ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 271 รับช่วงต่อ

สุดท้ายเฉิงเวิ่นสองสามีภรรยาก็ถูกฉินจื่ออันออกหน้ามา ‘ส่ง’ ทั้งสองคนกลับจวนห้าไป

แต่เมื่อเรื่องวุ่นวายครั้งนี้ผ่านไป จากจวนห้าผ่านจวนสี่จนถึงจวนหลักอีกครั้ง ทั้งซอยจิ่วหรูจึงไม่มีใครที่ไม่ทราบเรื่องนี้

เฉิงซวี่ท่านผู้นำตระกูลจวนรองออกหน้าเรียกเฉิงเวิ่นไปตำหนิครั้งหนึ่ง ส่วนฮูหยินใหญ่เวิ่นก็ไม่ได้ถูกปล่อยไป ถูกส่งตัวมาที่เรือนหานปี้ซาน ตามเจตนาของเฉิงซวี่ก็คือ ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอา ‘บัญญัติสอนหญิง’ ออกมาอ่านให้ฮูหยินใหญ่เวิ่นฟังสองรอบ

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวแสยะยิ้มเย็น ให้ฮูหยินใหญ่เวิ่นคุกเข่าอยู่ตรงโถงทางเดิน สั่งให้เฝ่ยชุ่ยไปหยิบ ‘บัญญัติสอนหญิง’ เล่มนั้นมาอ่านให้นางฟังสองรอบ

ไม่ว่าอย่างไรฮูหยินใหญ่เวิ่นก็เป็นเจ้านาย ไหนเลยจะถึงคราวของนางที่เป็นเพียงบ่าวไร้ค่าผู้หนึ่งกัน

เฝ่ยชุ่ยตกใจจนหน้าถอดสี ดวงตาฉายแววอ้อนวอนนั้นร่วงไปอยู่บนร่างของโจวเสาจิ่น อยากจะให้โจวเสาจิ่นช่วยพูดให้นางต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวสักประโยค

ปี้อวี้มีสายตาแหลมคม เห็นแล้วลอบด่าเฝ่ยชุ่ยในใจเสียงหนึ่งว่า เลอะเลือน ครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้ รีบก้าวออกไปบังสายตาของนางเอาไว้ กล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างนอบน้อมว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านว่า ควรจะยกม้านั่งมาให้ฮูหยินใหญ่เวิ่นสักตัวดีหรือไม่เจ้าคะ แม้นจะกล่าวว่าพระอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิจะไม่แผดเผาผู้คน แต่เมื่อฉายกระทบลงบนใบหน้าแล้วก็ง่ายที่จะเกิดฝ้ากระได้…”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่มีความคิดจะยกโทษให้ฮูหยินใหญ่เวิ่นเลยแม้แต่นิดเดียวอยู่แล้ว ไม่รอให้ปี้อวี้กล่าวจบ ก็เอ่ยขึ้นก่อนว่า “ก็ให้นางคุกเข่าฟังไปเช่นนั้น แม้แต่บ่าวสูงวัยของข้านางยังกล้าตี หากข้าไม่สั่งสอนนางสักหน่อย เกรงว่านางคงไม่รู้แล้วว่าตัวเองชื่อแซ่อะไร!”

ปี้อวี้ถือโอกาสนี้หยิกเฝ่ยชุ่ย กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นข้ากับเฝ่ยชุ่ยออกไปก่อนนะเจ้าคะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า สีหน้าสงบลงเล็กน้อย

โจวเสาจิ่นเอ่ยเกลี้ยกล่อมนางเสียงนุ่มว่า “ท่านป้าใหญ่เวิ่นเป็นคนอารมณ์ร้อนหุนหันพลันแล่นผู้หนึ่ง คนในซอยจิ่วหรูต่างทราบกันดี หากท่านโกรธนางจนทำลายสุขภาพของตัวเองเช่นนั้นจะไม่คุ้มค่าเลยเจ้าค่ะ ไม่แน่ว่าท่านป้าใหญ่เวิ่นอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านกำลังโกรธอยู่!”

“ด้วยเหตุนี้ข้าก็เลยคร้านที่จะคุยกับนางให้มากความอีก” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นนางอ่อนโยนและว่าง่าย ความกรุ่นโกรธก็ทุเลาลง กล่าวขึ้นว่า “เพียงสั่งสอนนางสักหน่อยเท่านั้น”

แต่ก็หยาบกระด้างมากเกินไปแล้ว

นี่ต่อไปจะให้ฮูหยินใหญ่เวิ่นมีหน้ามาที่จวนหลักอีกได้อย่างไร

อย่างไรก็ตาม ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นเจตนาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เป็นได้

โจวเสาจิ่นครุ่นคิด ขณะปอกลูกสาลี่ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลูกหนึ่ง

ทางด้านของปี้อวี้เมื่อออกมาจากห้องโถงแล้วก็กระซิบข้างหูเฝ่ยชุ่ยว่า “ไม่ว่าเจ้ามีเรื่องอะไรก็ห้ามลากคุณหนูรองลงน้ำไปด้วยเป็นอันขาด เมื่อวานเจ้าไม่เห็นหรือฮูหยินใหญ่เวิ่นเพียงดึงคุณหนูรองมาเกี่ยวข้องด้วยประโยคเดียว ฮูหยินผู้เฒ่าก็สั่งขายมามาข้างกายฮูหยินใหญ่เวิ่นผู้นั้นพร้อมด้วยครอบครัวของนางทั้งหมดแล้ว นั่นก็เพราะว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่ชอบที่มีคนคิดจะใช้ประโยชน์จากคุณหนูรอง”

เฝ่ยชุ่ยเองก็พอจะรู้สึกได้อยู่รางๆ เหมือนกัน แต่นางรู้สึกว่าโจวเสาจิ่นเป็นคนจิตใจดีอ่อนโยนผู้หนึ่ง หากเสนอตัวช่วยเหลือนาง ฮูหยินผู้เฒ่าก็น่าจะไม่ว่าอะไร

ตอนนี้กลับทำได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น

แต่ไหนแต่ไรมาปี้อวี้เข้ากับคนได้เก่งกว่านาง หากแม้แต่ปี้อวี้ยังดูออก แล้วก็ยังนำความมาเผยให้นางรู้แล้ว ถ้านางยังจะขอโจวเสาจิ่นให้ช่วยอีก ปี้อวี้ต้องเข้าใจว่านางมีเจตนาอื่น แล้วก็คงจะไม่ช่วยเหลือนางอีกเป็นแน่

“เช่น…เช่นนั้นจะให้ข้าอ่าน ‘บัญญัติสอนหญิง’ ให้ฮูหยินใหญ่เวิ่นฟังเช่นนี้น่ะหรือ” เฝ่ยชุ่ยคิดๆ แล้วน่องขาก็สั่นเล็กน้อย

ปี้อวี้กล่าวอย่างไม่ชอบใจว่า “เจ้าจะกลัวอะไร! ในเมื่อเป็นคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่า หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นฮูหยินผู้เฒ่าจะผลักเจ้าออกมาหรืออย่างไร เจ้าดูแม่นางจี๋อิ๋ง ตีคุณชายรองอี้แล้วก็เหมือนกับไม่ได้ตี ถึงแม้จะบอกว่านายหญิงผู้เฒ่าของจวนสี่เป็นคนเที่ยงธรรม แต่สุดท้ายก็เป็นหลานชายของตัวเอง จะไม่โกรธแม้แต่นิดเดียวได้จริงๆ หรือ กล่าวไปกล่าวมาแล้ว ก็เพราะนายท่านสี่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ และจวนสี่เองก็ไม่อยากทำให้กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตให้ผู้อื่นขำขันเห็นเป็นเรื่องตลก เจ้าเพียงไปอ่าน ‘บัญญัติสอนหญิง’ ของเจ้าอย่างวางใจก็พอ”

เฝ่ยชุ่ยพึมพำกล่าวอย่างอดไม่ได้ว่า “หากรู้เช่นนี้แต่เนิ่นๆ เริ่มแรกข้าก็คงจะไม่ตั้งใจเรียนเขียนอ่านอย่างหนักกับพวกพี่สาวแล้ว”

ปี้อวี้ปิดปากหัวเราะ

เฝ่ยชุ่ยกลับถอดใจ ตัดสินใจว่าประเดี๋ยวจะไปปรึกษาสื่อมามาเรื่องแต่งงานออกไปให้เร็วขึ้นสักหน่อย

ฮูหยินใหญ่เห็นเฝ่ยชุ่ยถือ ‘บัญญัติสอนหญิง’ เดินเข้ามาเพียงผู้เดียว นางจึงยังพอมีหวังในโชคอยู่หลายส่วน รอจนกระทั่งเฝ่ยชุ่ยบอกจุดประสงค์การมาอย่างชัดเจน และเริ่มอ่าน ‘บัญญัติสอนหญิง’ นางก็โกรธจนเป็นลมล้มพับลงไปในทันที

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้คนใช้เกี้ยวแบบนุ่มนำตัวฮูหยินใหญ่เวิ่นส่งไปให้นายหญิงผู้เฒ่าถังที่จวนรอง บอกว่า “หลานสะใภ้อี๋ก็มาจากตระกูลบัณฑิต เช่นนั้นก็ให้นางช่วยอ่าน ‘บัญญัติสอนหญิง’ นี้ให้หลานสะใภ้เวิ่นฟังก็แล้วกัน”

นายหญิงผู้เฒ่าถังมองฮูหยินใหญ่เวิ่นที่เป็นลมล้มพับไปแล้วอย่างไม่มีทางเลือก ได้แต่นำตัวคนไปพักที่ห้องรับรองแขก

จนกระทั่งฮูหยินใหญ่เวิ่นฟื้นขึ้นมา ก็สะอื้นไห้พร้อมกับพร่ำบ่นไปด้วยว่า “…เป็นเพียงคุณหนูที่มาอาศัยอยู่ใต้ชายคาผู้อื่นคนหนึ่งเท่านั้น แล้วข้าก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไรเลย มันคุ้มค่ากับการเอาตัวมามาข้างกายของข้าขายออกไปแล้วหรือ ข้านับถือนางเป็นดังผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านจึงไม่พูดอะไรเลยแม้สักประโยค แต่นางก็ดี กลับให้บ่าวสาวมาอ่าน ‘บัญญัติสอนหญิง’ ให้ข้าฟัง เวลานั้นข้ายังคุกเข่าอยู่ใต้โถงทางเดินอยู่เลยเจ้าค่ะ! นางไม่ได้มองว่าข้าเป็นหลานสะใภ้เลยสักนิด!”

ไม่ได้มองว่านางเป็นหลานสะใภ้เลยสักนิด

คำพูดประโยคนี้สะกิดใจนายหญิงผู้เฒ่าถัง

นายหญิงผู้เฒ่าถังกล่าวขึ้นว่า “นิสัยของป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าก็เป็นอย่างนั้น มิใช่ว่าเจ้าไม่รู้ เจ้าจะไปรบกวนนางทำไม ยังทำร้ายบ่าวสูงวัยคนเฝ้าประตูของนางจนบาดเจ็บอีก ครั้งนี้ย่อมเป็นเจ้าที่ทำไม่ถูก เจ้ายังกล้ามาพูดจาเลื่อนเปื้อนต่อหน้าข้าอีก ไม่ต้องพูดถึงเจ้า แม้แต่ข้า ยามเผชิญหน้ากับสะใภ้ร่วมบ้านผู้นี้ ไม่ว่าจะพูดหรือกระทำอะไรก็ต้องยอมลงให้หลายส่วนเหมือนกัน เจ้าก็อย่าขุ่นเคืองอีกเลย โกรธไปก็ทำลายตัวเองทั้งนั้น!” ขณะที่กล่าวก็ยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งไปให้นางเช็ดน้ำตา ยังปรารถนาจะว่ากล่าวนางอีกสักสองสามประโยค แต่ใครจะรู้ว่าเฉิงอวี่มาคารวะนางหลังเลิกเรียน นายหญิงผู้เฒ่าถังจึงได้แต่กล่าวปลอบโยนนางไม่กี่ประโยค แล้วกลับไปที่เรือนหลัก

ปีนี้เฉิงอวี่อายุสิบเจ็ดปี ปีเดียวกันกับเฉิงอี้ของจวนสี่ ทว่าอ่อนกว่าเฉิงนั่วของจวนห้าหนึ่งปี รูปร่างหน้าตาหล่อเหลางามสง่าประหนึ่งดอกกล้วยไม้และต้นอวี้ซู่[1] โดยเฉพาะดวงตาเฉี่ยวของนกตันเฟิ่ง[2]คู่นั้น เหมือนกันกับของนายหญิงผู้เฒ่าถังราวกับถอดแบบกันมาไม่มีผิด ทำให้นายหญิงผู้เฒ่าถังเห็นแล้วโปรดปรานยิ่งนัก บวกกับที่เฉิงอวี่เป็นหลานชายคนเล็ก ไม่ต้องรับผิดชอบกิจการงานของครอบครัว นายหญิงผู้เฒ่าถังตามใจเขาก็ไม่มีอะไรให้น่าหนักใจ ด้วยเหตุนี้ยามพูดอะไรต่อหน้านายหญิงผู้เฒ่าถังจึงได้ผลชะงัดมากกว่าใครๆ เลี้ยงดูจนเขากลายเป็นคนที่มีนิสัยค่อนข้างเอาแต่ใจและอ่อนต่อโลกไปเสีย

เขายิ้มขณะก้าวออกมาทำความเคารพนายหญิงผู้เฒ่าถัง จากนั้นก็ไปติดหนึบอยู่หลังนายหญิงผู้เฒ่าถัง ถามถึงเรื่องของจวนห้าขึ้นมา “…ได้ยินมาว่าท่านย่าของจวนหลักให้สาวใช้ผู้หนึ่งอ่าน ‘บัญญัติสอนหญิง’ ให้ท่านอาสะใภ้เวิ่นห้าฟัง เป็นเรื่องจริงหรือขอรับ ท่านอาสะใภ้เวิ่นห้าช่างน่าสงสารยิ่ง ข้าได้ยินแล้วยังโกรธเป็นอย่างมากเลย แต่พี่ชายนั่วกลับเสมือนกับคนที่ไม่เป็นอะไร พูดอะไรทำนองว่าถึงแม้เขาจะไม่อยากแต่งกับหลานสาวของสตรีที่อยู่ข้างนอกผู้นั้น แต่ก็ไม่อยากแต่งกับญาติผู้น้องของเขาเหมือนกัน เห็นว่าญาติผู้น้องของเขากับท่านอาสะใภ้เวิ่นห้าหน้าตาเหมือนกันราวกับเป็นแม่ลูกกันก็ไม่ปาน เขาเห็นแล้วก็ขยาดยิ่งนัก!”

นายหญิงผู้เฒ่าถังตีเฉิงอวี่ครั้งหนึ่งด้วยอาการหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “พูดจาไร้สาระ! หน้าตาเหมือนกันราวกับเป็นแม่ลูกกันก็ไม่ปานอะไรกัน เจ้ารู้เอาไว้ ต่อไปห้ามพูดจาเช่นนี้อีก”

เฉิงอวี่หัวเราะร่า

นายหญิงผู้เฒ่าถังสะดุดใจ

จวนรองเองก็กำลังเป็นกังวลเกี่ยวเรื่องงานแต่งของเฉิงอวี่เช่นกัน ปีนี้เฉิงนั่วผู้นั้นก็อายุสิบแปดปีแล้ว ถ้ามิใช่เพราะเฉิงเวิ่นสองสามีภรรยาสามวันทะเลากันสองวันงอนกันล่ะก็ เฉิงนั่วคงได้หมั้นหมายไปนานแล้ว…

นางไล่เฉิงอวี่กลับไป เรียกเจิ้นซื่อผู้เป็นหลานสะใภ้ใหญ่สือเข้ามา เอ่ยขึ้นว่า “ข้าอยากจะเป็นแม่สื่อให้นั่วเกอเอ๋อร์ของจวนห้า บ้านเดิมของเจ้ามีใครที่เหมาะสมกับเขาบ้างหรือไม่”

สะใภ้ใหญ่สืองงงันเล็กน้อยไปชั่วขณะหนึ่ง

นายหญิงผู้เฒ่าถังจึงกล่าวขึ้นว่า “ถึงแม้จวนห้าจะอ่อนแอ แต่สุดท้ายก็ยังถือว่าเป็นสายหลัก นั่วเกอเอ๋อร์เป็นคนหัวอ่อนและอ่อนแอ หากบ้านเดิมของเจ้ามีหญิงสาวที่มีความรู้ความสามารถ พวกเราไม่สู้เป็นแม่สื่อให้นั่วเกอเอ๋อร์สักครั้งหนึ่ง ต่อไปมีเรื่องอะไร จวนรองกับจวนห้าก็ได้ร่วมแรงร่วมใจกัน ก็นับเป็นเรื่องที่ดี”

มีความรู้ความสามารถที่ว่า หมายถึงคนที่ควบคุมเฉิงนั่วได้อยู่หมัด

สะใภ้ใหญ่สือพลันเข้าใจขึ้นมา นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เนื่องจากช่วงนี้ยุ่งๆ อยู่กับการมองหาคู่ครองให้น้องรอง จึงยังไม่ได้สำรวจหญิงสาวที่บ้านเดิมของตัวเอง ประเดี๋ยวข้าจะกลับไปสืบดูให้ละเอียดอีกทีเจ้าค่ะ”

นายหญิงผู้เฒ่าถังพยักหน้าอย่างพึงพอใจ หลังจากส่งหลานสะใภ้คนโตออกไปแล้ว นั่งครุ่นคิดอยู่ภายในห้องเพียงลำพังไปครู่หนึ่ง จากนั้นตะโกนเรียกมามาข้างกายเข้ามา เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไปเชิญอนุเหลียงมา บอกว่าข้าเชิญนางมาดื่มน้ำชา”

เฉิงซวี่ผู้เป็นพ่อสามีเป็นพ่อหม้าย ส่วนนางก็เป็นแม่หม้าย ถึงแม้จะมีอายุกันแล้ว แต่ไปๆ มาๆ ก็ไม่สะดวกนัก เวลามีเรื่องอะไร ส่วนมากจึงให้เหลียงซื่อผู้เป็นอนุของเฉิงซวี่เป็นคนนำความไปแจ้งให้

ไม่นานอนุเหลียงก็เข้ามา

นายหญิงผู้เฒ่าถังให้นางไปบอกเฉิงซวี่ว่า “ทุกวันนี้จวนห้าวุ่นวายยิ่งนัก มีแต่ทำให้นั่วเกอเอ๋อร์ต้องลำบาก ข้าเห็นว่าไม่สู้ให้นั่วเกอเอ๋อร์มาอยู่กับพวกเราที่นี่สักระยะหนึ่ง หาคู่ครองที่ดีสักหน่อยให้เขา ต่อไปมีเรื่องอะไรก็จะได้ไปมาหาสู่กันได้ง่าย”

เฉิงซวี่เข้าใจความหมายของนางได้ในทันที

ถึงแม้จะรู้สึกว่าการดึงเฉิงนั่วมาจะไม่ได้ประโยชน์อะไรมากนัก แต่ก็ไม่มีอะไรเสียหายเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นความตั้งใจของบุตรสะใภ้ ก็เลยพยักหน้าตกลง

นายหญิงผู้เฒ่าถังจึงนำเอาคำพูดของเฉิงนั่วประโยคนั้นไปเล่าให้ฮูหยินใหญ่เวิ่นฟัง “…บอกว่าญาติผู้น้องกับเจ้าหน้าตาเหมือนกัน เห็นญาติผู้น้องก็เหมือนกับมองเห็นเจ้า ในใจรู้สึกเคารพนับถือยิ่งนัก”

ตอนแรกฮูหยินใหญ่เวิ่นยังไม่เข้าใจความหมายของคำพูดดังกล่าว กระทั่งคิดจนเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วดวงหน้าพลันแดงก่ำ คำพูดล้วนกล่าวอย่างอึกๆ อักๆ ขึ้นมา “ข้า…ข้าเองก็คิดไม่ถึง…ท่านว่า เรื่องนี้ควรจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ อย่างไรก็ตามข้าไม่ยอมให้เขาเอาหลานสาวของสตรีที่อยู่ข้างนอกผู้นั้นเข้ามาเป็นอันขาด เช่นนั้นข้าจะกลายเป็นตัวอะไรไปแล้ว” กล่าวถึงประโยคสุดท้าย เสียงที่นางกล่าวก็ดุดันขึ้นมา

นายหญิงผู้เฒ่าถังพึมพำกล่าว “เจ้าว่าเช่นนี้ดีหรือไม่ ข้าให้สะใภ้ของสือเกอเอ๋อร์ช่วยดูให้เจ้า ช่วงนี้นางกำลังช่วยหาคู่ครองให้อวี่เกอเอ๋อร์อยู่เช่นกัน”

ฮูหยินใหญ่เวิ่นยังไม่ค่อยวางใจนัก

นายหญิงผู้เฒ่าถังกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องแต่งงานของนั่วเกอเอ๋อร์ก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้าเพียงคนเดียว เจ้ากลับไปหารือกับหลานเวิ่นดีๆ ก่อนก็ยังไม่สาย”

หารือกับเฉิงเวิ่น!

ฮูหยินใหญ่เวิ่นกัดฟันกรอด ทว่ารู้ดีว่าที่นายหญิงผู้เฒ่าถังพูดมาก็เป็นความจริง

เดิมทีนางคิดว่าจะไปสู่ขอหลานสาวที่บ้านเดิมลับหลังเฉิงเวิ่น ขอเพียงใช้ชื่อเสียงหน้าตาของตระกูลเฉิงเป็นเดิมพัน ถึงแม้ในใจจะไม่ชอบแต่ก็คงต้องยอมรับ มาวันนี้เรื่องราวถูกเปิดเผยออกมาแล้ว นางคงจะไปสู่ขอให้เฉิงนั่วอย่างลับๆ ไม่ได้อีกแล้ว

กลัวก็แต่ว่าคนที่สะใภ้ใหญ่สือแนะนำให้นั่วเกอเอ๋อร์จะเป็นคนที่อวี่เกอเอ๋อร์ไม่ต้องการแล้ว

นางกล่าวขึ้นอย่างอึดอัดว่า “เช่นนั้นข้าจะกลับไปหารือกับนายท่านใหญ่แล้วค่อยว่ากันอีกทีนะเจ้าคะ”

นายหญิงผู้เฒ่าถังแสยะยิ้มอย่างดูถูกอยู่ในใจ ทว่าบนใบหน้ากลับไม่เผยภูเขาหรือแม่น้ำออกมาให้เห็นขณะให้คนส่งฮูหยินใหญ่เวิ่นกลับออกไป

ทว่าสะใภ้ใหญ่สือที่กำลังกล่อมบุตรชายเล็กนอนอยู่นั้นกลับลำบากใจยิ่งนัก

จวนห้านั้นจะว่าสูงก็ไม่สูงต่ำก็ไม่ต่ำ งานแต่งเช่นนี้หายากที่สุด

ถึงแม้บ้านเดิมของนางจะมีน้องสาวจากสายรองอยู่หลายคน แต่หากบอกว่าอยากได้คนที่มีความคิดความอ่านตั้งแต่อายุยังน้อยๆ นั้น กลับไม่มีเลยสักคน

ถ้าหากควบคุมเฉิงนั่วไม่ได้ การแต่งงานในครั้งนี้ก็คงจะสูญเปล่าเสียแล้ว

ช่วงนี้สะใภ้ใหญ่สือเป็นกังวลเกี่ยวกับการมองหาคู่ครองให้เฉิงอวี่จนหัวฟูไปหมด

หงหรุ่ยสาวใช้ข้างกายของนางยกรังนกเข้ามาชามหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “สะใภ้ใหญ่ ท่านอย่าคิดมากอีกเลย คุณชายใหญ่กลับมาเห็นแล้วจะปวดใจเอาได้นะเจ้าคะ”

สะใภ้ใหญ่สือหน้าขึ้นสีแดงเรื่อ

เฉิงสือจะกลับมาพร้อมกับเฉิงสวี่

………………………………………………………………..

[1] ต้นอวี้ซู่ ต้นยูคาลิปตัส

[2] นกตันเฟิ่ง นกฟีนิกซ์สีแดง

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน
Status: Ongoing
ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset