เมื่อสุนัขกับนกแยกกันแล้ว ในที่สุดเรือนฝูชุ่ยก็สงบขึ้นมา
โจวเสาจิ่นโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง บังเกิดความกลัวว่าเสียงดังจอแจนี้จะรบกวนฮูหยินผู้เฒ่ากัว รินน้ำชาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยตัวเอง แล้วรั้งให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่รับมื้อเย็นด้วย
ความจริงแล้วฮูหยินผู้เฒ่ากัวชื่นชอบบรรยากาศของเรือนฝูชุ่ยเป็นอย่างมาก แต่กล่าวยิ้มๆ ว่า “น้าฉือของเจ้ากลับมาแล้ว ข้าจะจัดอาหารเลี้ยงต้อนรับเขา พวกเราไปกินข้าวที่เรือนหลักก็แล้วกัน”
ช่วงนี้นอกจากมื้อเช้าแล้ว มื้อเที่ยงและมื้อเย็นโจวเสาจิ่นล้วนรับประทานเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวทุกมื้อ ได้ยินเช่นนั้นแล้วก็อดหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้ รู้สึกว่าตัวเองเพิ่งรับของขวัญของท่านน้าฉือมา แต่กลับลืมท่านน้าฉือไปเสียแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นท่าทางของนางแล้ว ก็พอจะเดาออกอยู่หลายส่วน กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้ากับน้าฉือของเจ้าต่างกันอยู่หนึ่งรุ่น บางเรื่องจึงคิดไม่ถึงก็เป็นเรื่องธรรมดา”
ตอนนี้ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นยิ่งแดงเรื่อมากขึ้น
ฮูหยินผู้เฒ่ากับท่านน้าฉือใจดีกับนางมาตลอด แต่นางกลับเอาแต่ใจตัวเอง ไม่ได้มองท่านน้าฉือเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องให้ความเคารพ นิสัยเสียข้อนี้ต้องแก้ไขให้ได้ถึงจะถูก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า ถามโจวเสาจิ่นถึงเรื่องของเรือนฝูชุ่ยขึ้นมา
โจวเสาจิ่นถึงได้นึกถึงคำวิจารณ์ที่เฉิงอี้พูดถึงเรื่องที่นายท่านใหญ่เฉิงเวิ่นของจวนห้าเลี้ยงสตรีไว้ข้างนอกขึ้นมา นางร้อง “ไอ้โหยว” คำหนึ่ง แล้วรีบเล่าเรื่องนี้ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเคร่งขรึมขึ้นมา
เฉิงอี้ถึงกับล่อลวงจี๋อิ๋ง ยังจะมีอะไรให้ต้องพูดอีก
ตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้สอบถามรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เมื่อก่อนนางคิดว่าเรื่องที่เฉิงเวิ่นเลี้ยงสตรีไว้ข้างนอกนั้นอาจจะกระทบถึงจวนห้า กระทบถึงเฉิงนั่ว แต่ดูจากตอนนี้แล้ว ความรุนแรงของเรื่องนี้ส่งผลกระทบไปไกลกว่าที่นางคิดเอาไว้เสียอีก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้าได้บอกเรื่องนี้กับน้าฉือของเจ้าหรือยัง”
โจวเสาจิ่นหน้าร้อนผะผ่าว
ตอนที่นางพบท่านน้าฉือนั้นดันลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
“ยังเจ้าค่ะ” นางพึมพำกล่าวแก้ตัวให้ตัวเอง “ตอนนั้นท่านน้าฉือมีธุระกำลังยุ่งอยู่…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทราบดีว่าบุตรชายคนเล็กของตัวเองผู้นี้เวลายุ่งขึ้นมาจะไร้ความรู้สึก ไม่สนใจผู้ใดทั้งนั้น จึงเข้าใจว่าโจวเสาจิ่นไปเจอคำปฏิเสธของเขามา เลยรู้สึกอับอาย นางกล่าวปลอบใจโจวเสาจิ่นว่า “ไม่เป็นไรๆ น้าฉือของเจ้าก็นิสัยเช่นนี้ ต่อไปเจ้ามีเรื่องอะไรก็มาบอกข้าได้ เหมือนอย่างครั้งนี้ก็ทำได้ดี เรื่องนี้หากเป็นผู้อื่นอาจมองว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่รังมดเพียงรังเดียว ก็ทำให้เขื่อนหลายพันหลี่พังทลายลงได้” ขณะที่กล่าว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดึงมือของโจวเสาจิ่นมาตบเบาๆ อย่างรักใคร่ กล่าวชมว่า “เจ้ามองเห็นต้นตอของเรื่องราวได้ ดีมากๆ”
ได้รับคำชมชมว่า ‘ดีมาก’ ติดๆ กันไปสองครั้ง ทำให้โจวเสาจิ่นขัดเขินจนยิ้มไม่หุบ ได้แต่กล่าวเชิญให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจิบชาด้วยเสียงเบา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มตาหยีพร้อมกับยกจอกชาขึ้นจิบครั้งหนึ่ง จากนั้นถอนหายใจกล่าวขึ้นว่า “เกรงว่าน้าฉือของเจ้าคงทราบเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ให้จี๋อิ๋งไปอยู่ที่เจ่าหยวน…ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่าน้าฉือของเจ้าเข้มงวดกับเจียซ่านมากไป แต่ดูจากตอนนี้แล้วถือว่าทำถูกต้องที่สุดแล้ว บรรดาคุณชายของตระกูลเฉิงรุ่นนี้ ต้องได้รับการอบรมแก้ไขกันบ้าง”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
สาเหตุที่ท่านน้าฉือให้เฉิงสวี่ไปอยู่ที่เจ่าหยวน เป็นอย่างที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวมาข้อนี้จริงๆ หรือ
เมื่อความคิดนี้วาบผ่าน ในใจของนางก็สับสนวุ่นวายไปหมด ถัดจากนั้นไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะพูดอะไร หรือนางตอบไปว่าอย่างไรบ้างนั้น นางล้วนจำไม่ได้ จนกระทั่งฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้สาวใช้เด็กไปแจ้งเฉิงฉือ ให้เฉิงฉืออย่าออกไปไหนช่วงค่ำ ให้เขาอยู่กินอาหารค่ำที่บ้าน นางถึงได้สติกลับคืนมา
ทว่าสาวใช้เด็กลับมารายงานว่า “นายท่านสี่กล่าวว่า ในเมื่อคุณหนูรองรั้งให้ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ที่เรือนฝูชุ่ยแล้ว เช่นนั้นก็ให้จัดมื้อค่ำที่เรือนฝูชุ่ยเลยก็แล้วกัน เขาจะได้มาดูด้วยพอดีเจ้าค่ะ”
นับตั้งแต่โจวเสาจิ่นย้ายเข้ามาที่เรือนฝูชุ่ย เฉิงฉือยังไม่เคยมาเลยสักครั้ง
เนื่องจากเป็นเขาที่พาคนมาอาศัยอยู่ที่จวนหลัก ด้วยนิสัยของเขาแล้ว อย่างไรก็ต้องมาดูสักหน่อย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้ายิ้มๆ สั่งการลงไป
ชุนหว่านและอีกหลายคนพลันยุ่งขึ้นมา
จนกระทั่งเฉิงฉือมาถึง ประตูห้องโถงรับรองของเรือนฝูชุ่ยเปิดออกกว้าง ตรงมุมห้องวางต้นดอกฉาไห่ความสูงเท่าคนเอาไว้ โต๊ะอาหารจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตะเกียบก็จัดวางเอาไว้บนโต๊ะแล้ว อยู่ในสภาพที่จัดเตรียมเอาไว้อย่างประณีตรอให้คนมาเริ่มรับประทานเท่านั้น
เฉิงฉือมองแล้วก็พึงพอใจขึ้นมาหลายส่วน
กระทั่งล้างมือและรับมื้ออาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ยิ่งพึงพอใจมากขึ้น
ถึงแม้ล้วนเป็นอาหารรสจืดตามแบบฉบับของหังโจว ทว่าคนครัวกลับทำออกมาอย่างตั้งใจ รสชาติจึงดียิ่ง
เฉิงฉือตกรางวัลให้คนครัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นแล้วก็มีความสุขยิ่ง กล่าวกับโจวเสาจิ่นยิ้มๆ ว่า “น้าฉือของเจ้าไม่ได้อารมณ์ดีเช่นนี้มาหลายปีแล้ว เห็นได้ชัดว่าน้าฉือของเจ้าออกจากบ้านในครั้งนี้เรื่องราวต่างๆ ล้วนราบรื่น”
ในใจของโจวเสาจิ่นยังพะวงถึงสาเหตุที่เฉิงสวี่ไปอ่านตำราเตรียมสอบอยู่ที่เจ่าหยวนอยู่ ได้ยินแล้วก็ได้แต่ฝืนยิ้มออกมาเท่านั้น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองไม่ออก ทว่าเฉิงฉือกลับมองเห็นอย่างชัดเจน
เด็กผู้นี้เป็นอะไรไปอีกแล้ว
ตอนไปหาเขาที่เรือนหลีอินยังร่าเริงอยู่เลย เหตุใดเพียงพริบตาเดียวก็ไม่สบายใจขึ้นมาเสียแล้ว
หรือว่ามารดาจะพูดอะไรกับนาง
เฉิงฉือลุกขึ้นมาเงียบๆ เดินไปที่โถงทางเดิน กล่าวขึ้นว่า “ดอกโบตั๋นหลายต้นนี้ปลูกได้ไม่เลว ลูกนกของข้าถือว่าส่งมาให้ถูกคนแล้ว!”
โจวเสาจิ่นรีบตามออกไป กล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือชอบหรือเจ้าคะ ในเรือนดอกไม้ของข้ายังมีอีกหลายต้น ประเดี๋ยวข้าให้บ่าวนำไปส่งให้ท่านที่เรือนดีหรือไม่”
“ไม่ต้อง” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ข้าเดินทางไปโน่นไปนี่ ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน เอาดอกไม้ดีๆ ไปปลูกในที่ที่ไม่ค่อยมีคนอยู่รังแต่จะทำให้มันเหี่ยวเฉาเร็วขึ้น”
นั่นก็จริง
ไม่อย่างนั้นคนจะกล่าวกันว่ามีแต่คนว่างงานเท่านั้นถึงจะปลูกดอกไม้ไปทำไมกัน
ดอกไม้ที่อยู่ห่างจากคนก็มักจะขาดชีวิตชีวา
ดังนั้นจึงต้องการให้มีคนคอยอยู่ดูด้วย
แต่นี่นับเป็นครั้งแรกที่เฉิงฉือถูกใจของของโจวเสาจิ่น โจวเสาจิ่นคิดว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้เฉิงฉือรับเอาไว้ให้ได้
นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “หรือไม่ ตอนที่ท่านอยู่ก็เอาไปไว้ที่เรือนของท่าน ส่วนตอนที่ท่านเดินทางออกไปข้างนอกก็ย้ายกลับมาที่นี่ ข้าดูแลแทนท่านก็ได้แล้วเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือไม่เห็นด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาแล้วกลับเห็นดีด้วย ออกจากห้องโถงไปด้วยอีกคน กล่าวกับเฉิงฉือว่า “ที่เรือนของเจ้าก็ควรจะปลูกดอกไม้เอาไว้สักสองสามกระถางจริงๆ พอเรือนหลังนี้มีดอกไม้แล้ว บรรยากาศก็เปลี่ยนไป มีชีวิตชีวาขึ้นมาก”
เฉิงฉือไม่ได้กล่าวอะไร
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ เลือนหายไป
ฉับพลันนั้นบรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นหนาวเย็นขึ้นมาเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่นางทั้งไม่อยากเห็นเฉิงฉือเสียใจ แล้วก็ไม่อยากให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเศร้าโศก จึงแสร้งทำเป็นไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร กล่าวยิ้มๆ อย่างเบิกบานว่า “ท่านน้าฉือคงจะไม่ชอบดอกโบตั๋นเป็นแน่ ข้ายังปลูกดอกกล้วยไม้เอาไว้ด้วยหลายต้น ปกติจะมีสีเขียวชอุ่ม และมีดอกสีเหลืองเล็กๆ บานขึ้นมาแซมอยู่ระหว่างใบไม้เขียวเป็นจุดๆ สวยมากเลยเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าจะให้คนยกไปให้ท่านนะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพลันรู้สึกยินดีที่ตนตอบรับให้โจวเสาจิ่นย้ายมาอยู่ที่เรือนหานปี้ซานด้วย
แม้ว่าเด็กสาวผู้นี้จะไม่ได้ฉลาดหลักแหลมเหมือนผู้อื่นขนาดนั้น ทว่าก็เชื่อฟังว่านอนสอนง่าย ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างจริงใจ มีนางมาออดอ้อนอยู่ระหว่างกลางอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ทำให้ระหว่างพวกเขาสองแม่ลูกไม่ค่อยตึงเครียดอย่างเมื่อก่อน
นางกล่าวสนับสนุนโจวเสาจิ่นยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นประเดี๋ยวเจ้าก็ให้คนยกดอกกล้วยไม้ไปให้น้าฉือของเจ้าสักสองสามกระถาง” ยังกล่าวอีกว่า “ดอกกล้วยไม้ที่เจ้าให้มาคราวก่อนก็สวยมากเช่นกัน”
โจวเสาจิ่นยิ้มร่าพร้อมกับขานรับว่า “เจ้าค่ะ”
เฉิงฉือเห็นแล้วก็ขุ่นเคืองอยู่ในใจ
เด็กโง่ผู้นี้ ช่างไม่รู้อะไรเลย ท่านแม่ว่าอย่างไรนางก็ตอบรับอย่างนั้น ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ตามไปด้วย สักวันเถิดจะถูกผู้อื่นหลอกเอาไปขาย
เขาคร้านจะพูดอะไรกับพวกนางให้มากความอีก อยู่ในสวนชมดูอีกพักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าทุกอย่างถูกจัดตกแต่งตามที่เขาบอกแล้ว ก็หมุนกายกลับห้องโถง
โจวเสาจิ่นเชิญเขาไปดื่มชาที่ห้องนั่งเล่น
เฉิงฉือจึงใช้โอกาสนี้ไปดูห้องหนังสือกับห้องพระเล็ก
เห็นบนแท่นบูชาพระยังว่างเปล่าอยู่ แสร้งเอ่ยขึ้นอย่างไม่ตั้งใจว่า “ข้าจำได้ว่าเจ้านับถือองค์กวนอิม เหตุใดถึงไม่บูชาแล้ว”
นางเคยบอกเช่นนั้นด้วยหรือ
อย่างไรก็ตาม คนที่ไปถวายธูปเทียนที่เขาผู่ถัวล้วนเป็นคนที่นับถือองค์กวนอิมทั้งนั้น และนางก็เป็นคนที่เคยไปถวายธูปเทียนที่เขาผู่ถัวมาก่อน
โจวเสาจิ่นไม่ได้สงสัยอะไร กล่าวยิ้มๆ ว่า “เดิมทีข้ากับพี่สาวบูชาด้วยกัน ต่อมาพี่สาวออกเรือน ข้าจึงให้นางเอาไปเจิ้นเจียงด้วยเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือ “อืม” เสียงหนึ่งเบาๆ สีหน้าราวกับเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน กล่าวขึ้นว่า “พอดีเลย ข้ามีรูปแกะสลักขององค์กวนอิมอยู่รูปหนึ่ง เดิมทีจัดเตรียมเอาไว้สำหรับมอบให้ผู้อื่นตอนออกเดินทางครั้งนี้ แต่ไม่ได้ใช้ ประเดี๋ยวข้าจะให้คนเอามาให้ เชิญเจ้าอาวาสวัดกันเฉวียนทำพิธีเบิกเนตรให้เรียบร้อยแล้ว”
โจวเสาจิ่นปีติยินดียิ่งนัก
ช่วงนี้หลังจากตื่นนอนและรับมื้อเช้าเสร็จแล้วถึงจะได้ไปจุดธูปถวายพระพุทธองค์ที่ห้องพระ นางทั้งรู้สึกขาดความศรัทธา และรู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้างเล็กน้อย
“ขอบคุณท่านน้าฉือมากเจ้าค่ะ!” นางยิ้มออกมาอย่างงดงามประหนึ่งดอกไม้บาน ทำให้นัยน์ตาของเฉิงฉือพร่าไปหมดครู่หนึ่ง
เฉิงฉือสั่งการให้ชิงเฟิงไปหยิบรูปแกะสลักขององค์กวนอิมมาที่นี่ไปด้วย ลอบขบคิดอยู่ในใจไปด้วยว่า โชคดีที่จัดให้เฉิงเจียซ่านไปอยู่ที่เจ่าหยวน นี่หากว่าได้เจอกับโจวเสาจิ่นทุกวัน เกรงว่าเขาคงไม่มีกะจิตกะใจอ่านตำราเป็นแน่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเขาจึงเรียกให้โจวเสาจิ่นมาหา ถามนางว่า “ชาติก่อนเฉิงเจียซ่านอ่านตำราเตรียมสอบอยู่ที่เรือนตัวจย้าหรือที่บ้านหลังอื่นข้างนอกของตระกูลเฉิง ก่อนสอบได้เชิญอาจารย์ท่านใดมาให้คำชี้แนะหรือไม่ หรือเคยไปเยี่ยมญาติสนิทมิตรสหายอาวุโสท่านใดของตระกูลเฉิงหรือไม่”
เรื่องพวกนี้โจวเสาจิ่นล้วนไม่ทราบ
ชาตินี้ท่านน้าฉือจัดให้เฉิงสวี่ไปอ่านตำราอยู่ที่เจ่าหยวน เช่นนั้นจะทำให้เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงหรือไม่
ถ้าเฉิงสวี่สอบไม่ได้ตำแหน่งเจี้ยหยวน[1] งานแต่งของเขากับตระกูลหมิ่นจะล้มไม่เป็นท่าหรือไม่
หากงานแต่งของเฉิงสวี่กับตระกูลหมิ่นล้มไม่เป็นท่า เขาจะมารังควานตนไม่ปล่อยหรือไม่
โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกขนลุกขึ้นมา กล่าวขึ้นอย่างร้อนรนว่า “หรือไม่ ท่านให้เฉิงสวี่กลับมาอ่านตำราที่เรือนตัวจย้าดีหรือไม่ ดูเหมือนว่าชาติก่อนเขาจะอยู่ที่เรือนตัวยจ้าโดยตลอดเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือเหลือบมองนางอย่างไม่ชอบใจครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “อีกไม่กี่วันข้ายังต้องออกไปข้างนอกอีก ถึงได้ให้เขาย้ายไปอยู่ที่เจ่าหยวน เจ้าก็อย่างไร เพื่อยศตำแหน่งของเขาแล้ว ถึงกับจะให้ข้าย้ายเขากลับมาอีกหรือ!”
โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกยินดีขึ้นมาอย่างลิงโลด กล่าวขึ้นว่า “เพราะท่านไม่อยากให้เฉิงสวี่กลับมาถึงได้ให้เขาไปอ่านตำราที่เจ่าหยวนหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือมองโจวเสาจิ่นที่ยิ้มตาหยีจนคิ้วโก่งโค้งนั้นแล้ว เอ่ยขึ้นอย่างงวยงงว่า “แล้วเจ้าคิดว่าเพราะอะไร”
“ไม่ได้คิดว่าอะไรเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นโบกมือเป็นพัลวัน ยิ้มหวานมากยิ่งขึ้น
เฉิงฉือเหลือบมองนาง
โจวเสาจิ่นร้องคร่ำครวญอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้
ท่านน้าฉืออะไรก็ดีไปหมด มีเพียงสายตานี้ที่ละเอียดยิบไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาด ชอบซักถามจนถึงต้นตอให้ได้
โชคดีที่ช่วงนี้นางเองก็ผ่านประสบการณ์มาไม่น้อย ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่มีเรื่องอะไรก็หัวช้าคิดไม่ทันไปเสียหมด
“มิใช่เพราะข้าเป็นกังวลว่างานแต่งของเขากับตระกูลหมิ่นจะไม่เป็นผลหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าเมื่อถึงยามคับขันตัวเองก็หัวไวไม่น้อยเหมือนกัน
เฉิงฉือกล่าว “สิ่งที่ตระกูลหมิ่นต้องการคือบุตรเขยที่เป็นจวี่เหรินผู้หนึ่ง ขอเพียงเขาสอบผ่าน ตระกูลหมิ่นก็ตอบรับงานแต่งแล้ว เจ้าจะกังวลอะไร!”
โจวเสาจิ่นยินดีเป็นอย่างยิ่ง
จากช่องหน้าต่างที่เปิดกว้างอยู่นั้นเห็นไหวซานและฉินจื่อผิงกำลังเดินมา นางจึงรีบวิ่งไปอย่างรวดเร็ว “ท่านน้าฉือ ท่านยังมีธุระ ประเดี๋ยวข้าค่อยมาหาท่านใหม่นะเจ้าคะ!”
เฉิงฉือส่ายหัวไม่หยุด
เจ้าเด็กคนนี้ เมื่อไรจะโตเสียที และเมื่อไรจะรู้จักระมัดระวังเสียบ้าง!
เขามองไหวซานและฉินจื่อผิงที่ยิ่งเดินก็ยิ่งใกล้เข้ามา ปรับอารมณ์และความรู้สึก สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและจริงจังขึ้นมา
…………………………………………………………….
[1] เจี้ยหยวน ผู้ที่สอบผ่านการสอบขุนนางช่วงสารทฤดูเป็นลำดับที่หนึ่ง