น

ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ยอมลดตัวลงไปวิ่งไล่ตามเสาจิ่น

เสาจิ่นเองก็ไม่อาจเอาแต่มุดหัวเพื่อหลบเลี่ยงเขาได้

“ช่วงนี้ข้าไม่ว่าง ข้ากลัวว่าข้าจะปกป้องเจ้าได้ไม่รอบด้าน จะเป็นการปล่อยให้ผู้อื่นมีโอกาสทำอะไรได้”

เขาสงสัยว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับเฉิงซวี่ผู้นำตระกูลจวนรอง

และด้วยตำแหน่งกับสถานะของเสาจิ่นก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

ถ้าเฉิงซวี่เป็นผู้ลงมือด้วยตัวเอง และเขาก็ไม่อาจอยู่บ้านได้ตลอดเวลา เสาจิ่นจะต้องถูกเอาเปรียบเหมือนกับชาติที่แล้วเป็นแน่

เพียงเฉิงฉือนึกถึงท่าทางของโจวเสาจิ่นที่ตอบเขาว่า ไม่เคียดแค้น ตอนนั้น ก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาแล้ว

“เจ้าจงเชื่อฟังและไปอยู่เป่าติ้ง แล้วข้า…” เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะโน้มน้าวนางอย่างไรดี ครุ่นคิดครู่ใหญ่ กล่าวขึ้นว่า “แล้วข้ารับปากว่าจะตามใจเจ้าหนึ่งเรื่องก็แล้วกัน”

คำพูดของเขาทำให้โจวเสาจิ่นนึกขึ้นได้

นางตาลุกวาว กล่าวขึ้นอย่างดีใจว่า “ท่านน้าฉือๆ ท่านลืมแล้วหรือเจ้าคะ ตอนที่ข้าบอกท่านเรื่องหวงหลี่จะช่วงชิงตำแหน่งเจ้ากรมพิธีการกับท่านลุงใหญ่จิงนั้น ท่านเคยพูดเอาไว้ว่า ท่านจะตามใจข้าหนึ่งเรื่อง ข้าไม่อยากได้อะไรอย่างอื่น ข้าอยากให้ท่านรับปากข้าว่าจะให้ข้ารั้งอยู่ที่ซอยจิ่วหรูต่อไปเจ้าค่ะ”

เฉิงฉือรู้สึกราวกับว่าศีรษะจะระเบิดออกมาได้ กล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้ไม่ได้! เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น!”

“ท่านน้าฉือไร้เหตุผล!” โจวเสาจิ่นเดินวนรอบตัวเขาพลางร้องเรียก “ท่านน้าฉือ” ไม่หยุด ยังใช้โอกาสนี้รับปากว่า “ข้าจะอยู่เฉพาะกับฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้น จะไม่ให้ห่างเลยแม้สักก้าวเดียว ใครมาข้าก็จะไม่สนใจเจ้าค่ะ”

เฉิงฉือหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ เอ่ยขึ้นว่า “ปี้อวี้ชวนเจ้าไปเล่นลูกขนไก่ที่สวนเจ้าก็จะไม่ไปอย่างนั้นหรือ”

โจวเสาจิ่นจึงพึมพำกล่าวเสียงเบาว่า “เฉิงสวี่สอบได้เจี้ยหยวน[1]แล้วถึงจะเกิดเรื่อง…ท่านมีธุระอะไร ถึงเดือนแปดแล้วก็ยังไม่เสร็จอีกหรือเจ้าคะ”

“เฉิงเจียซ่านจะได้เป็นเจี้ยหยวนหรือ” เฉิงฉือได้ยินแล้วใจเต้นระรัว เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้ากล้ารับประกันหรือไม่ว่าเรื่องเกิดหลังจากที่เฉิงเจียซ่านสอบได้เจี้ยหยวนแล้ว?”

หากเฉิงเจียซ่านสอบได้เจี้ยหยวน ด้วยนิสัยของเขาแล้ว เขาจะต้องทำอะไรด้วยความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น

ผ่านไปครู่หนึ่งโจวเสาจิ่นถึงได้เข้าใจว่าเขากำลังถามอะไรอยู่

“ชาติก่อนเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” นางพึมพำกล่าว “แต่ข้าไม่รู้ว่าชาตินี้จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่”

เฉิงฉือพลันกล่าวขึ้นว่า “หากเฉิงเจียซ่านสอบได้เจี้ยหยวน เช่นนั้นเจ้าก็รั้งอยู่ต่อได้”

โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโต

นางคิดว่าท่านน้าฉือจะบอกว่า หากเฉิงเจียซ่านสอบได้เจี้ยหยวน เช่นนั้นข้าจะส่งเจ้าไปเมืองเป่าติ้ง เสียอีก

เหตุใดเรื่องราวถึงไม่ตรงกับสิ่งที่นางคิดเลยแม้แต่นิดเดียว

นางถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “เพราะอะไรหรือเจ้าคะ”

เฉิงฉือชำเลืองมองนางครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “คราวก่อนพี่ชายใหญ่ของข้าถามถึงเรื่องงานแต่งของเจียซ่านขึ้นมา พี่สะใภ้ใหญ่ของข้าบอกว่า สาเหตุที่งานแต่งระหว่างตระกูลเฉิงและตระกูลหมิ่นเลื่อนออกไปเรื่อยๆ ก็เพื่อให้เจียซ่านมีใจจดจ่ออยู่กับการอ่านหนังสือตำรา เมื่อก่อนข้ายังไม่ค่อยเข้าใจที่มาของคำว่า ‘ใจจดจ่อ’ สองคำนี้สักเท่าไร ในที่สุดตอนนี้ก็ได้เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว เจียซ่านคงจะเข้าใจว่าเมื่อสอบได้เจี้ยหยวนแล้วจะได้ไปสู่ขอเจ้า แต่พี่สะใภ้ใหญ่ของข้ากับตระกูลหมิ่นได้ตกลงกันเอาไว้ตั้งนานแล้ว จึงไม่อาจให้เจียซ่านหมั้นหมายได้แล้ว…”

ด้วยเหตุนี้หลังจากที่เจียซ่านสอบได้เจี้ยหยวนแล้ว ตอนที่แจ่มแจ้งว่าคนที่เขาต้องแต่งงานด้วยคือหญิงสาวจากตระกูลหมิ่น ถึงได้ไม่คำนึงถึงสิ่งใดอีก ใช้โอกาสดังกล่าวผลักเรือให้ล่องไปตามน้ำให้ตนได้สมปรารถนา

ในที่สุดเฉิงฉือก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย

อย่างน้อยเฉิงเจียซ่านก็ยังไม่ได้เลวร้ายจนถึงที่สุด ไม่ได้เลวจนถึงขั้นที่แก้ไขอะไรไม่ได้

โจวเสาจิ่นเองก็เข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย

นางถามเฉิงฉืออย่างร้อนใจว่า “เช่นนั้น…เช่นนั้นท่านตั้งใจจะทำอย่างไรเจ้าคะ ข้า…ข้าไม่อยากแต่งให้เฉิงสวี่!”

……………………………………………………………….

[1] เจี้ยหยวน ผู้ที่สอบผ่านการสอบขุนนางช่วงสารทฤดูเป็นลำดับที่หนึ่ง

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน
Status: Ongoing
ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset