โจวเสาจิ่นค้นพบว่านอกจากเฉิงเจีย กูที่สิบเจ็ด และจูจูแล้ว ตัวเองก็ไม่รู้จะเชิญใครอีกดี
ฝานหลิวซื่อช่วยออกความเห็นให้นาง กล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อท่านเชิญคุณหนูสิบเจ็ดของตระกูลกู้แล้ว ก็ควรจะส่งเทียบเชิญให้คุณหนูสิบแปดที่พักอยู่กับคุณหนูสิบเจ็ดผู้นั้นด้วยถึงจะถูก ส่วนบรรดาคุณหนูของตระกูลกัว จะให้ดีควรจะหาใครสักคนไปสืบดู ว่ามีผู้ใดบ้างที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับท่าน แล้วก็ในส่วนของฮูหยินใหญ่เหมี่ยนทางด้านโน้น ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะเชิญผู้ใด ถ้าฮูหยินผู้เฒ่ากวนตอบรับคำเชิญ อย่างไรฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก็ต้องคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายด้วยอย่างแน่นอน หากท่านไม่ส่งเทียบเชิญไปให้ เกรงว่าฮูหยินใหญ่เหมี่ยนต้องรู้สึกไม่ดีอยู่บ้างเป็นแน่ แต่ถ้าส่งเทียบเชิญไปให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยน ทางด้านฮูหยินใหญ่หลูมารดาของคุณหนูเจีย แม้จะไม่พูดอะไร แต่ก็คงจะรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง…”
ความสัมพันธ์พวกนี้ทำให้โจวเสาจิ่นหัวหมุนไปหมด นางจึงถือใบรายชื่อไปหาเฉิงฉือ
เฉิงฉือกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือตัวใหญ่คุยกับบุรุษรูปงามที่โจวเสาจิ่นเห็นในห้องหนังสือของเฉิงฉือเมื่อคราวก่อนผู้นั้นอยู่ เมื่อเห็นโจวเสาจิ่นพรวดพราดเข้ามา จึงกล่าวแนะนำบุรุษผู้นั้นให้โจวเสาจิ่นรู้จัก “ผู้นี้คือฮั่วตงถิง เจ้าเรียกเขาว่าลุงรองฮั่วก็ได้”
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าในห้องของเฉิงฉือมีผู้อื่นอยู่ด้วย ใบหน้าแดงเรื่อ รีบยอบกายทำความเคารพ
ฮั่วตงถิงตกตะลึงไปครู่หนึ่งถึงได้สติคืนกลับมา หลุบตาลงพร้อมกับถอยออกไปสองสามก้าวแล้วโค้งตัวให้ครั้งหนึ่ง
เฉิงฉือกล่าวกับฮั่วตงถิงว่า “เรื่องของพวกเราประเดี๋ยวค่อยมาคุยกันต่อ เจ้าไปพักดื่มชาที่ห้องน้ำชาสักจอกหนึ่งก่อน จะได้หารือกับฉินจื่ออันด้วยครู่หนึ่ง”
ฮั่วตงถิงประหลาดใจเป็นอย่างมาก
เขามองไปที่โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ ถึงได้ขานรับอย่างนอบน้อมว่า “ขอรับ” แล้วถอยออกไป
แม้แต่คนโง่ก็ดูออกว่าการพรวดพราดเข้ามาของนางขัดจังหวะการคุยธุระของเฉิงฉือ
โจวเสาจิ่นเกือบจะไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา จะเดินหน้าต่อหรือจะถอยหลังล้วนยากเย็น
อยากจะบอกให้บุรุษนามว่าฮั่วตงถิงผู้นี้อยู่คุยกับท่านน้าฉือต่อไป แต่ฮั่วตงถิงเป็นบุรุษ แล้วก็ไม่รู้ว่ามีความสัมพันธ์อะไรกับเฉิงฉือ นางจึงไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดหรือไม่ควรพูด กลัวว่าตนจะพูดอะไรผิดไป แต่หากไม่บอกให้บุรุษนามว่าฮั่วตงถิงผู้นี้อยู่ต่อ นางทำให้ธุระของเฉิงฉือต้องยุ่งเหยิงไปเช่นนี้ นางก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
แต่ชั่วขณะที่นางกำลังลังเลอยู่นั้น ฮั่วตงถิงก็ช่วยปิดประตูให้พวกเขาเรียบร้อยแล้ว
โจวเสาจิ่นหน้าร้อนผะผ่าว ก้มหน้าลงพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ ข้าไม่รู้ว่าในห้องของท่านมีผู้อื่นอยู่ด้วย…ต่อไปข้าไม่กล้าอีกแล้วเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือเห็นนางก้มหน้าจนศีรษะเกือบจะแนบกับหน้าอกอยู่แล้ว ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้ไม่ตำหนิเจ้า เป็นความผิดของพวกชิงเฟิงและหลั่งเย่ว์”
“มิใช่เจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมาก บังเกิดความกลัวว่าเฉิงฉือจะลงโทษชิงเฟิงหรือไม่ก็หลั่งเย่ว์ รีบเงยหน้าขึ้นมา กล่าวอย่างร้อนรนว่า “เป็นข้าที่ไม่เชื่อฟังคำของพวกชิงเฟิงและหลั่งเย่ว์ พรวดพราดเข้ามาเองเจ้าค่ะ…”
เฉิงฉือมองท่าทางร้อนรนจนเกือบจะร้องไห้ของนาง ทั้งรู้สึกน่าขบขันแล้วก็น่าโมโหไปด้วยในคราวเดียวกัน กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าลองพูดมา ว่าผิดที่ตรงไหน”
เอ๋?!
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง
ดวงตาโตที่เดิมทีใสแจ๋วคู่นั้น เวลานี้รื้นชื้นหม่นหมอง ดูสิ้นหวังและสับสน ประหนึ่งสัตว์ตัวน้อยที่ตกลงไปในกับดักแล้วพยายามร้องขอความช่วยเหลือ
ในใจของเฉิงฉือพลันอ่อนยวบจนสับสนวุ่นวายไปหมด
แต่เขายังคงทำใจแข็งกล่าวขึ้นว่า “เจ้าเดินไปเดินมาอยู่ในเรือนข้าบ่อยๆ พวกมามาหรือบ่าวชายที่เฝ้าเวรยามอยู่เหล่านั้นจึงไม่กล้าขวางเจ้าเอาไว้ คนที่เฝ้าเวรยามอยู่หน้าประตูเมื่อครู่คือชิงเฟิง ข้าให้เขาไปหยิบของบางอย่างมาให้ตงถิง ดังนั้นจึงไม่อยู่ตรงนั้นชั่วคราว ประตูห้องหนังสือก็ปิดเอาไว้ครึ่งหนึ่ง มองจากด้านนอกของประตูที่ปิดเอาไว้ครึ่งหนึ่งนั้น เจ้าคงเห็นเงาของข้านั่งอยู่ข้างโต๊ะหนังสือ ไม่ได้คิดอะไรมาก จึงผลักประตูเดินเข้ามาเลย ใช่หรือไม่”
ดวงตาของโจวเสาจิ่นยิ่งเบิกกว้างมากยิ่งขึ้น
ท่านน้าฉือช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!
เสมือนกับเห็นด้วยตาตัวเองก็ไม่ปาน
นางโน้มตัวเข้าไปหน้าโต๊ะหนังสืออย่างอดไม่ได้ จับจ้องไปที่เฉิงฉือไม่วางตา
แม้ว่าเฉิงฉือจะสงบนิ่ง แต่ก็เป็นบุรุษที่ยังไม่ได้แต่งงานผู้หนึ่ง พอถูกนางจ้องไม่วางตาเช่นนี้ ใบหูก็แดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
เขากระแอมไอเบาๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้ามองอะไร”
โจวเสาจิ่นกล่าว “เหตุใดท่านน้าฉือถึงราวกับมีดวงตาสามดวงก็ไม่ปาน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็รู้ไปหมด”
“พูดจาเลอะเทอะอะไรของเจ้า” เฉิงฉือได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวตำหนินางยิ้มๆ “ข้าเป็นเทพเจ้าสามตาผู้นั้นหรืออย่างไร”
เทพเจ้าสามตามีสุนัขติดตามอยู่ข้างกายด้วยตัวหนึ่ง
นางจะยกเสวี่ยฉิวให้เขาก็แล้วกัน
นึกภาพเสวี่ยฉิวที่กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ข้างเท้าของเฉิงฉืออย่างออดอ้อนแล้ว โจวเสาจิ่นก็หัวเราะคิกคักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวขึ้นว่า “เทพเจ้าสามตาเป็นบุรุษรูปงามเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือเคอะเขินเป็นอย่างยิ่ง
เด็กน้อยผู้นี้กำลังชมว่าเขารูปงามอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นอยากจะเอากระดาษสักแผ่นมาปิดปากตัวเองยิ่งนัก
เหตุใดพอพบหน้าท่านน้าฉือก็มักพูดจาไร้หัวคิดอยู่เรื่อย
นางมาวิพากษ์วิจารณ์หน้าตาของท่านน้าฉือต่อหน้าเขาเช่นนี้ได้อย่างไร
แต่อย่างไรก็ตาม ท่านน้าฉือรูปงามกว่าเทพเจ้าสามตาเสียอีก
ตรงหน้าผากของเทพเจ้าสามตามีดวงตาสวรรค์อยู่ด้วยดวงหนึ่ง ดูไม่ค่อยเป็นมงคลนัก แต่ท่านน้าฉือสง่างามสุภาพเรียบร้อย ปฏิบัติกับผู้อื่นอย่างอ่อนโยน เห็นแล้วทำให้คนบังเกิดความรู้สึกดี
โจวเสาจิ่นก้มหน้าลงอย่างขัดเขิน
ชั่วขณะนั้นทั้งสองคนราวกับถูกประโยคดังกล่าวทำให้แน่นิ่งไป ไม่มีใครพูดอะไร
ภายในห้องเงียบเชียบจนได้ยินเสียงลมพัดกิ่งไม้พลิ้วไหวดังเข้ามาจากด้านนอก
เสียงแผ่วเบาฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศรวมกับความรู้สึกกระอักกระอ่วนและ…ละเอียดอ่อนบางอย่างที่อธิบายออกมาไม่ได้!
เหมือนกับตอนที่เขาสัมผัสกับร่างอันอ่อนนุ่มของโจวเสาจิ่นโดยไม่ตั้งใจเมื่อคราวก่อน
เฉิงฉือกดทับความรู้สึกเหล่านี้เอาไว้ภายในใจอย่างร้อนรนเล็กน้อย รีบกล่าวขึ้นว่า “เจ้ามาหาข้าทำไม”
โจวเสาจิ่นร้อง “อ้อ” ออกมาเสียงหนึ่ง รีบกล่าวขึ้นว่า “ข้า…ข้ามาถามท่านน้าฉือว่าเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างนั้นข้าควรจะเชิญใครดีเจ้าคะ” นางเองก็รีบกดทับความคิดกวนใจเมื่อครู่เหล่านั้นเอาไว้ในใจอย่างร้อนรนด้วยเช่นกัน กล่าวขึ้นอย่างยากลำบากว่า “ข้าค้นพบว่าการเชิญแขกเป็นเรื่องที่ยุ่งยากไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ”
“มีอะไรให้ยุ่งยากกัน” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “เอาใบรายชื่อมาให้ข้าดูสักหน่อย!”
นี่เพียงแค่ให้นางเชิญแขกเท่านั้น หากว่าให้นางรับผิดชอบหน้าที่แม่บ้านแม่เรือนของซอยจิ่วหรู จะไม่ทำวุ่นวายจนเละเทะไปหมดหรอกหรือ
โจวเสาจิ่นยื่นใบรายชื่อที่เขียนไปแล้วสามรายชื่อส่งให้เฉิงฉือ
เฉิงฉือมองครั้งหนึ่ง ถามขึ้นว่า “มีอะไรไม่ถูกต้องหรือ”
เด็กน้อยผู้นี้อาศัยอยู่แต่ในบ้านตลอดทั้งปีสี่ฤดู หากมิใช่สวดมนต์คัดพระธรรมก็ทำงานเย็บปัก สามารถเชิญคนได้ถึงสามคนก็นับว่าไม่เลวแล้ว
โจวเสาจิ่นพึมพำกล่าวว่า “ฝานมามาบอกว่า ควรจะเชิญท่านป้าใหญ่เหมี่ยนด้วย ท่านป้าใหญ่เหมี่ยนเป็นผู้ใหญ่ ถ้าหากว่าฮูหยินผู้เฒ่าเชิญท่านยาย ท่านป้าใหญ่เหมี่ยนต้องตามไปด้วยอย่างแน่นอน…จากนั้นหากเชิญท่านป้าใหญ่เหมี่ยนแล้วจะไม่เชิญท่านป้าใหญ่หลูก็ไม่ดี…”
เฉิงฉือเข้าใจแล้ว กล่าวขึ้นว่า “เจ้ากลัวว่าเชิญผู้ใหญ่ไปแล้วพวกเจ้าจะอึดอัด แต่ก็กลัวว่าหากไม่เชิญ แล้วพอพวกผู้ใหญ่ได้รับเทียบเชิญจากแม่ของข้าแล้วจะคิดว่าเจ้าไม่เคารพพวกนาง ใช่ความหมายนี้หรือไม่”
โจวเสาจิ่นละอายใจยิ่งนัก
อยู่ต่อหน้าท่านน้าฉือนอกจากนางจะพูดจาติดขัดไม่ลื่นไหลแล้ว ยังต้องให้ท่านน้าฉือตีความเอาเองอีก
และก็ต้องชื่นชมท่านน้าฉือที่รู้ว่านางกำลังพูดอะไรอยู่
นิ้วมือของนางบิดเข้าหากันอย่างห้ามไม่อยู่
เฉิงฉือจึงเอ่ยขึ้นว่า “ไม่อนุญาตให้บิดนิ้วมือ รีบปล่อยลงเสีย!”
โจวเสาจิ่นร้อง “อ้อ” เสียงหนึ่ง รีบประสานมือเข้าด้วยกันแทน
เฉิงฉือเห็นนางเชื่อฟัง ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “เจ้าอยากให้ข้าช่วยไปสืบดูว่าท่านแม่เชิญผู้ใดบ้างมาให้เจ้าใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะๆ” จะให้ท่านน้าฉือไปทำเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะ กล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ยังมีตระกูลกัวอีก ไม่รู้ว่าควรจะเชิญใครดีเจ้าค่ะ”
ยิ่งพูดเสียงของนางก็ยิ่งเบาลง
หากเปลี่ยนจากนางเป็นพี่สาว ต้องไม่มารบกวนท่านน้าฉือเช่นนี้อย่างแน่นอน
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ที่ข้าจองห้องส่วนตัวที่หอชิงเยียน เดิมทีก็เพื่อให้เจ้าได้ไปเที่ยวเล่นให้สนุก กลัวว่าเจ้าไปคนเดียวแล้วจะเหงา ถึงได้ให้เจ้าเชิญคนไปด้วยอีกสักสองสามคน ถ้าคนที่เชิญไปด้วยล้วนเป็นคนที่เจ้าไม่รู้จัก หรือเป็นคนที่เจ้าไม่ชอบ เช่นนั้นจะไปมีประโยชน์อะไร เจ้าก็ส่งเทียบเชิญตามที่ใจเจ้าปรารถนาสามใบนี้ก็พอ หากพวกนางมีสหายที่อยากจะพาไปด้วย ก็จะส่งมามามาถามเจ้าเอง ถึงเวลานั้นเจ้าก็ตอบไปก็ได้แล้ว การทำเช่นนี้แสดงให้เห็นความจริงใจของเจ้า หากทุกคนต่างก็ได้รับเทียบเชิญกันหมด แล้วจะมีใครรู้สึกพิเศษกว่าผู้อื่นเล่า”
เช่นนี้จะดีหรือ
โจวเสาจิ่นตกตะลึงพรึงเพริดขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อก่อนตอนที่พี่สาวช่วยฮูหยินใหญ่เหมี่ยนดูแลงานบ้านงานเรือนนั้น เพื่อจัดแจงจำแนกของขวัญแล้วต้องใช้เวลาพิจารณาไปกว่าหลายวัน เนื่องด้วยกลัวว่าหากขาดของผู้ใดไป จะทำให้คนไม่พอใจ แล้วก็เป็นการเสียมารยาทด้วย
ดวงตากลมโตดุจเมล็ดซิ่งของนางที่จ้องมองเขาอยู่เช่นนั้นทำให้เฉิงฉือหัวเราะขบขัน กล่าวขึ้นว่า “เจ้าวางใจเถิด! คำพูดของข้าไม่มีทางผิดอย่างแน่นอน!”
มีเพียงคนที่ไปถึงจุดที่สูงอย่างมั่นคงแล้วเท่านั้นถึงจะทำอะไรอย่างที่ใจปรารถนาได้
เหตุผลนี้พูดให้เด็กน้อยฟังนางก็อาจจะฟังไม่เข้าใจ ไม่สู้ปล่อยให้งงงวยไปเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน
อย่างไรเสียมีป้ายของเรือนหานปี้ซานโอบอุ้มอยู่ ต่อให้ผู้อื่นไม่พอใจก็ทำได้แค่เก็บไว้ในใจเท่านั้น
โจวเสาจิ่นคิดๆ แล้วก็เห็นเป็นจริงเช่นนั้น
ท่านน้าฉือบอกว่าทำได้ เช่นนั้นก็ต้องทำได้อยู่แล้ว
ไม่แน่ว่าผู้อื่นอาจจะเตรียมการเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้วก็เป็นได้ เพียงให้นางไปจัดการในส่วนของตัวเองให้ดีก็พอ
นางพลันร่าเริงขึ้นมาอีกครั้ง
กล่าวขอบคุณเฉิงฉือด้วยรอยยิ้มร่า แล้วก็เดินจากไปอย่างมีความสุข
เฉิงฉือหัวเราะดังลั่น
เหตุใดเด็กน้อยผู้นี้ถึงโง่งมเพียงนี้!
เขาว่าอย่างไรก็ทำตามอย่างนั้น ไม่ถามอะไรเลยสักคำ
ทว่าหัวใจของเขากลับเสมือนกับเรือที่มีลมพัดเข้ามา รู้สึกฟูฟ่อง เต็มอิ่ม ราวกับว่ามีเรี่ยวแรงให้ใช้ไม่มีวันหมด
เขาเรียกฮั่วตงถิงเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “ตั้งแต่โบราณกาลมาชังโจวก็องอาจกล้าหาญตามวิถีที่มีมาแต่เดิม พวกเขาเป็นกลุ่มแถวหน้าของยุทธจักรทางเหนือ พวกเราขึ้นเหนือ ไม่รู้ว่าจะมีคนจับจ้องเป็นจำนวนมากมายเท่าใด หากพวกเขาไม่ล้มลง ก็ไม่มีทางที่จะโน้มน้าวใจคนเหล่านั้นได้ แทนที่จะค่อยๆ กล่าวโน้มน้าวพวกเขาด้วยเหตุผล ไม่สู้ปล่อยหมัดให้เห็นความสามารถที่แท้จริงไปเลยดีกว่า ครั้งนี้เจ้าไปพร้อมกับฉินจื่ออัน เลือกสำนักยุทธ์ที่ใหญ่ที่สุด หากมีผู้ใดไม่ยอมก็ให้ตีจนกว่าเขาจะยอม จากนั้นบอกพวกเขาว่า พวกเราไม่ได้คิดจะมาแย่งชามข้าวของพวกเขา พวกเราเพียงอยากจะขอยืมใช้ทางสักเส้นเท่านั้น หากพวกเขาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น พวกเราก็จะทำเสมือนว่าไม่เคยผ่านทางมาก่อน แต่ถ้าหากมีคนของพวกเขาเอาไปพูดไปทั่วล่ะก็ พวกเราก็ช่วยไม่ได้นอกเสียจากต้องเชือดไก่ให้ลิงดูเป็นตัวอย่างเสียแล้ว ลองดูว่าผู้ใดจะยินดีเป็นไก่ตัวนั้น พวกเราอย่างไรก็ได้ แต่เกรงว่าเหตุการณ์ที่เมืองชังโจวนี้คงจะต้องสั่นสะเทือนสักหน่อยเสียแล้ว”
ฮั่วตงถิงขาน “ขอรับ” ทว่าในใจกลับสับสนงงงวยยิ่งนัก
เมื่อครู่ยังบอกว่าจะให้ดีอย่าให้ตกเป็นที่สังเกตของทางการ ให้ใช้ไม้อ่อนก่อนไม้แข็ง แล้วเหตุใดหลังจากที่คุณหนูรองผู้นั้นเข้ามาคุยกับนายท่านสี่ไม่กี่ประโยคแล้ว นายท่านสี่ก็กลายเป็น ‘เชื่อฟังข้าแล้วจะมั่งคั่งหรือจะต่อต้านข้าแล้วย่อยยับก็เลือกเอา’ ไปได้
ดูทีว่าต้องไปสืบดูที่มาของคุณหนูรองผู้นี้สักหน่อยเสียแล้ว
“หากนายท่านไม่มีคำสั่งอื่นแล้ว ข้าจะไปหาจื่ออันเดี๋ยวนี้ขอรับ” ฮั่วตงถิงประสานมือโค้งคำนับ
เฉิงฉือร้อง “อืม” เบาๆ เสียงหนึ่ง
ฮั่วตงถิงถอยออกไป
แต่ขณะที่เท้าข้างหนึ่งของเขาก้าวออกไปจากธรณีประตูของห้องหนังสือแล้ว และกำลังจะยกเท้าอีกข้างขึ้นมานั้น ก็มีเสียงของเฉิงฉือดังขึ้นมาให้ได้ยินจากเบื้องหลังรางๆ ว่า “ตงถิง จัดการเรื่องของเจ้าให้ดี ไม่ต้องสอดส่ายสายตาไปทั่ว”
ฮั่วตงถิงตัวแข็งทื่อ หมุนกายกลับมารับคำอย่างนอบน้อมว่า “ขอรับ” แล้วถึงได้จากไป
เฉิงฉือนั่งอยู่เพียงลำพังครู่หนึ่ง
เขาไม่ปรารถนาจะดึงเสาจิ่นเข้ามาข้องเกี่ยวกับโลกสีเทาคาวโลหิตใบนี้ของตัวเอง
นางควรจะมีชีวิตดั่งดอกไม้ดอกหนึ่ง เบ่งบานอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ตามที่ใจปรารถนาให้ได้มากที่สุด
เฉิงฉือค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ นวดขมับของตัวเองเบาๆ
จะต้องรวบรวมกำลังคนให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ฤกษ์แต่งงานของเฉิงเจียซ่านก็น่าจะถูกกำหนดลงมาแล้ว ยศตำแหน่งของเฉิงลู่ก็จะถูกริบกลับไป เขาเองก็จะได้ไปจัดการเรื่องที่เมืองหลวงได้อย่างวางใจ
ตระกูลเฉิงถูกลงโทษทั้งตระกูลได้อย่างไรนะ
รังมดเพียงหนึ่งรังอาจทำให้เขื่อนกั้นน้ำพันหลี่พังทลายลงได้
ถึงแม้จะเป็นเรื่องในอีกสิบกว่าปีข้างหน้า แต่เขาเชื่อว่า ความย่อยยับของตระกูลเฉิงมิใช่เรื่องที่เกิดขึ้นมาภายในชั่วข้ามคืนอย่างแน่นอน