เฉิงสวี่เปลี่ยนเป็นชุดจื๋อตัวสีแดงเข้ม บริเวณเอวคาดเอาไว้ด้วยผ้าคาดผ้าไหมสีเดียวกัน จากนั้นยืนมองอยู่หน้ากระจก ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ดึงปิ่นปักผมไม้เถาบนศีรษะออกเปลี่ยนเป็นปิ่นหยกแทน ถึงได้กล่าวกับฮวนสี่ยิ้มๆ ว่า “เสร็จแล้ว พวกเราไปรับท่านอาสี่กันเถิด”
ฮวนสี่ยิ้มร่าขณะขานรับคำว่า “ขอรับ” จากนั้นตรงไปเรือนหลีอินพร้อมกับเฉิงสวี่
ท่านอาสี่ไม่ค่อยพูดหรือหัวเราะ เขาจึงค่อนข้างกลัวท่านอาสี่ผู้นี้มาตั้งแต่เด็ก
การที่เขาวิ่งกลับมาอย่างรีบร้อนเช่นนี้ ตอนแรกยังกังวลว่าท่านอาสี่จะอบรมเขาสักครั้งหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ท่านอาสี่เรียกเขาไปที่ห้องหนังสือแล้วจะเพียงถามถึงการเรียนของเขาอย่างละเอียดเท่านั้น ส่วนเรื่องที่เขากลับมาก่อนเวลานั้นกลับไม่เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว
ไม่รู้ว่าท่านอาสี่คิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ หรือว่าพวกพ่อบ้านที่ช่วยปิดบังให้เขาเหล่านั้นล้วนรับโทษแทนไปแล้ว
เขาไม่ค่อยแน่ใจนัก
อย่างไรก็ตาม โจวเสาจิ่นมาอยู่ด้วย เนื่องจากท่านย่าที่จวนสี่ฝากฝังนางมาให้ท่านย่าช่วยเลี้ยงดู สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าจะต้องถูกตำหนิหรือติเตียนอย่างไรเขาล้วนยินดียอมรับทั้งสิ้น
ตอนนี้โจวชูจิ่นแต่งงานแล้ว ตระกูลเฉิงมีโจวเสาจิ่นที่เป็นคุณหนูจากบ้านอื่นเหลืออยู่เพียงผู้เดียว ด้วยสถานะของท่านย่าแล้ว จะต้องพานางไปร่วมงานเลี้ยงที่ศาลาทิงอวี่ด้วยอย่างแน่นอน
ถึงเวลานั้นเขาก็จะได้พบหน้านางแล้ว
จากนั้นเขาก็จะได้ไปอ่านตำราเตรียมสอบที่เจ่าหยวนได้อย่างสบายใจ
อย่างไรก็ตาม เขาคิดไม่ถึงว่าท่านอาสี่จะให้เขาไปอยู่ที่เจ่าหยวน มิใช่กล่าวว่าเจ่าหยวนเป็นสถานที่หวงห้ามของท่านอาสี่ ปกติแล้วคนในบ้านต่างเข้าไปไม่ได้หรอกหรือ
หรือว่าท่านอาสี่จะเป็นคนที่แข็งนอกอ่อนในผู้หนึ่ง?
เขาคาดหวังให้ตนสอบผ่านได้ยศตำแหน่งอย่างนั้นหรือ
ต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน!
เมื่อมาถึงรุ่นของเขาแล้ว ทายาทชายของจวนหลักค่อนข้างอ่อนแอ
เหตุใดท่านอาสี่ถึงไม่แต่งงาน หรือว่าจะเป็นอย่างที่พวกบ่าวไพร่ที่ซอยซิ่งหลินเหล่านั้นลอบนินทากัน ที่ว่าท่านอาสี่เป็นพวกนิยมตัดแขนเสื้อ? แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านอาสี่ก็ควรจะมีสหายสนิทสักคนถึงจะถูก เหตุใดที่ผ่านมาถึงไม่เคยเห็นท่านอาสี่สนิทสนมกับผู้ใดเป็นพิเศษเลยสักคนเล่า
หรือว่าท่านอาสี่จะเลี้ยงคนผู้หนึ่งไว้ด้านนอก?
แต่จากที่ท่านอาสี่อยู่คนเดียวมาตลอดแล้ว คาดว่าแม้แต่ท่านย่าและท่านพ่อยังควบคุมท่านอาสี่ไม่ได้
ไม่ต้องกล่าวถึงอย่างอื่น แค่ข้อนี้ เฉิงสวี่ก็ชื่นชมเฉิงฉือเป็นอย่างมากแล้ว
เขาครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย ขณะก้าวเท้าเข้าประตูใหญ่ของเรือนหลีอิน
เฉิงฉือสวมชุดจื๋อตัวผ้าฝ้ายเนื้อบางเบาสีน้ำเงินไพลินเรียบง่ายตัวหนึ่ง บริเวณเอวคาดเอาไว้ด้วยผ้าคาด มีถุงหอมกับตราประทับห้อยอยู่ ทั้งดูสุขุม ติดดิน ทว่าก็ดูสูงส่งยิ่ง
เฉิงสวี่พลันรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
เขาน่าจะประดับเครื่องประดับสักสองสามชิ้นไว้ที่บริเวณเอวเหมือนท่านอาสี่ถึงจะถูก
เขาก้าวออกไปค้อมตัวทำความเคารพอย่างนอบน้อม แต่หลังจากที่ยืนตัวตรงแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างมีชีวิตชีวา กล่าวขึ้นว่า “ท่านอาสี่ ข้าอ่านตำราเตรียมสอบอยู่ที่เรือนตัวจย้าได้หรือไม่ขอรับ ที่นั่นจัดเก็บและทำความสะอาดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เคลื่อนย้ายอีกก็ยุ่งยากเปล่าๆ! อีกอย่าง ข้ายังอยากไปคารวะยามเช้าและเย็นท่านย่าทุกวันด้วยขอรับ…”
เขาเป็นหลานชายคนโตของจวนหลัก เป็นว่าที่ผู้นำตระกูลเฉิงในอนาคต ถึงแม้ลึกๆ แล้วจะหวาดกลัวเฉิงฉืออยู่บ้างเล็กน้อย แต่ก็มีด้านที่ไม่คิดมากอยู่ด้วย กล่าวคือ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นอาของตัวเอง ตอนที่ไม่ได้อยู่ในห้องหนังสือจะไม่อนุญาตให้เขาลองต่อรองเล่นๆ สักครั้งดูหน่อยเลยหรือ! ต่อให้มีอะไรที่ไม่ถูกไม่ควร อย่างมากก็ถูกติเตียนครั้งหนึ่งก็เท่านั้น ท่านอาสี่คงไม่สั่งลงโทษตนด้วยเรื่องเล็กน้อยพวกนี้หรอกกระมัง
เฉิงฉือชำเลืองมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกครั้งหนึ่ง เฉิงสวี่จึงรู้ว่าเรื่องนี้ไม่เป็นผลสำเร็จ
เขาร้องโอดครวญออกมาเสียงหนึ่งอย่างอดไม่ได้
เฉิงฉือเดินตัวตรงมุ่งหน้าออกไปด้านนอก
เฉิงสวี่รีบตามออกไปอย่างรีบร้อน แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ กล่าวขึ้นว่า “ท่านอาสี่ ข้าสัญญาว่าครั้งนี้จะสอบให้ผ่าน ท่านให้ข้าพักอยู่ที่บ้านเถิดนะขอรับ ข้าไม่ได้เจอท่านย่ามาสองปีแล้ว คิดถึงท่านยิ่งนัก ท่านให้ข้าได้แสดงความกตัญญูอยู่ข้างกายท่านย่าเถิดนะขอรับ! อีกอย่าง อ่านตำราก็ต้องให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างการอ่านตำรากับการพักผ่อน ท่านคงไม่ขังข้าไว้ที่เจ่าหยวน ให้ข้าลืมตาก็คิดถึงปกิณกะความเรียง หลับตาก็คิดถึงปกิณกะความเรียงหรอกกระมัง การตัดขาดตัวเองออกจากโลกภายนอกเช่นนี้ จะสอบได้ผลลัพธ์ที่ดีได้อย่างไร ท่านพ่อเองก็กล่าวว่า ก่อนการสอบขุนนางช่วงสารทฤดูต้องออกไปพบปะสหายร่วมชั้นให้มากๆ ต้องไปสืบดูว่าความชอบของบรรดาผู้จัดการการสอบในปีนี้เป็นอย่างไร ต้องสั่งยาให้ถูกกับโรค…”
เฉิงฉือไม่แม้แต่จะมองเขาเลยสักนิด เดินตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว ราวกับไม่ได้ยินว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่อย่างไรอย่างนั้น กระทั่งเฉิงสวี่วิ่งพลางกล่าวเจื้อยแจ้วไม่หยุดมาถึงเบื้องหน้าเขา ขวางทางเขาเอาไว้ เขาถึงได้หยุดฝีเท้าลง กล่าวขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เจ้าก็อยู่ที่เรือนตัวจย้าเหมือนเดิม จากนั้นเวลาไม่มีธุระอะไรก็ออกไปพบปะสหายร่วมชั้นของเจ้า ไปสืบหาความชอบของบรรดาผู้จัดการการสอบเหล่านั้นดูสักหน่อย จะได้สั่งยาได้ถูกกับโรค ข้าก็มีธุระต้องออกไปจัดการอยู่พอดี น่าจะกลับมาหลังเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ เจ้าเห็นว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ความหมายก็คือจะสะบัดมือไม่สนใจแล้วนั่นเอง!
บิดาเคยกล่าวเอาไว้ว่า ถึงแม้จะไม่รู้ว่าในบรรดาผู้จัดการการสอบเหล่านั้นผู้ใดเป็นหัวหน้าและผู้ใดเป็นผู้ช่วยก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือมีหนึ่งท่านเป็นผู้ที่สอบผ่านปีเดียวกันกับท่านอาสี่
มิใช่ว่าเขาไม่มีความมั่นใจว่าจะสอบผ่าน แต่ถ้าอยากสอบให้ได้เจี้ยหยวน ไม่สั่งยาให้ถูกกับโรคไม่ได้จริงๆ!
ท่านอาสี่คงไม่ได้คิดเช่นนี้จริงๆ หรอกกระมัง
หากท่านอาสี่สะบัดมือไม่สนใจเพราะตนไม่เชื่อฟังจริงๆ ล่ะก็ อันดับแรกบิดาคงรู้สึกเสียใจ…ส่วนเรื่องงานแต่งของเขากับโจวเสาจิ่นก็คงไม่ต้องพูดถึงแล้ว!
เฉิงสวี่มองใบหน้าเงียบขรึมของเฉิงฉือแล้ว ก็ตะลึงงันไปอย่างโง่งมเล็กน้อย
เฉิงฉือเอี้ยวตัวเดินผ่านเฉิงสวี่แล้วเดินตรงไปข้างหน้าต่อ
เฉิงสวี่ไม่กล้าพูดอะไรอีก เดินมุ่งหน้าไปทางศาลาทิงอวี่ตามหลังเฉิงฉือไปอย่างเชื่อฟัง ในใจเต็มไปด้วยความหดหู่
ฮวนสี่และอีกหลายคนยิ่งแล้วใหญ่ ได้แต่เดินตามหลังอยู่ห่างๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ออกจากเรือนหลักแล้ว ผ่านประตูหรูอี้ไปแล้ว กระทั่งเดินอยู่บนโถงทางเดินสี่ฤดูแล้ว เฉิงสวี่ถึงได้รู้สึกถึงความผิดปกติ
เบื้องหน้าก็เป็นศาลาทิงอวี่แล้ว ทว่ากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของท่านย่ากับโจวเสาจิ่น!
เขารีบก้าวออกไปเบื้องหน้าสองสามก้าวมาอยู่ข้างๆ เฉิงฉือ กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านอาสี่ เหตุใดถึงไม่เห็นท่านย่าเลยขอรับ”
เฉิงสวี่ไม่กล้าถามถึงโจวเสาจิ่น กลัวเฉิงฉือจะถามเขาว่ารู้ได้อย่างไรว่าโจวเสาจิ่นย้ายมาอยู่ที่เรือนหานปี้ซานแล้ว
เฉิงฉือกล่าวอย่างเป็นปกติว่า “ท่านย่าของเจ้าไม่อยากมาร่วมงานเลี้ยงของท่านผู้นำตระกูลจวนรอง ก็เลยไม่มาด้วย”
อ่า!
เฉิงสวี่กระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง ลูบเหงื่อบนหน้าผากพลางกล่าว “เพราะอะไรหรือขอรับ ทุกคนต่างก็มาร่วมงาน เหตุใดท่านย่าถึงไม่มาหรือขอรับ!”
เฉิงฉือยืนนิ่ง มองเฉิงสวี่ที่ดวงหน้าเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย นึกถึงถ้อยคำเหล่านั้นที่โจวเสาจิ่นพูดกับเขา ความคิดแล่นกลับไปกลับมา กล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า “ตระกูลอื่นล้วนเป็นจวนหลักที่ดูแลระเบียนประวัติของตระกูล เป็นคนดูแลจัดการกิจการงานของครอบครัว แต่ปู่ทวดของเจ้าอายุน้อยกว่าท่านผู้นำตระกูลจวนรอง จึงต้องให้ท่านผู้นำตระกูลจวนรองเป็นผู้ดูแลระเบียนประวัติของตระกูล และดูแลจัดการกิจการงานของครอบครัว จนมาถึงรุ่นปู่ของเจ้า ท่านผู้นำตระกูลจวนรองคิดว่าเงินเดือนของขุนนางช่างน้อยนิด ไม่เพียงพอจะค้ำจุนค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้ แต่การดูแลจัดการกิจการงานของครอบครัวกลับสามารถดึงเงินของทั้งสองบ้านมาใช้ได้ ไม่จำเป็นต้องรับเงินสินบน ไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของใคร ไปได้ไกลกว่าการรับราชการยิ่งนัก จึงอยากให้เฉิงลี่บุตรชายของตัวเองเป็นผู้จัดการดูแลกิจการงานของครอบครัว แต่ใครจะรู้ว่าเฉิงลี่กลับวาสนาไม่ดี ตอนที่ออกไปทำการค้านั้นถูกคนจากกลุ่มเดินสมุทรสังหาร เวลานั้นท่านผู้นำตระกูลจวนรองยุ่งอยู่กับหน้าที่ในราชสำนัก ไม่มีกำลังมาดูแลจัดการกิจการงานของซอยจิ่วหรู รวมทั้งไม่มีคนที่พอจะมาช่วยเขาดูแลได้ จำต้องยกเอากิจการงานของครอบครัวให้มาอยู่ในความดูแลของจวนหลัก ตอนนั้นปู่ของเจ้าเสียชีวิต บิดากับอารองของเจ้าเพิ่งจะเข้ารับราชการ หลังจากผ่านพ้นช่วงไว้ทุกข์แล้วยังต้องอาศัยความช่วยเหลือของท่านผู้นำตระกูลจวนรองช่วยเรียกตัวกลับไปดำรงตำแหน่งตามเดิม จึงให้คำมั่นว่าต่อไปจะให้ข้าดูแลกิจการงานของครอบครัวต่อ ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ข้าจะสอบได้จิ้นซื่อแล้ว ทว่าก็ไม่อาจเข้ารับราชการได้ ย่าของเจ้าเกลียดชังเขาที่เห็นแก่ผลประโยชน์จนไม่สนถูกผิด โยนหินใส่คนที่ตกลงไปในบ่อ เหยียบซ้ำคนที่ล้ม ดังนั้นต่อให้ผ่านมาหลายปีถึงเพียงนี้แล้วแต่ก็ยังไม่อยากพบหน้าเขา…
…เจ้ายังอยากให้ท่านย่าของเจ้ามาร่วมงานเลี้ยงที่ท่านผู้นำตระกูลจวนรองเป็นคนจัดอีกหรือ”
เฉิงสวี่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าบื้อใบ้ ปากเปิดๆ ปิดๆ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่อาจเปล่งอะไรออกมาได้สักประโยค
เฉิงฉือยิ้มเย็น เดินไปยังศาลาทิงอวี่
สิ่งที่ควรพูดเขาล้วนพูดไปหมดแล้ว ถ้าเฉิงเจียซ่านยังถูกหลอกได้ เช่นนั้นผู้ใดจะมานั่งเป็นผู้นำตระกูลของซอยจิ่วหรู พี่ชายใหญ่กับพี่ชายรองคงต้องมาหารือกันจริงๆ แล้ว
***
โจวเสาจิ่นกำลังวัดตัวให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว ส่วนปี้อวี้และอีกหลายคนบ้างก็ถือที่วัดยืนอยู่ข้างๆ บ้างก็ถือพู่กันนั่งอยู่ข้างๆ
“หนึ่งสอง…สองหนึ่ง…สองห้า…ตรงนี้ท่านต้องเก็บสองชุ่นถึงจะดีเจ้าค่ะ” นางมองสายวัดที่อยู่ในมือ “ข้าคิดว่าเช่นนี้เมื่อทำชุดเสร็จแล้วจะพอดีตัวกว่าเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า กล่าวขึ้นว่า “ข้าอายุมากแล้ว ชอบสวมใส่ชุดที่หลวมๆ หน่อย”
“เพราะอย่างนั้นข้าถึงได้เก็บแค่สองชุ่นเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นขยิบตาให้พลางกล่าวยิ้มๆ “ชุดสำหรับฤดูใบไม้ร่วงไม่เหมือนกับของฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วงมีลม ค่อนข้างหนาวแล้ว ทำเสื้อผ้าให้พอดีตัวกว่าก็ช่วยให้อบอุ่นมากกว่าเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังคงลังเลเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นกล่าวรับประกันว่า “ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ! ถ้ารู้สึกว่าสวมใส่ไม่สบายตัว ถึงเวลานั้นข้าค่อยแก้กลับมาเป็นดังเดิมให้ท่านก็ได้เจ้าค่ะ”
“เจ้ากำลังหลอกล่อข้า!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็หลุดหัวเราะพลางกล่าว “ข้าเคยแต่ได้ยินว่าเสื้อผ้าตัวใหญ่แก้ให้เป็นตัวเล็กได้ ยังไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดที่แก้ชุดตัวเล็กให้หลวมขึ้นได้”
โจวเสาจิ่นหัวเราะร่าอย่างไม่เห็นด้วย สีหน้าเผยความมั่นใจต่อฝีมือการตัดเย็บเสื้อผ้าของตัวเองออกมาให้เห็น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็เก็บสองชุ่นก็แล้วกัน หากสวมใส่แล้วไม่สบายตัว อย่างไรเจ้าก็ยังต้องทำชุดให้ข้าอีกหนึ่งชุด”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกล่าวพร้อมกับยิ้มตาหยี
เจินจูที่มีหน้าที่นั่งจดขนาดตัวอยู่ข้างโต๊ะอดหัวเราะไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า เช่นนั้นข้าจะจดให้เล็กลงสองชุ่นนะเจ้าคะ!”
“ไม่ต้องๆ” โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “ที่ข้าบอกไปล้วนเป็นขนาดสุทธิแล้ว เจ้าเขียนตามที่ข้าบอกก็พอ ตอนที่ข้าเย็บจะเก็บตามนั้น”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ดูแล้วนี่เจ้าเป็น ‘ขุนพลในสนามรบที่ไม่ฟังคำสั่งของนายเหนือหัว’ ทำก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลัง กะจะทำชุดสำหรับฤดูใบไม้ร่วงให้ข้าตามขนาดที่ตัวเองคิดว่าเหมาะสมตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่นา!”
โจวเสาจิ่นคิดเช่นนั้นจริงๆ
นางไม่ชอบให้เสื้อผ้าสวมใส่อยู่บนร่างกายแล้วดูหลวมโคร่ง
แล้วก็มิใช่ว่าไม่มีผ้า
ผ้าเก็บเอาไว้นานก็เปื่อยยุ่ย แบบลายดอกไม้เก็บเอาไว้นานก็ล้าสมัย
แน่นอนว่าสวมใส่แล้วพอดีตัวย่อมดีกว่า
โจวเสาจิ่นเห็นว่าถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะกล่าวเช่นนั้น ทว่าก็ไม่มีท่าทางกรุ่นโกรธ จึงรู้ว่ากำลังกล่าวล้อนางเล่นเท่านั้น ก็เลยปิดปากหัวเราะไม่หยุด
คนที่รับใช้อยู่ภายในห้องหลายคนก็หัวเราะขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยเช่นกัน
โจวเสาจิ่นจึงดึงตัวฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปเลือกผ้า “…ทำเสื้อตัวในสีเหลืองเข้มตัวหนึ่ง ส่วนด้านนอกเป็นชุดเพ่ยจื่อสีน้ำตาล ปักลายดอกหกแฉกสีแดงเข้ม ดูเคร่งขรึมและสดใสไปในตัว”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็พยักหน้าหงึก ชมนางว่าเลือกสีได้ดี
ปี้อวี้รีบหยิบม้วนผ้าตามสีที่โจวเสาจิ่นกล่าวมาออกมาวางไว้ข้างๆ
โจวเสาจิ่นเลือกผ้าไหมทอกำมะหยี่ของเจียงซูกับผ้าทอลายนูนให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอีกสองสามสี
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวล้วนบอกว่าดีทุกอย่าง
แต่ตอนที่โจวเสาจิ่นมองไปที่ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดบางเบาของซงเจียงสีขาวที่วางอยู่ข้างๆ แล้ว กลับกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ความจริงแล้วเหมาะกับให้ท่านน้าฉือสวมใส่ยิ่งนัก เนื่องจากผ้าฝ้ายทั้งระบายลมและเก็บความอบอุ่นได้ดี ไม่ว่าจะสวมใส่ในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง หรือฤดูหนาวล้วนดีทั้งนั้น ต่อให้ไม่มีผ้าไหมแบบเรียบลื่นมันวาวก็ตาม”
เห็นโจวเสาจิ่นกล่าวชมเฉิงฉือ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเผยสีหน้ามีความสุขออกมา ทว่าปากกลับเอ่ยขึ้นว่า “เขานั้นออกนอกลู่นอกทางที่ควรจะเป็นมากนัก ไม่เหมือนพี่ชายทั้งสองของเขามาตั้งแต่เด็กแล้ว ดื้อรั้นยิ่ง ตอนนั้นข้าเคยคิดว่า หากข้าไม่ให้กำเนิดบุตรชายคนเล็กผู้นี้ออกมาจะดีเพียงไร! แต่ตอนนี้ คนที่อยู่เป็นเพื่อนข้างกายข้ากลับเป็นบุตรชายคนเล็กผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้เป็นคนที่พระพุทธองค์ประทานมาให้ เป็นความสุขในบั้นปลายชีวิตของข้า”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
หากฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้ว่าท่านน้าฉือเตรียมจะไปจากตระกูลเฉิง จะต้องเศร้าเสียใจมากเพียงใด!
ชาติก่อน ถ้าท่านน้าฉือรั้งอยู่ที่ตระกูลเฉิง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะมีชีวิตยืนยาวกว่านั้นอีกสักหน่อยหรือไม่นะ