โจวเสาจิ่นไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับไปชั่วขณะ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยว่า “ข้าเห็นสีหน้าของเจ้าไม่สู้ดีนัก”
จริงหรือ
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน พลางกล่าว “ท่านน้าฉือเพิ่งออกไปเมื่อครู่เจ้าค่ะ…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็ลุกขึ้นมานั่ง ถามอย่างเคร่งขรึมว่า “เขามาตั้งแต่เมื่อไร เจ้าน่าจะปลุกข้าสักหน่อย เขาได้กล่าวอะไรหรือไม่”
โจวเสาจิ่นช่วยหยิบเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยที่แขวนอยู่ข้างราวแขวนเสื้อผ้ามาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว พลางกล่าวว่า “ท่านน้าฉือมาดูท่านเจ้าค่ะ…”
ทั้งสองคนต่างไม่ได้คิดจะปลุกฮูหยินผู้เฒ่ากัว กระทั่งกลัวว่าจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าตื่นขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ จึงกดเสียงให้ต่ำลงระหว่างสนทนากันและทำอะไรเบามือเบาเท้าเป็นพิเศษ…โจวเสาจิ่นหน้าแดงเรื่อ รู้ดีว่าเรื่องบางเรื่องไม่อาจปกปิดฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ จึงเลือกเล่าเฉพาะส่วนสำคัญ “อาจเพราะกลัวว่าท่านจะได้ยินอะไรมาแล้วรู้สึกเป็นกังวล พอมาถึงก็เห็นท่านนอนหลับไปแล้ว ท่านน้าฉือบอกว่ายังมีธุระอื่นอีก จึงออกไปข้างนอกแล้วเจ้าค่ะ”
วันนี้เฉิงฉือปะทะคารมกับเฉิงซวี่ต่อหน้าธารกำนัลในจวน ไม่ว่าจะกล่าวจากแง่มุมไหน เฉิงซวี่ย่อมไม่อาจอยู่นิ่งเฉยโดยไม่ตอบกลับอะไรเช่นนี้เป็นแน่ การที่เฉิงฉือจะทำการเตรียมพร้อมหรือมีแผนการอะไรบางอย่างไว้จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้กล่าวอะไรมากอีก
โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง อดคิดในใจไม่ได้ว่า ฮูหยินผู้เฒ่ากัวน่าเกรงขามยิ่งนัก ท่านน้าฉือเองก็น่าเกรงขามมากเช่นกัน แต่ไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะรักใคร่เอ็นดูนางอย่างไร ยามที่นางอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวล้วนรู้สึกกดดันเล็กน้อย ในทางกลับกัน บางครั้งท่านน้าฉือกระทั่งกระเซ้าเย้าแหย่นาง ทว่านางกลับรู้สึกว่าท่านน้าฉือไม่ได้ปฏิบัติกับนางเหมือนเป็นคนนอก ไม่เพียงไม่รู้สึกหวาดกลัวยังรู้สึกใกล้ชิดมากอีกด้วย…
จากความรู้สึกของนางแล้วเหตุใดทั้งสองคนถึงได้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงถึงเพียงนี้นะ
โจวเสาจิ่นก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
นางช่วยประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวลุกขึ้นจากเตียง
ปี้อวี้ที่นำสาวใช้เด็กยกน้ำร้อนเข้ามาส่งสายตาให้นางไม่หยุด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่นั่งอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งมองเห็นจากในกระจกได้อย่างชัดเจน นางอดกล่าวยิ้มๆ ไม่ได้ว่า “ปี้อวี้ ระวังจะขยิบตาจนกลายเป็นตาชักกระตุก”
ปี้อวี้หน้าแดงเถือก
ทุกคนหัวเราะดังลั่นไปทั้งห้อง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงกล่าวว่า “เจ้ามีเรื่องต้องการคุยกับเสาจิ่นหรือ ถ้าข้าอยู่ด้วยแล้วไม่สะดวกคุย ก็พานางออกไปคุยข้างนอก มาขยิบตาให้กันต่อหน้าข้าตรงนี้ ไม่กลัวเลยว่าพรุ่งนี้จะให้เจ้าแต่งออกไป”
ปี้อวี้เขินอายจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา
นางกับเฝ่ยชุ่ยล้วนถึงวัยแต่งงานแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวช่วยหาสามีให้ทั้งสองคน โดยเลือกพ่อบ้านมาสองคนซึ่งล้วนแล้วแต่มีลักษณะนิสัยและหน้าตาที่โดดเด่นยิ่งจากบรรดาบ่าวไพร่รุ่นเดียวกัน คนหนึ่งมีนามว่าจั่วเสียน อีกคนนามว่าติงหรง ฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าก็จะออกเรือนแล้ว
เรื่องนี้เพิ่งตกลงกันได้ไม่กี่วันก่อน โจวเสาจิ่นมอบปิ่นทองคำยาวห้าหกเฟิ่นแก่ทั้งสองคนต่อหน้าทุกคนไปคนละหนึ่งคู่ ทว่ายังมอบกำไลทองคำหนักประมาณสี่เหลี่ยงเพิ่มให้ปี้อวี้เป็นการส่วนตัวอีกหนึ่งคู่
เจินจูคล้องแขนของโจวเสาจิ่นพลางหัวเราะร่าจนตัวงอ
ข้างนอกฝนเทกระหน่ำลงมา
ไม่ง่ายเลยกว่าปี้อวี้จะเงยหน้าขึ้นมาได้ กล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “เป็นคุณหนูเจียของจวนสามเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่าจะมีปากเสียงกับฮูหยินใหญ่หลู ร้องห่มร้องไห้วิ่งมาถึงเรือนหานปี้ซาน แต่ไม่ยอมเข้ามา เอาแต่นั่งนิ่งอยู่บนธรณีประตูอย่างเหม่อลอย ข้าถามนาง นางบอกว่ามาหาคุณหนูรอง ตอนนั้นท่านกำลังนอนพักผ่อนอยู่ ข้าจึงให้เสี่ยวถานเชิญนางไปที่เรือนฝูชุ่ย เมื่อครู่เสี่ยวถานมาแจ้งข้าว่า คุณหนูเจียนอนร้องห่มร้องไห้บนเตียงของคุณหนูรองมาหนึ่งชั่วยามแล้ว ในใจข้าเป็นกังวลยิ่งนัก จึงส่งสายตาให้คุณหนูรอง…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวขมวดคิ้วเป็นปมไม่หยุด พลางกล่าวว่า “ทุกคนล้วนกล่าวว่าเจียงซื่อเป็นสตรีผู้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมอันดีมิใช่หรือ ข้าดูแล้วคงมิใช่เรื่องจริงเสมอไปกระมัง ลูกโตถึงเพียงนี้แล้ว ไม่ว่าจะพบเจอเรื่องอะไร ก็ควรจะพูดเกลี้ยกล่อมมิใช่ห้ามปรามอย่างเดียว นางทำเช่นนี้ ไม่ช้าไม่เร็วจะต้องบีบคั้นบุตรสาวจนเสียคนเป็นแน่ เสาจิ่น ทางด้านนี้ข้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เจ้าไปดูนางเถิด ต้องค่อยๆ ปลอบใจนางให้ดี ทว่าก็ไม่อาจดึงเรื่องของนางมาข้องเกี่ยวกับตนเอง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร สุดท้ายหลานเจียกับเจียงซื่อก็เป็นแม่ลูกกัน หากคนนอกยื่นมือเข้าไปในเวลานี้แล้วจัดการได้ดีก็ถือว่าดีไป แต่ถ้าจัดการได้ไม่ดี กลัวว่าทั้งสองฝ่ายจะผิดใจกัน กลายเป็นทำดีแล้วไม่ได้ดีไปเสีย!”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ กล่าวว่า “ข้าจะจดจำถ้อยคำของท่านเอาไว้เจ้าค่ะ” แต่จะให้นางปล่อยมือออกไปเช่นนี้ นางก็รู้สึกยังเป็นห่วงฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่บ้าง กล่าวว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า หรือไม่ ท่านกับพวกปี้อวี้เล่นไพ่ใบไม้กันดีหรือไม่เจ้าคะ ตอนนี้ยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วยามกว่าจะถึงเวลารับประทานอาหารค่ำ หากผู้ใดชนะในวันนี้จะได้เข้าไปสั่งกับข้าวเพิ่มที่ครัวเล็กได้หนึ่งอย่าง!”
ปี้อวี้และคนอื่นๆ เองก็อยากจะหลอกล่อให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีอารมณ์เบิกบานเช่นเดียวกัน แต่ด้วยสถานะของพวกนาง จึงไม่มีผู้ใดที่อาจหาญเท่าโจวเสาจิ่น ที่กล้าตัดสินใจแทนฮูหยินผู้เฒ่ากัว พอได้ยินแล้วก็พากันพูดเย้าแหย่อย่างอดไม่ได้ว่า “คุณหนูรอง ท่านไม่อาจใช้คุณหนูเจียมาเป็นข้ออ้างเพื่อหลบหนีไปหรอกนะเจ้าคะ แม้นตัวท่านออกไปได้ แต่ต้องทิ้งเงินเอาไว้ด้วยเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นเองก็มีใจอยากจะหยอกเย้ากับพวกนางเช่นกัน กล่าวขึ้นว่า “ข้ามีเศษเงินอยู่สองเหลี่ยง มอบให้พวกเจ้าทั้งหมดเลยก็แล้วกัน!”
“คุณหนูรองนี่ออกจะเกินไปแล้วกระมัง” เจินจูอยากให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้นอีกเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “จะทิ้งพวกเราไว้ด้วยเงินแค่สองเหลี่ยง พวกเราไม่ยอมหรอกเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ พลางกล่าว “เช่นนั้นเจ้าต้องการเท่าไร”
“อย่างไรก็ต้องมีสักสามถึงห้าเหลี่ยงเจ้าค่ะ” เจินจูกล่าวยิ้มๆ
“ไอ้โหยว!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ กล่าวขึ้นว่า “สาวใช้ใหญ่ข้างกายข้า เงินแค่สามถึงห้าเหลี่ยงก็จะเอาให้ได้ เจ้าช่างมีแววนัก!”
หมาเหน่าและคนอื่นต่างหัวเราะขบขัน
โจวเสาจิ่นจึงบอกให้ชุนหว่านกับปี้เถาเข้ามาจัดโต๊ะ รอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเริ่มเล่นไพ่ใบไม้กันแล้วถึงได้ฝ่าฝนไปที่เรือนฝูชุ่ย
นัยน์ตาของเฉิงเจียแดงก่ำจนเหมือนลูกท้อ กำลังนั่งเอามือเท้าคางหน้าโต๊ะเขียนหนังสือข้างหน้าต่างในห้องของโจวเสาจิ่นอย่างเหม่อลอย
นกขมิ้นสองตัวที่แขวนไว้ที่ระเบียงส่งเสียงร้องจิ๊บๆ ยิ่งทำให้นางดูหงอยเหงาไร้ชีวิตชีวาเข้าไปใหญ่
“เจ้าเป็นอะไรไปหรือ” โจวเสาจิ่นนั่งลงหน้าโต๊ะ บอกให้สาวใช้เด็กยกน้ำชาและของว่างเข้ามา
“เจ้ากลับมาแล้ว!” เฉิงเจียคืนสติกลับมาอย่างเกียจคร้าน กล่าวว่า “วันนี้ท่านแม่ของข้าด่าทอข้าไปคำรบหนึ่ง กล่าวว่าข้าไม่รู้จักสำรวมกิริยา…” ขณะที่นางกล่าว ก็ร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าว่า มีผู้เป็นแม่ที่ไหนจะด่าทอบุตรสาวของตนเช่นนี้…พี่ชายจิ้งเพียงได้รับตำรายาจากหมอเทวดาคนหนึ่งมา ต้มสุราสงหวงชุดหนึ่งด้วยตนเองแล้วให้คนนำมามอบให้ แล้วก็ไม่ได้ระบุชื่อด้วยซ้ำว่าต้องมอบให้ข้า ส่วนของนางก็มี ส่วนของท่านยายก็มี แม้แต่ส่วนของเจ้าก็มีด้วย หากนางไม่ชอบใจ ก็คืนของให้พ่อบ้านของตระกูลหลี่ไปก็พอ…เพียงเพราะข้าไปคุยกับบ่าวหญิงสูงวัยที่นำสุรามาส่งให้สองสามประโยคเท่านั้น…”
โจวเสาจิ่นคิดถึงถ้อยคำย้ำกำชับของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเมื่อครู่ กล่าวขึ้นว่า “เอาเถิด จะมีแม่ลูกที่ไหนที่ชิงชังกันได้เพียงชั่วข้ามคืน หลี่จิ้งเองก็เหมือนกัน มิใช่ว่าส่งของขวัญวันไหว้บ๊ะจ่างมาแล้วหรอกหรือ เหตุใดถึงได้สร้างปัญหาใหม่ด้วยการส่งสุราสงหวงมาให้นอกเทศกาลเป็นพิเศษอีกเล่า ต่อจากนี้ไปเจ้าก็สนใจคนจากตระกูลของพวกเขาให้น้อยลงก็พอ” จากนั้นก็เอ่ยถามอีกว่า “เจ้าวิ่งออกมาตั้งแต่เมื่อใด แล้วชุ่ยหวนเล่า ไฉนนางถึงไม่ติดตามเจ้ามาด้วย ท่านป้าใหญ่หลูรู้ว่าเจ้ามาหาข้าที่นี่หรือเปล่า อยากให้ข้าไปพูดกับท่านป้าใหญ่หลูสักหน่อยหรือไม่ แม้ว่าปากท่านป้าใหญ่หลูจะกล่าวไปเช่นนั้น แต่ในใจย่อมต้องยังเป็นกังวลถึงเจ้ามากเป็นแน่…”
ทว่าเฉิงเจียได้ยินแล้วกลับกัดริมฝีปาก เลี่ยงที่จะตอบแล้วกระซิบถามว่า “เสาจิ่น บ่าวหญิงสูงวัยผู้นั้นบอกว่า พี่ชายจิ้งมีธุระต้องมาหารือที่จินหลิง พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมเกาเซิงไม่ไกลจากจวนของพวกเรานัก เจ้าว่า ข้าไปพบเขาดีหรือไม่”
โจวเสาจิ่นสะดุ้งตกใจจนเกือบทำจอกน้ำชาคว่ำ เอ่ยถามอย่างกรุ่นโกรธว่า “จะ…เจ้าจะทำอะไร”
“เจ้าเบาเสียงลงหน่อย!” เฉิงเจียมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง กระซิบว่า “ความคิดนี้ข้าบอกเจ้าเพียงคนเดียว เจ้าจะต้องช่วยข้าเก็บเป็นความลับนะ!”
“ข้าช่วยเจ้าเก็บเป็นความลับไม่ได้หรอก” ชาติที่แล้วโจวเสาจิ่นถูกทำร้ายจนชอกช้ำ ชีวิตนี้จึงกลัวว่าเฉิงเจียจะถูกเอาเปรียบเอาได้ ชาติก่อนหลี่จิ้งดีกับเฉิงเจียมาก แต่เหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตนี้กลับแปรเปลี่ยนไปบ้างแล้ว ใครจะกล้าตบอกรับประกันได้อีกเล่า “เจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้ หากเจ้าทำเช่นนี้…มีแต่จะทำให้ท่านป้าใหญ่หลูยิ่งไม่ชอบใจหลี่จิ้งเข้าไปใหญ่ คิดว่านี่เป็นแผนการของเขา…อย่างไรเขาก็อายุมากกว่าเจ้าหลายปี!”
โจวเสาจิ่นให้เหตุผลหนึ่งที่พอจะทำให้เฉิงเจียยอมรับได้
แต่ใครจะรู้ว่าเฉิงเจียกลับฟังไม่เข้าหูเลยแม้แต่น้อย ยังกล่าวพึมพำกับตนเองอยู่ที่นั่นว่า “ความจริงข้าจำไม่ได้แล้วว่าพี่ชายจิ้งหน้าตาเป็นเช่นไร…รู้แต่ว่าเขารูปร่างสูงยิ่งนัก…ทว่าเหตุใดเขาถึงได้ตกหลุมรักข้าเล่า ตอนนั้นเจ้าก็อยู่ด้วย! เจ้างดงามกว่าข้ามาก…ทว่าเขากลับไม่มองเจ้าเอาแต่มองข้า แสดงว่าเขาต้องคิดว่าหน้าตาของข้างดงามกว่าเจ้า…เจ้าว่า เขาต้องการทำอะไรกันแน่ รู้อยู่แก่ใจว่าครอบครัวของข้าไม่มีทางเห็นด้วยกับการแต่งงานนี้ เหตุใดเขาต้องนำความอัปยศอดสูให้ตัวเองด้วยเล่า! เจ้าไม่รู้ ของขวัญเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง เป็นพี่ชายจิ้งที่ส่งมาให้ด้วยตัวเอง ท่านแม่ของข้าไม่บอกให้ท่านพ่อของข้าทราบเลยสักนิด เพียงส่งพ่อบ้านธรรมดาคนหนึ่งไปต้อนรับพี่ชายจิ้งเท่านั้น…ได้ยินบ่าวหญิงสูงวัยของพี่ชายจิ้งบอกว่า พี่ชายจิ้งก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงของทางลั่วหยางผู้หนึ่งเหมือนกัน…”
โจวเสาจิ่นแทบอยากจะเรียกสาวใช้เด็กมาราดน้ำเย็นบนศีรษะของเฉิงเจียสักถังหนึ่งเสียเหลือเกิน
“เจ้าไปพบเขาไม่ได้เป็นอันขาด!” นางทำได้แต่พูดข่มขู่เฉิงเจียเท่านั้น “หากเจ้าไปพบเขา ข้าก็จะบอกท่านป้าใหญ่หลู”
ประโยคสุดท้ายนี้กลับทำให้เฉิงเจียบังเกิดเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา
นางมองโจวเสาจิ่นอย่างดูแคลนทีหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ข้าโง่งมนักหรืออย่างไร หากข้าไปพบเขา แล้วเขาทำร้ายข้าขึ้นมาข้าจะทำอย่างไร! ข้าจะให้เขามาหาข้า! มิใช่ว่าเขาเก่งกาจมากหรอกหรือ เช่นนั้นก็ต้องหาทางมาพบข้าให้ได้” กล่าวถึงตรงนี้ นางราวกับนึกฉากน่าสนุกบางอย่างขึ้นมาได้ จู่ๆ ก็หัวเราะคิกคักขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “ถ้าหากเขาหาทางมาพบข้าได้ ข้าก็จะ…ข้าก็จะไปพูดกับท่านย่าของข้า”
โจวเสาจิ่นทำปากขมุบขมิบ ไม่รู้จะกล่าวอะไรดีแล้ว
ทว่าเฉิงเจียกลับถูกความคิดนี้ของตัวเองครอบงำไปเสียแล้ว นางไม่ร้องไห้อีกแล้ว มีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่ประหนึ่งบุบผาต้องหยาดน้ำค้าง คล้องแขนของโจวเสาจิ่นไว้แน่น พลางกล่าวด้วยใบหน้าเบิกบานว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ายุ่งอยู่กับการปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ากัว ข้าจะไม่รบกวนเจ้าแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน เจ้ารีบกลับไปที่เรือนหลักเถอะ!” จากนั้นไม่รอให้โจวเสาจิ่นได้เอ่ยตอบ ก็เดินจ้ำๆ ออกจากห้องไปเสียแล้ว
โจวเสาจิ่นไม่พูดอะไร
เฉิงเจียชาญฉลาดกว่าที่ตนคิดไว้นัก
รู้ว่าต้องให้หลี่จิ้งมาพบนาง
นางยังมีอะไรให้เป็นกังวลอีกเล่า
โจวเสาจิ่นกลับไปที่เรือนหลัก
เบื้องหน้าของเจินจูมีกองเหรียญทองแดงตั้งอยู่กองหนึ่ง
พอเห็นโจวเสาจิ่น นางรีบชี้ไปที่กองตรงหน้า กล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรอง ในที่สุดท่านก็มาแล้ว หากเล่นต่อไป เงินส่วนตัวอันน้อยนิดของปี้อวี้คงต้องเสียให้ข้าหมดแล้วเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม
ปี้อวี้ลุกขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง ท่านเล่นเถิดเจ้าค่ะ ข้าแพ้ติดต่อกันเก้าตาแล้ว…”
โจวเสาจิ่นกดปี้อวี้ให้นั่งลงกับที่ ยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าวางใจเถอะ! เมื่อครู่ข้าไม่อยู่ แต่ตอนนี้ข้ามาแล้ว เจินจูจะต้องพักชัยชนะทุกตาของนางแล้วล่ะ” ขณะที่นางกล่าวก็นั่งลงข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัว พลางกล่าวอย่างเคืองๆ ว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าต้องใจอ่อนให้นางเป็นแน่ พอเห็นเจินจูอยากได้ไพ่ใบไหนก็ทิ้งไพ่ใบนั้นให้ ข้าจะนั่งอยู่ข้างหลังฮูหยินผู้เฒ่าช่วยดูให้เจ้า จะไม่ปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าทิ้งไพ่ตามใจชอบอีก!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า
จวบจนเฉิงฉือกลับมาจากธุระข้างนอก ฝนก็หยุดตกแล้ว
ใบไม้ถูกสายฝนชะล้างจนเขียวชอุ่มเปล่งปลั่ง
แม้จะยังอยู่ไกล เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะชื่นมื่นดังมาจากเรือนหลักแล้ว
เมื่อเดินเข้าไปในห้องโถง ก็เห็นว่าปี้อวี้และคนอื่นๆ ต่างหัวเราะกันอย่างเริงร่า บ้างก็เก็บไพ่ใบไม้ บ้างก็เก็บโต๊ะไพ่ รื่นเริงกันเป็นอย่างยิ่ง มีแต่โจวเสาจิ่นเท่านั้นที่มุ่ยปากพลางกอดแขนมารดาเอาไว้ขณะยกหมอนรองศีรษะวางใต้แขนให้มารดาด้วยท่าทางแง่งอนราวกับได้รับความลำบากมา