ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 273 ผิดหวัง

“จริงหรือ” ไม่ว่าจะคิดอย่างไรหงซื่อผู้เป็นฮูหยินใหญ่อี๋ก็ยังคงรู้สึกว่าแปลกๆ อยู่เล็กน้อย แต่คำพูดของลูกสะใภ้ก็มีเหตุผล นางจึงหาความผิดอะไรไม่เจอ

สะใภ้ใหญ่สือทราบดีว่า แม่สามีของตัวเองผู้นี้จิตใจดี อีกทั้งยังอ่อนโยนต่อผู้อื่น มีบางเรื่องจึงไม่อาจคิดได้อย่างทะลุปรุโปร่งได้ขนาดนั้น เห็นสีหน้าของนางเผยความงุนงงออกมา ก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “ตอนที่พูดถึงเรื่องนี้นั้น ท่านย่าก็อยู่ด้วย ในบรรดาตัวเลือกทั้งสามนั้นนางเลือกคุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ อาสะใภ้ห้าก็เห็นด้วย ส่วนทางด้านตระกูลอู๋นั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ได้ยินแม่สื่อบอกว่า ฮูหยินอู๋ตอบตกลงโดยไม่ถามอะไรสักอย่าง ท่านอย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะ อย่างที่เขากล่าวกันว่า คนใหม่แต่งเข้าประตู ส่วนแม่สื่อถูกทิ้งเอาไว้หลังกำแพง พวกเราก็เพียงช่วยดึงด้ายให้เท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าทั้งสองตระกูลจะตกลงกันอย่างไร ต่อไปพวกเขาจะมีชีวิตที่ดีหรือไม่นั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวพวกเขาเองแล้วเจ้าค่ะ”

คำพูดนี้ยิ่งมีเหตุผลเข้าไปใหญ่

หงซื่อผู้เป็นฮูหยินใหญ่อี๋พยักหน้า

หงหรุ่ยเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มร่า ยอบกายทำความเคารพครั้งหนึ่งพลางกล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินใหญ่ สะใภ้ใหญ่ บ่าวสูงวัยข้างกายของคุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋มาเจ้าค่ะ บอกว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ทำชุดสำหรับฤดูร้อนมาให้คุณชายน้อยคนโตและคุณชายน้อยคนรองคนละหนึ่งชุด เห็นว่ายิ่งอยู่อากาศยิ่งร้อนขึ้นแล้ว เนื่องจากนางไม่มีเวลามาว่าง ก็เลยให้คนนำมามอบให้เป็นการเฉพาะเจ้าค่ะ”

เจิ้งซื่อสะใภ้ใหญ่สือกล่าวกับหงซื่อฮูหยินใหญ่อี๋ยิ้มๆ ว่า “เด็กสาวผู้นี้ข้ามองครั้งเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นคนฉลาด มีครั้งหนึ่งข้าเพียงเปรยว่ากับหงหรุ่ยไม่กี่ครั้งว่ากำลังเร่งทำชุดสำหรับฤดูร้อนให้เกิงเกอเอ๋อร์และอวิ๋นเกอเอ๋อร์อยู่ นางก็จำใส่ใจเอาไว้แล้ว”

ฮูหยินใหญ่อี๋ได้ยินแล้วก็รู้สึกว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ผู้นี้ไม่เลว อย่างน้อยก็เป็นคนรู้จักดีชั่วผู้หนึ่ง

“ในเมื่อเจ้ากับท่านย่าของเจ้าต่างบอกว่าดี เช่นนั้นข้าก็จะไม่เข้าไปยุ่งแล้วก็แล้วกัน” ฮูหยินใหญ่อี๋ลุกขึ้นกล่าวขอตัว “รอให้วันหมั้นเล็กของทั้งสองตระกูลกำหนดออกมาเรียบร้อยแล้ว เจ้าค่อยไปบอกข้าอีกทีก็แล้วกัน”

สะใภ้ใหญ่สือขานรับคำยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” ส่งแม่สามีออกจากประตูไป

หงหรุ่ยถึงได้กระซิบที่ข้างหูของสะใภ้ใหญ่สือว่า “ได้ยินว่าฮูหยินอู๋ตรวจเจอชีพจรมงคล คุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ก็เลยต้องคอยดูแลฮูหยินใหญ่อู๋อย่างใกล้ชิดเจ้าค่ะ”

สะใภ้ใหญ่สือประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กล่าวยิ้มๆ ขึ้นมาว่า “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน! พึ่งพาบ้านเดิมไม่ได้แล้ว ก็ยิ่งต้องพึ่งพาบ้านสามี”

หงหรุ่ยยิ้มทว่าไม่ได้กล่าวอะไร

ฮูหยินใหญ่เวิ่นรู้สึกเบิกบานใจยิ่งนัก

ที่นางอยากทาบทามหลานสาวของตัวเองให้กับบุตรชาย ก็เพราะไม่อยากให้หลานสาวของสตรีผู้นั้นได้แต่งเข้ามา ถ้าหากถามตัวเองดีๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสถานะหรือหน้าตา คุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ล้วนดูดีกว่าหลานสาวของนางอยู่หลายระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่นางได้ยินว่าเฉิงเวิ่นตอบรับการแต่งงานครั้งนี้ต่อหน้าท่านผู้นำตระกูลจวนรองด้วยใบหน้าขมขื่นแล้ว นางก็ยิ่งพึงพอใจกับการดองกันในครั้งนี้

“น่าเสียดายที่ตอนที่คุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋มาเป็นแขกนั้นข้าไม่ได้สำรวจดูนางให้ละเอียดสักหน่อย” ฮูหยินใหญ่เวิ่นทอดถอนใจกล่าวกับเซียงเอ๋อร์สาวใช้ข้างกายอย่างเสียดาย “ดูแล้วครั้งนี้จวนรองน่าจะลงแรงไปกับเรื่องแต่งงานของนั่วเกอเอ๋อร์ไปไม่น้อยจริงๆ”

ตระกูลเฉิงมีกฎของตระกูลว่า หากอายุสี่สิบแล้วยังไม่มีบุตรชายถึงจะรับอนุภรรยาได้ แต่เฉิงเวิ่นกลับแหกกฎเป็นคนแรก สาวใช้ใหญ่อย่างเซียงเอ๋อร์นี้จึงคิดอะไรอยู่บ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ได้ยินแล้วก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋กับสะใภ้ใหญ่สือของจวนรองสนิทสนมกันยิ่งนัก สะใภ้ใหญ่สือรู้จักคุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋เป็นอย่างดี หากท่านอยากทราบอะไร ก็น่าจะไปสอบถามจากสะใภ้ใหญ่สือได้เจ้าค่ะ” กล่าวถึงตรงนี้ เสียงของนางหยุดลงเล็กน้อย แล้วกล่าวอีกว่า “เหมือนข้าจะจำได้ว่าบ้านเดิมของฮูหยินอู๋ก็แซ่กวน เริ่มแรกตอนที่ฮูหยินอู๋มาถึงเมืองจินหลิงใหม่ๆ นั้นสนิทสนมกับนายหญิงผู้เฒ่ากวนของจวนสี่ที่สุด ฮูหยินอู๋ยังตั้งใจพาคุณหนูอู๋ทั้งสามท่านมาเยี่ยมนายหญิงผู้เฒ่ากวนเป็นการเฉพาะ โดยเฉพาะคุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋นั้นมีอายุไล่เลี่ยกับคุณหนูรองตระกูลโจว เวลานั้นคุณหนูหลายคนเหล่านั้นยังเล่นด้วยกันอีกด้วย คุณหนูรองตระกูลโจวกับคุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ก็น่าจะคุ้นเคยกันดีเจ้าค่ะ”

ฮูหยินใหญ่เวิ่นได้ยินแล้วก็บุ้ยปาก กล่าวขึ้นว่า “พวกเราติดต่อกับคุณหนูรองตระกูลโจวผู้นั้นให้น้อยเข้าไว้จะดีกว่า ตอนนี้ผู้อื่นเป็นคนโปรดของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวปกป้องนางราวกับเป็นบุตรหลานของตัวเองก็ไม่ปาน! มิใช่ว่าพวกเราไปถามเรื่องของคุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋แล้ว กลับถูกดึงไปพัวพันกับเรื่องอื่นขึ้นมา และบอกว่าพวกเราไม่รู้จักหนักเบา ใช้คุณหนูรองที่มาเป็นแขกอยู่ที่ซอยจิ่วหรูเป็นแพ สร้างความโกลาหล!”

เซียงเอ๋อร์ไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

ไม่ว่าอย่างไรฮูหยินใหญ่เวิ่นอย่างท่านก็เป็นถึงฮูหยินของจวนห้าของซอยจิ่วหรู เหตุใดจะเทียบไม่ได้แม้แต่กับคุณหนูที่มาอาศัยอยู่ใต้ชายคาของผู้อื่นคนหนึ่งเล่า เกิดเรื่องแล้วกลัวว่าจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวโกรธนั่นเป็นเรื่องที่สมควร แต่เหตุใดตอนนี้กลัวแม้กระทั่งคนรุ่นลูกเพียงคนเดียว ช่างเป็นคนที่ยิ่งอยู่ยิ่งถดถอยจริงๆ ติดตามคนเช่นนี้ยังจะคาดหวังอะไรได้?

นางวิพากษ์อยู่ในใจ ทว่าบนใบหน้ากลับไม่เผยความผิดแผกออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย กล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง หากต้องมีปัญหาเพิ่มมาอีกเรื่องไม่สู้ให้มันน้อยไปหนึ่งเรื่องจะดีกว่า หากอยากทราบเรื่องของคุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ ไปถามสะใภ้ใหญ่สือจะดีกว่าเจ้าค่ะ”

ฮูหยินใหญ่เวิ่นเองก็รู้สึกว่าการที่ตนเป็นเช่นนี้ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก แต่พอนางนึกขึ้นได้ว่าจวนห้ายังต้องมีชีวิตโดยอาศัยเงินปันผลจากร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่อยู่ หลังของนางก็ยากที่จะผงาดยืดตรงขึ้นมาได้ ทำได้เพียงแสร้งสั่งการเซียงเอ๋อร์อย่างไม่ชัดเจนว่า “เช่นนั้นเจ้าไปเรียกสาวใช้เด็กมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้าก็แล้วกัน! ข้าจะไปคุยกับสะใภ้ใหญ่สือที่เรือนหลิวทิง”

เซียงเอ๋อร์ยิ้มพลางไปเรียกสาวใช้เด็กเข้ามา รอจนฮูหยินใหญ่เวิ่นล้างหน้าและแต่งตัวอีกรอบเรียบร้อยแล้ว ก็มุ่งหน้าไปจวนรองพร้อมกับฮูหยินใหญ่เวิ่น

ตอนที่เดินผ่านจวนสี่นั้น ทั้งสองคนเห็นป้ารับใช้ร่างกำยำหลายคนกำลังโยกย้ายดอกไม้กันอยู่ นอกจากนี้ล้วนเป็นดอกไม้พันธุ์หายากที่ปลูกอยู่ในกระถางเซี่ยนหยางอย่างเช่น ดอกกล้วยไม้ ดอกซานฉา ดอกเบญจมาศและอื่นๆ

นางอดไม่ได้ที่จะมองซ้ำอีกสักสองครั้ง

เซียงเอ๋อร์รีบก้าวไปสอบถาม

ป้ารับใช้กล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นดอกไม้ที่คุณหนูรองปลูกเอาไว้เจ้าค่ะ เนื่องจากงานแต่งงานของคุณชายใหญ่เก้าใกล้เข้ามาแล้ว ต้องปรับปรุงซ่อมแซมเรือนใหม่ ในบ้านจึงมีคนงานบ่าวชายต่างๆ เข้าออกบ่อยๆ คุณหนูรองกลัวว่าจะทำให้ดอกไม้เหล่านี้เสียหาย จึงย้ายพวกมันไปอยู่ที่เรือนฝูชุ่ยของเรือนหานปี้ซานชั่วคราวก่อนเจ้าค่ะ”

ฮูหยินใหญ่เวิ่นประหลาดใจ เอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอนุญาตแล้วหรือ”

ป้ารับใช้ผู้นั้นกล่าวยิ้มๆ ว่า “บ่าวก็ไม่ทราบเหมือนกันเจ้าค่ะ เป็นปี้อวี้คนข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนสั่งการลงมา นางสั่งว่าอย่างไร พวกบ่าวก็เพียงทำตามนั้นเท่านั้นเจ้าค่ะ!”

ฮูหยินใหญ่เวิ่นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง และเดินจากไปด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

ป้ารับใช้ผู้นั้นหันไปร้อง “หึ” เบาๆ จนแทบจะไม่ได้ยินเสียงหนึ่งให้กับเงาหลังของฮูหยินใหญเวิ่น

คนอื่นๆ อีกหลายคนที่มาช่วยป้าผู้นั้นต่างรวมกลุ่มกันเข้ามา กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านนี้คือฮูหยินใหญ่เวิ่นของจวนห้าผู้นั้นหรือ”

“ไม่ใช่นางแล้วก็เป็นผู้ใด!” ป้ารับใช้ผู้นั้นกดเสียงลงต่ำยิ่งกว่า “หากข้าเป็นนาง คงย้ายออกไปอยู่ที่อื่นนานแล้ว ไหนเลยจะยังมีหน้ามาเดินไปทั่วจวนกลางวันแสกๆ เช่นนี้อยู่อีก คงกลัวผู้อื่นจะไม่รู้เรื่องของนางกระมัง”

เรื่องที่ฮูหยินใหญ่เวิ่นคุกเข่าฟังสาวใช้อ่าน ‘บัญญัติสอนหญิง’ ให้ฟังนั้นถูกเผยแพร่ไปทั่วซอยจิ่วหรูนานแล้ว พวกสาวใช้ บ่าวหญิงมีสามีแล้ว และบ่าวสูงวัยที่พอจะมีหน้ามีตาทั้งหลายต่างรู้สึกว่าครั้งนี้ฮูหยินใหญ่เวิ่นคงจะเสียหน้าจนไปต้องเอาไปทิ้งที่แม่น้ำฉินไหวแล้ว จึงยิ่งดูแคลนที่นางยังทนอยู่ได้ การกระทำที่มีต่อนางจึงทำเสมือนกับว่านางเป็นดัง ‘ลูกพลับอ่อนที่บีบคั้นได้ง่าย’ ไม่เคารพเท่าเมื่อก่อน ในทางกลับกัน ยิ่งเคารพนับถือฮูหยินผู้เฒ่ากัวของเรือนหานปี้ซานมากยิ่งขึ้น

อีกหลายคนไม่กล้าดูแคลน จึงรีบยกดอกไม้เหล่านั้นไปวางบนรถลากอย่างระมัดระวัง หนึ่งคนลาก สองคนคอยป้องกัน ด้านหลังยังมีอีกสามคนคอยเฝ้าระวัง เคลื่อนย้ายไปยังเรือนฝูชุ่ยอย่างเร่งรีบ

วางดอกฉาเหมยตรงประตูทางเข้าหนึ่งกระถาง ดอกกล้วยไม้ตรงหัวเตียงหนึ่งกระถาง ต้นเหวินจู๋บนโต๊ะน้ำชาหนึ่งกระถาง และดอกโบตั๋นตรงโถงทางเดินหนึ่งกระถาง…ภายในเรือนพลันสว่างสดใสขึ้นมา

โจวเสาจิ่นยืนอยู่ในห้องโถงรับรอง ดึงแขนเสื้อลงอย่างพึงพอใจ

เสี่ยวถานวิ่งเข้ามา กล่าวขึ้นอย่างกระหืดกระหอบว่า “คุณหนูรอง นายท่านสี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”

“จริงหรือ!” ขณะที่โจวเสาจิ่นเอ่ยนั้น ดวงตาก็สว่างวาบขึ้น หมุนกายมุ่งไปทางเรือนหลีอิน

“คุณหนูรอง ท่านเปลี่ยนเสื้อก่อนดีหรือไม่” เสี่ยวถานกล่าว “เมื่อครู่ท่านเพิ่งจะเคลื่อนย้ายดอกไม้กับพวกป้ารับใช้ไปเองนะเจ้าคะ!”

น่าเสียดายที่นางยังไม่ทันได้พูดจนจบ โจวเสาจิ่นก็หายตัวไปอย่างรวดเร็วแล้ว

เสี่ยวถานกระทืบเท้า ได้แต่ตามออกไป

ตอนที่ท่านน้าฉือไม่อยู่ เรือนหลีอินก็คล้ายกับน้ำที่ตายแล้วสายหนึ่ง พอท่านน้าฉือกลับมา ประตูหรูอี้ของเรือนหลีอินก็เปิดกว้าง บ่าวชายที่มาขนหีบสัมภาระต่างเข้าๆ ออกๆ ยังได้ยินเสียงนกร้อง ทั้งเรือนราวกับมีชีวิตชีวาขึ้นมา

เพียงมองครั้งเดียวโจวเสาจิ่นก็เห็นเฉิงฉือที่กำลังยืนคุยกับไหวซานอยู่ใต้โถงทางเดินแล้ว

ชุดนักพรตเต้าเผาผ้าเนื้อหยาบสีเทา รองเท้าผ้าเนื้อหยาบสีดำ ยืนมือไขว้หลัง ดวงหน้าเคร่งขรึมทว่าสง่างามเป็นธรรมชาติ กิริยาท่าทางน่าประทับใจยิ่ง

ท่านน้าฉือสวมอาภรณ์เรียบง่ายถึงเพียงนี้ แต่เหตุใดถึงยังดูหล่อเหลาดูดีได้ขนาดนี้นะ

โจวเสาจิ่นพึมพำกล่าวอยู่ในใจ ฝีเท้าเชื่องช้าลง

ทว่าเฉิงฉือราวกับรู้ว่านางเข้ามาก็ไม่ปานหันศีรษะกลับมาอย่างกะทันหัน สายตาสบประสานกับของนางกลางอากาศพอดี

เขาจึงยิ้มออกมา

ความเคร่งขรึมมลายหายไป เหลือเพียงความอบอุ่นของแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น

ความอบอุ่นบังเกิดขึ้นในใจของโจวเสาจิ่น กระโจนตัวออกไปราวกับนกนางแอ่นตัวหนึ่ง

รอยยิ้มของเฉิงฉือจึงยิ่งกว้างขึ้น กระซิบกล่าวกับไหวซานอีกสองประโยค ไหวซานมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง แล้วถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ

โจวเสาจิ่นยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเฉิงฉือ บุ้ยปากอย่างแง่งอน เอ่ยขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ เหตุใดท่านถึงเพิ่งกลับมาเจ้าคะ”

เฉิงฉือมองใบหน้าแดงปลั่งของนาง ยังมีเศษดินหลงเหลืออยู่ตามแขนเสื้อ พลันนึกถึงดอกไม้ป่าที่ขึ้นอยู่กลางป่าลึกเหล่านั้น งดงามเกินจะเปรียบ ทว่ากลับดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ปราศจากความกังวลใดๆ

บางครั้งโจวเสาจิ่นก็เหมือนกับดอกไม้ประเภทนี้ ไม่ว่าจะเคยผ่านประสบการณ์อะไรมาก็ยังรักษาตัวตนเดิมของตัวเองเอาไว้ได้

บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดนางถึงไม่อาจจดจำความเกลียดชังเก่าก่อนได้กระมัง!

เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่ข้ายังไม่ได้พักเท้านิ่งๆ เลย เจ้าก็รู้แล้วว่าข้ากลับมาแล้ว ข้าดูแล้วไม่ว่าข้าจะกลับมาเร็วหรือกลับมาช้า เจ้าก็รู้ได้ในเพียงพริบตาเดียว แต่ว่า เจ้ามาอยู่ได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น คงไม่ได้ซื้อตัวคนเฝ้าเวรยามที่ประตูของข้าไปหมดแล้วกระมัง”

“จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ!” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างกระเง้ากระงอด “ข้าเพียงให้เสี่ยวถานช่วยข้าจับตาดูเอาไว้ หากท่านน้าฉือกลับมาแล้วก็ให้รีบมาบอกข้าเท่านั้น!”

“อ้อ!” เฉิงฉือย่นคิ้วขึ้น “ดังนั้นนี่ก็เลยไม่นับว่าเป็นการสืบความลับ!”

โจวเสาจิ่นหน้าร้อนผะผ่าว กล่าวแย้งขึ้นว่า “ใครใช้ให้ท่านไปและมาอย่างไร้ร่องรอยราวกับวิญญาณกันเจ้าคะ…”

“ข้าไปและมาอย่างไร้ร่องรอยราวกับวิญญาณหรือ” เฉิงฉือย่นคิ้วขึ้นอีกครั้ง

โจวเสาจิ่นรีบกล่าวแก้ “ไม่ใช่เจ้าค่ะๆ เป็นข้าเองที่กล่าวผิดไป ท่านน้าฉือเป็นเทพมังกรที่เห็นแต่หัวไม่เห็นหางเจ้าค่ะ”

เฉิงฉือหัวเราะดังลั่น

บ่าวชายที่ย้ายหีบสัมภาระอยู่ต่างพากันลอบมองสำรวจโจวเสาจิ่น

โจวเสาจิ่นรู้สึกอับอายยิ่งนัก แต่ก็ไม่อยากเดินจากไปเช่นนี้ อยากถามเฉิงฉือว่าไปที่ไหนมา ทำอะไรบ้าง แต่ก็รู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้างเล็กน้อย

นางคิดแล้วคิดอีก จึงถามเฉิงฉือไปอย่างทื่อๆ ว่า “ท่านน้าฉือ จี๋อิ๋งกลับมาพร้อมท่านหรือไม่เจ้าคะ ข้าไม่ได้เจอนางมานานช่วงหนึ่งแล้ว คิดถึงนางยิ่งนัก”

“อย่างนั้นหรือ” เฉิงฉือหัวเราะ กล่าวขึ้นว่า “นางกลับมาพร้อมข้า เพิ่งกลับไปที่ห้อง หากเจ้าอยากไปหานาง เดินตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายก็จะเจอห้องของนางแล้ว”

แน่นอนว่านางย่อมรู้อยู่แล้วว่าห้องของจี๋อิ๋งไปอย่างไร

แต่เหตุใดท่านน้าฉือถึงไม่ถามนางว่านางมาหาเขาทำไมนะ

เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ดีใจเลยที่เห็นตน…แต่ก็ไม่ใช่อีก เพราะเมื่อครู่ตอนที่ท่านน้าฉือเห็นนางก็ยังดีใจมากอยู่เลย นางรู้สึกได้ แต่เขาคงไม่ได้ดีใจมากเท่านาง ไม่อย่างนั้นเหตุใดถึงไม่เชิญนางเข้าไปดื่มชาในห้องทำนองนั้นเล่า…

อารมณ์ของโจวเสาจิ่นพลันหดหู่ลงเล็กน้อย แล้วก็มีความรู้สึกอับอายที่พูดออกไม่ได้ปนอยู่ด้วย

“เช่นนั้นข้าไปหาจี๋อิ๋งแล้วเจ้าค่ะ!” นางกล่าว แล้วก็มุ่งหน้าไปทางที่พักของจี๋อิ๋งอย่างรวดเร็ว

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน
Status: Ongoing
ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset