ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 274 จัดเตรียม

เฉิงฉือลูบหน้าผากอย่างอดไม่ได้

ช่างสมกับเป็นเด็กน้อยจริงๆ พูดถึงลมกลับกลายเป็นฝนไปเสียได้

อย่างไรก็ตาม ดูจากสภาพของนางคงจะเริ่มปลูกดอกไม้แล้ว คาดว่าการใช้ชีวิตอยู่ที่เรือนฝูชุ่ยคงไม่แย่นัก

เฉิงฉือวางใจลง สั่งการซางมามาว่า “คุณหนูรองมา เจ้าให้คนทำของว่างสักสองสามอย่างยกไปให้ด้วย”

ซางมามาขานรับคำยิ้มๆ

เฉิงฉือกลับห้องหนังสือ ไปจัดการเรื่องของตัวเอง

โจวเสาจิ่นเลี้ยวหนึ่งครั้งเข้าไปยังที่ที่จี๋อิ๋งและคนอื่นๆ พักอาศัยอยู่ รอบๆ ทั้งสี่ด้านจึงเงียบเชียบขึ้นมา

นางเข้าไปในห้องที่จี๋อิ๋งพักอยู่ได้อย่างง่ายดาย

สาวใช้เด็กสองคนกำลังปรนนิบัติจี๋อิ๋งล้างหน้าล้างตาและแต่งตัวอยู่ แต่สีหน้าของนางดูซีดเซียวเล็กน้อย

การเดินทางไปข้างนอกเป็นเรื่องที่ลำบากไม่น้อย

โจวเสาจิ่นลอบยิ้มแหยอย่างอดไม่ได้ รู้สึกว่าตัวเองมาได้ไม่ถูกเวลานัก น่าจะรอให้จี๋อิ๋งได้พักผ่อนครู่หนึ่งก่อนแล้วค่อยมาเจอนาง

ถึงว่าเมื่อครู่ท่านน้าฉือไม่รั้งนางให้อยู่ดื่มน้ำชา

ท่านน้าฉือยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเลยด้วยซ้ำ!

เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วหัวใจของนางก็มีความยินดีปะทุขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก

แต่จี๋อิ๋งเห็นนางแล้ว หมุนตัวมายิ้มๆ กล่าวขึ้นว่า “ฝ่ายข่าวของเจ้าช่างรวดเร็วยิ่งนัก ข้าเพิ่งจะกลับมาเจ้าก็ทราบข่าวแล้ว ดูแล้วฮูหยินผู้เฒ่าคงดีกับเจ้าไม่น้อย”

โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจไปชั่วขณะ

จี๋อิ๋งหัวเราะคิก กล่าวขึ้นว่า “คนโง่ช่างมีความสุขของคนโง่จริงๆ” จากนั้นกล่าวอธิบายว่า “นายท่านสี่กับฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นคล้ายกัน ไม่ชอบให้คนไปสืบสอดเรื่องของพวกเขาเป็นที่สุด ฉะนั้นพอพวกข้าย้ายเข้ามาอยู่ที่เรือนหานปี้ซานจึงไม่กล้าไปเกะกะมือเท้าของผู้ใดนัก แต่เจ้ากลับเข้าออกได้ตามอำเภอใจ ในส่วนของนายท่านสี่นั้นข้าไม่แน่ใจนัก แต่ฮูหยินผู้เฒ่าต้องปฏิบัติกับเจ้าแบบลืมตาข้างปิดตาข้างเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นเจ้าไหนเลยจะวิ่งพล่านไปทั่วทุกที่เช่นนี้ได้!”

โจวเสาจิ่นหัวเราะฮ่า

จี๋อิ๋งจึงเชิญนางนั่งลงบนตั่งหลัวฮั่นที่อยู่ข้างๆ

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “อีกประเดี๋ยวข้าค่อยมาใหม่ก็แล้วกัน! เจ้าพักผ่อนเถิด ข้าดูแล้วเจ้าดูไม่ค่อยสดชื่นนัก”

จี๋อิ๋งยิ้มพลางนั่งลงตรงหน้านาง กล่าวขึ้นว่า “ไม่เป็นไร ให้ข้าไปนอนตอนนี้ข้าก็นอนไม่หลับ เจ้ามาได้จังหวะพอดี มาคุยเป็นเพื่อนข้าเถอะ”

เสียงของนางเพิ่งจะสิ้นสุดลง สาวใช้เด็กก็ยกของว่างและน้ำชาเข้ามา

จี๋อิ๋งช่วยยกจอกชาและของว่างไปวางลงตรงหน้าโจวเสาจิ่น

โจวเสาจิ่นเห็นมือขวาของนางลู่ต่ำลง ใช้เพียงมือข้างซ้ายเท่านั้น ใจพลันกระตุก กล่าวขึ้นว่า “มือขวาของเจ้า…”

“ไม่เป็นไร” จี๋อิ๋งกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ถูกกระแทกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

โจวเสาจิ่นไม่เชื่อ เอ่ยขึ้นว่า “ข้าขอดูหน่อย!”

จี๋อิ๋งไม่ยอม กล่าวยิ้มๆ ว่า “เมื่อครู่ท่านหมอเพิ่งจะพันเสร็จ หากเจ้าเปิดดู ข้าก็ต้องไปหาท่านหมออีก ช่างมันเถิด เพียงบาดเจ็บตรงผิวหนังเล็กน้อยเท่านั้น รักษาสองวันก็หายแล้ว”

“จริงหรือ” โจวเสาจิ่นถาม ย่นคิ้วเข้าหากัน

จี๋อิ๋งมองแล้วประหลาดใจ รู้สึกว่าท่าทางนี้ดูคุ้นตายิ่งนัก กล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “นี่เจ้าหมายความว่าอะไร คิดว่าข้าโกหกเจ้าอย่างนั้นหรือ” จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสีย กล่าวขึ้นว่า “เจ้าคอยจับตาดูข้า พอข้ากลับมาก็มาหาแล้วเช่นนี้ คงอยากจะถามเรื่องของเฉิงอี้กระมัง”

โจวเสาจิ่นหน้าแดง

จริงด้วย นางลืมเรื่องสำคัญขนาดนี้ไปได้อย่างไร

ก่อนหน้านี้มิใช่ว่านางอยากให้จี๋อิ๋งกลับมาเร็วๆ มาโดยตลอดหรอกหรือ ยังบอกว่าอยากเกลี้ยกล่อมจี๋อิ๋งสักหน่อยอีกด้วย…ปรากฏว่าพอเจอจี๋อิ๋งกลับอยากถามเพียงว่าตกลงช่วงนี้นางไปไหนมา แล้วทำอะไรมาบ้างเท่านั้น…

นางรีบปรับความคิด กล่าวขึ้นว่า “ตกลงวันนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ เหตุใดเจ้าถึงระงับความโกรธไม่ได้ขนาดนั้น”

ดูเหมือนว่าจนถึงตอนนี้จี๋อิ๋งก็ยังขุ่นเคืองอยู่ ดังนั้นพอโจวเสาจิ่นถามขึ้นความโกรธของนางก็ปะทุขึ้นมา โกรธจนคิ้วโก่งโค้งตั้งตรง กล่าวขึ้นว่า “พี่ชายอี้ของเจ้าผู้นั้นช่างเป็นคนที่ใช้ไม่ได้! ตอนพบกันเขาถามข้าว่าต่อไปไปรับใช้เขาได้หรือไม่ น้าฉือของเจ้าผู้นี้เป็นคนไม่เลวเลย ข้ายังคิดเลยว่าการศึกษาของตระกูลเฉิงช่างดียิ่ง ชั่วขณะนั้นจึงไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่น ยังพูดกับเขาดีๆ ว่า ข้ารับใช้น้าฉือของเจ้าแล้ว ไม่อาจไปรับใช้เขาได้อีก เจตนาดีของเขาข้ารับรู้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดออกมาว่า ข้ารู้ว่าให้เจ้ามารับใช้ข้าออกจะทำให้เจ้าลำบากใจอยู่บ้าง แต่ข้าชอบเจ้าจริงๆ ถึงแม้ตระกูลของพวกข้าจะมีกฎว่าหากอายุสี่สิบแล้วยังไม่มีบุตรชายถึงจะรับอนุภรรยาได้ แต่มิใช่ว่าท่านอาเวิ่นยังเลี้ยงสตรีผู้หนึ่งไว้ข้างนอก โดยที่คนในบ้านก็ไม่กล้าทำอะไรเขาหรอกหรือ ถ้าเจ้าตกลง ข้าจะไปขอเจ้ากับท่านอาสี่ฉือ เอาสัญญาซื้อขายคืนให้เจ้า สร้างบ้านข้างนอกให้เจ้าหลังหนึ่ง แล้วซื้อบ่าวรับใช้ไปรับใช้เจ้าสักสองสามคน ก็ดีกว่าให้เจ้าต้องเห็นหน้าท่านอาสี่ฉืออยู่ที่นี่…เจ้าว่าข้าจะทนได้อย่างไร ตอนนั้นเพียงครั้งเดียวข้าก็ถีบเขาไปกองอยู่บนพื้นแล้ว…”

โจวเสาจิ่นอยากให้มีแผ่นดินแยกออกให้นางได้เอาศีรษะของตัวเองมุดลงไปยิ่ง

พี่ชายอี้…เขายังจะโง่เขลาได้มากกว่านี้อีกหรือไม่!

แต่สิ่งที่ทำให้นางเป็นกังวลกลับเป็นความหมายที่เผยออกมาจากคำพูดของเฉิงอี้นั้น ที่บอกว่า แต่มิใช่ว่าท่านอาเวิ่นยังเลี้ยงสตรีผู้หนึ่งไว้ข้างนอก โดยที่คนในบ้านก็ไม่กล้าทำอะไรเขาหรอกหรือ ถ้าหากต่อไปคนตระกูลเฉิงล้วนคิดกันเช่นนี้ มีแบบอย่างให้ลอกเลียน เช่นนั้นตระกูลนี้จะไม่กลายเป็นก้อนเส้นด้ายที่พันกันจนยุ่งเหยิงไปหรอกหรือ!

สีหน้าของนางเคร่งขรึมขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกท่านยายของข้า”

จี๋อิ๋งเห็นนางเป็นเช่นนี้แล้วกลับรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ข้าตีคนไปแล้ว ท่านยายของเจ้าก็ไม่ได้ว่าอะไร เจ้าอย่าไปกวนน้ำให้ขุ่นเลย ไม่ว่าจะพูดอย่างไร พี่ชายอี้ของเจ้าก็เป็นหลานชายแท้ๆ ของท่านยายเจ้า มีคนเป็นย่าที่ไหนบ้างที่หลานชายแท้ๆ ของตัวเองถูกคนตีแล้วจะไม่ปวดใจ ท่านยายของเจ้าเป็นเช่นนี้ได้ ก็นับว่าเป็นคนมีเหตุผลมากแล้ว!”

โจวเสาจิ่นคิด เกรงว่าเรื่องนี้คงต้องไปพูดกับท่านน้าฉือหรือไม่ก็ฮูหยินผู้เฒ่ากัว พวกเขาจะได้ทราบว่าสิ่งที่ตนเป็นกังวลนั้นคืออะไร จึงไม่พูดเรื่องนี้ต่อ กล่าวขอโทษนางแทนเฉิงอี้ ปลอบโยนจี๋อิ๋งไปหลายประโยค จากนั้นถามถึงเรื่องที่นางออกเดินทางไปข้างนอกขึ้นมา “…ไปที่ไหนมาบ้าง ข้าดูแล้วระยะเวลาออกจากบ้านของเจ้าในครั้งนี้ยาวนานยิ่งนัก ดูเหมือนจะออกไปก่อนท่านน้าฉืออีก หลังจากนั้นพวกเจ้าได้อยู่ด้วยกันหรือไม่”

จี๋อิ๋งกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ากับน้าฉือของเจ้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน น้าฉือของเจ้าไปซานตง ส่วนข้ากลับไปที่บ้านครั้งหนึ่ง จากนั้นกลับมาที่นี่พร้อมกัน”

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือจี๋อิ๋งไม่รู้ว่าท่านน้าฉือออกไปทำอะไรมาบ้าง

โจวเสาจิ่นผิดหวังเล็กน้อย แต่ยังคงถามขึ้นว่า “แล้วท่านน้าฉือไปทำอะไรที่ซานตงหรือ”

“ใครจะไปรู้ได้” จี๋อิ๋งกล่าว “อาจจะเป็นเพราะว่าว่างไม่มีอะไรทำ ก็เลยไปเดินเล่นสักรอบกระมัง! จะว่าไปแล้วเขาไม่ได้ไปซานตงมาหลายปีแล้วเหมือนกัน”

ไม่น่าจะเป็นเพราะว่าว่างไม่มีอะไรทำก็เลยไปหรอกกระมัง

โจวเสาจิ่นตริตรองอยู่ในใจ

ท่านน้าฉือเชื่อในสิ่งที่นางพูด ด้วยนิสัยของเขา น่าจะเริ่มสืบหาเบาะแสของเรื่องนี้แล้วมากกว่า จะว่างจนไม่มีอะไรทำได้อย่างไร

เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านน้าฉือสืบหาเบาะแสอะไรบางอย่างได้แล้ว

โจวเสาจิ่นนั่งไม่ติดที่เล็กน้อย

สาวใช้เด็กยกของว่างเข้ามาให้อย่างระมัดระวัง

จี๋อิ๋งถามอย่างแปลกใจว่า “นี่เป็นของว่างที่ทำขึ้นมาใหม่หรือ ทางนี้ข้ามีของว่างที่ทำเอาไว้อยู่แล้ว”

สาวใช้เด็กผู้นั้นกล่าวยิ้มๆ ว่า “บ่าวเองก็ไม่ทราบ เป็นซางมามาที่สั่งให้ยกเข้ามาเจ้าค่ะ”

เพียงมอง โจวเสาจิ่นก็เห็นขนมวุ้นใสวางอยู่บนจานกระเบื้องสีแดง กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นก็วางเอาไว้เถิด! อย่างไรก็ยกมาแล้ว พวกข้าจะลองชิมดู”

สาวใช้เด็กผู้นั้นยิ้มพลางวางของว่างลงบนโต๊ะน้ำชา

จี๋อิ๋งเห็นโจวเสาจิ่นกินขนมวุ้นใสเป็นอย่างแรกสุด กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าชอบกินขนมวุ้นใสหรือ”

โจวเสาจิ่นพยักหน้า กล่าวยิ้มๆ ว่า “แม่นมของข้าเล่าว่า ข้ารักความสะอาดมาตั้งแต่เด็ก ของที่เป็นสีๆ อย่างโจ๊กงาดำ เค้กพุทราจีน หรือถั่วเขียวต้มล้วนไม่กิน จะกินแต่ของที่มีสีขาวอย่างขนมวุ้นใส หรือวุ้นเกาลัดจำพวกนั้นเท่านั้น วุ้นเกาลัดนั้นแม่นมก็กลัวว่าข้ากินแล้วจะไม่ย่อย จึงให้ข้ากินแต่ขนมวุ้นใสแทน อาจจะเป็นเพราะคุ้นเคยกับรสชาติไปแล้ว พอโตมาขนมวุ้นใสก็เลยกลายเป็นของที่ข้าชอบกินมากที่สุด”

“ถึงว่าเจ้าถึงได้ผิวขาวขนาดนี้!” จี๋อิ๋งยิ้มพลางยื่นมือไปเทียบกับโจวเสาจิ่น “เจ้าดูสิ! ผู้อื่นต่างบอกว่าข้าขาว แต่ข้าดูแล้วเจ้าขาวกว่าข้าอีก!”

โจวเสาจิ่นหัวเราะคิก นางกับจี๋อิ๋งจิบชาไปด้วยกินของว่างไปด้วย คุยกันครู่หนึ่งแล้วก็กล่าวขอตัวลา

อาจเป็นเพราะจี๋อิ๋งเหนื่อยมากเกินไปจึงไม่ได้ไปส่งนาง รอนางออกไปแล้วก็ทิ้งตัวนอนหลับไปทันที

คาดว่าหีบสัมภาระต่างๆ คงถูกจัดเก็บเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว เนื่องจากบ่าวชายที่มาขนย้ายหีบสัมภาระต่างถอยออกไปหมดแล้ว ภายในลานบ้านจึงเงียบเชียบ หน้าต่างของห้องหนังสือเปิดออกทั้งสี่ด้าน เพียงมองไปนางก็เห็นเฉิงฉือที่นั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือตัวใหญ่แล้ว

หลังของเขาตั้งตรง มือทั้งสองข้างวางอยู่บนที่เท้าแขน สีหน้าเคร่งขรึมขณะที่กำลังพูดอะไรบางอย่างอยู่

สายลมพัดผ่านยอดไม้ และก็โชยเข้าไปในห้องด้วยเช่นกัน

สมุดบัญชีที่อยู่เบื้องหน้าเขาส่งเสียงพึ่บพั่บไม่หยุด

ไหวซาน ฉินจื่ออันและบุรุษไม่คุ้นหน้าอีกสองคนยืนอยู่หน้าโต๊ะหนังสือตัวใหญ่ ก้มศีรษะลงเล็กน้อย กำลังตั้งใจฟังอย่างนอบน้อม แต่ไม่เห็นฉินจื่อผิง

หนึ่งในบุรุษไม่คุ้นหน้าสองคนนั้นอายุน่าจะพอๆ กับฉินจื่ออัน ทว่ารูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลา ดูมีมารยาทสุภาพเรียบร้อย ไม่เหมือนฉินจื่ออันเลยสักนิด ส่วนอีกผู้หนึ่งดูท่าทางแล้วน่าจะแก่กว่าฉินจื่ออันประมาณสองสามปี รูปร่างสูงโปร่งเช่นกัน แต่ท่าทางดูซื่อๆ จริงใจ หน้าตาปานกลาง แต่ก็ไม่เหมือนฉินจื่ออันอีกที่มีใบหน้าเคร่งขรึมเอาจริงเอาจัง

นางมาไม่ถูกเวลาจริงๆ

แค่ดูก็รู้แล้วว่าท่านน้าฉือกำลังยุ่งอยู่

โจวเสาจิ่นทอดถอนใจอยู่ในใจครั้งหนึ่ง หมุนกายกำลังจะเดินไป

แต่ใครจะรู้ว่าคนในห้องกลับพร้อมใจกันหันมามองที่นาง

นอกจากนี้แววตาของทุกคนยังสว่างวาบราวกับคบเพลิง

ถูกบุรุษตั้งหลายคนจ้องมองเช่นนี้ โจวเสาจิ่นพลันอับอาย ใบหน้าร้อนผะผ่าว รีบยอบกายทำความเคารพครั้งหนึ่งแล้วกำลังจะเดินหนี แต่ใครจะรู้ว่าเฉิงฉือกลับลุกขึ้นเดินมาที่หน้าต่าง ยิ้มพลางหันมากวักมือเรียกนาง

โจวเสาจิ่นเดินเข้าไปหาอย่างกระวนกระวาย

เฉิงฉือถามนาง “คุยกับจี๋อิ๋งเสร็จแล้วหรือ”

น้ำเสียงของเขาค่อนข้างทุ้มลึก ถึงกับแหบเล็กน้อย แต่สายตาที่มองนางกลับยังคงอบอุ่นและอ่อนโยนเช่นเดิม

จิตใจที่กระวนกระวายของโจวเสาจิ่นสงบลง พยักหน้าอย่างเก้อเขิน

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ตอนนี้ข้ายังมีธุระอยู่ เจ้าไปเล่นคนเดียวก่อน! ข้าเอาของฝากมาฝากเจ้าด้วยชิ้นหนึ่ง ให้คนส่งไปให้ที่ห้องของเจ้าแล้ว”

ทำราวกับว่านางเป็นเด็กอายุเจ็ดแปดขวบก็ไม่ปาน

โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าตัวเองไม่พอใจเล็กน้อย แต่เมื่อคิดถึงของฝากที่เฉิงฉือเอามาฝากนางแล้ว จิตใจกลับเบิกบานขึ้นมาเองประหนึ่งดอกไม้แย้มบาน

นางพยักหน้าพร้อมกับยิ้มตาหยี แล้ววิ่งจากไปอย่างรวดเร็วดุจควันสายหนึ่ง

เฉิงฉือส่ายศีรษะ พอหมุนกายกลับมาสีหน้าก็กลับมาเคร่งขรึมดังเดิม กล่าวขึ้นว่า “ความรู้ความเชี่ยวชาญของกลุ่มจินซาก็เพียงพอแล้ว ความจริงแล้วเพียงจะแสดงอำนาจให้พวกเขาดูเท่านั้น แต่ครั้งนี้ต้องการให้พวกเขาทำงานให้ข้า กลอุบายเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้เป็นอันขาด หากพวกเขาปฏิเสธ ก็ให้ทำลายเสีย แล้วไปสนับสนุนกลุ่มอื่นแทน เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน จะต้องให้เห็นผลลัพธ์ภายในปลายปีหน้า กล่าวคือ จากจิงเฉิงถึงจินหลิง ข้าต้องการให้ไม่มีอะไรเล็ดลอดไปจากสายตาของข้าได้ แม้แต่ยุงเพียงตัวเดียวก็ไม่เว้น”

ไหวซานและฉินจื่ออันต่างไม่ได้กล่าวอะไร บุรุษหน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นกลับกล่าวขึ้นอย่างลังเลเล็กน้อยว่า “นายท่านสี่ จอมยุทธ์ใช้วรยุทธ์ทำลายข้อห้าม พวกเราเคลื่อนไหวเอิกเกริกขนาดนี้ โยงใยไปถึงเหล่าจอมยุทธ์ทางเหนือเกือบทั้งหมด หลายปีก่อนท่านก็ยังกวนเหล่าจอมยุทธ์ทางใต้ไปครั้งหนึ่ง กลัวแต่ว่าจะไม่เพียงกระตุ้นให้เหล่าจอมยุทธ์ทางใต้ระมัดระวังขึ้นเท่านั้น แต่ยังจุดชนวนให้ทางการหันมาจับตามองด้วยขอรับ…”

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจแล้ว” เฉิงฉือกล่าวอย่างเย็นชา “ทางด้านของเหล่าจอมยุทธ์ทางใต้นั้นไม่ต้องไปสนใจ พวกเขาก็ทำได้เพียงระมัดระวังขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าเจ้าให้พวกเขาเลือกใครสักคนมาพูดกับข้าสักประโยค เกรงว่าจะไม่มีใครยอมยื่นมือมารับเผือกร้อนนี้ ส่วนทางด้านของทางการ รอให้ผ่านไปอีกสักช่วงหนึ่งแล้วข้าจะไปอยู่ที่จิงเฉิงสั้นๆ สักระยะ”

บุรุษหน้าตาหล่อเหลารู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง

สายตาของเฉิงฉือตกไปอยู่บนร่างของคนที่ท่าทางดูซื่อๆ จริงใจ ผู้นั้น

คนผู้นั้นค้อมตัวอย่างนอบน้อม ริมฝีปากยิ้มกว้าง ทันใดนั้นก็แผ่ไอสังหารออกมา กล่าวเสียงเย็นว่า “นายท่านสี่โปรดวางใจ ข้าจะจำไว้ขอรับ”

เฉิงฉือพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน
Status: Ongoing
ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset