ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 304 เปิดเผย

โจวเสาจิ่นอ้าปากหมายจะตะโกนเพื่อเปิดโปงการกระทำของอู๋เป่าจางและเฉิงลู่ แต่เมื่อหวนนึกถึงเฉิงเจียเจ้าเด็กน่าตายที่ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนผู้นั้นแล้ว หากทางด้านนี้มีเรื่องโหวกเหวกขึ้นมา จะทำให้เรื่องของเฉิงเจียจะถูกเปิดเผยออกมาด้วยหรือไม่ นางห่อปากครุ่นคิด กัดฟันกรอดอย่างขุ่นแค้น

รอให้หาตัวเฉิงเจียให้พบก่อน นางจะต้องต่อว่าเฉิงเจียแรงๆ สักสองประโยคให้ได้

เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ในที่สุดความขุ่นเคืองในใจของนางก็บรรเทาลงมาเล็กน้อย เริ่มคิดถึงเรื่องของเฉิงลู่กับอู๋เป่าจางอย่างสงบนิ่ง

อู๋เป่าจางหมั้นหมายกับเฉิงนั่วแล้ว ถ้าหากเรื่องนี้ถูกป่าวประกาศออกไปตอนนี้ ไม่เพียงอู๋เป่าจางกับเฉิงลู่ที่เสียหน้า คนที่ต้องเสียหน้ามากกว่าก็คือตระกูลเฉิงกับตระกูลอู๋ ยิ่งถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นมาจากตัวนาง นางเป็นคุณหนูที่มาอาศัยอยู่ที่ตระกูลเฉิง ไม่แน่ว่าท่านเจ้าเมืองอู๋อาจจะผลักความรับผิดชอบนี้มาที่ตระกูลเฉิง คิดว่าเพราะตระกูลเฉิงจัดการกับเรื่องนี้ได้ไม่ถูกต้องเหมาะสม ทำให้เขาถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ นับจากนี้ไปก็จะขุ่นแค้นตระกูลเฉิง ถึงแม้ตระกูลเฉิงจะไม่หวาดกลัวคนตัวเล็กๆ เช่นเขา แต่ดังคำที่กล่าวกันว่า ผู้ยิ่งใหญ่จิตใจกว้างขวาง แต่ผู้น้อยมักจะคิดเล็กคิดน้อย วันข้างหน้าเมื่อตระกูลเฉิงพบกับมหันตภัย ผู้ใดจะกล้ารับประกันว่าท่านเจ้าเมืองอู๋จะไม่โยนหินลงบ่อเพื่อซ้ำเติมอีก

อีกอย่าง ท่านน้าฉือบอกว่าจะช่วยถอดถอนยศตำแหน่งของเฉิงลู่ให้นาง เรื่องนี้แปดถึงเก้าในสิบส่วนต้องขอความช่วยเหลือจากมือของท่านเจ้าเมืองอู๋ ครั้นนางป่าวประกาศออกไป ตระกูลอู๋ก็ต้องบังคับให้อู๋เป่าจางแต่งงานกับเฉิงลู่ไปอย่างไม่มีทางเลือก เฉิงลู่ก็จะกลายเป็นบุตรเขยของท่านเจ้าเมืองอู๋ ต่อให้ท่านเจ้าเมืองอู๋จะเลวร้ายเพียงไร อย่างไรก็เป็นบุตรสาวบุตรเขยของตัวเอง อีกทั้งยังเป็นบุตรเขยที่มียศตำแหน่งผู้หนึ่ง ขอเพียงเขามีใจอยากสนับสนุนเฉิงลู่ เพียงดึงขึ้นครั้งหนึ่ง เฉิงลู่ก็สอบจวี่เหรินได้แล้ว ชาติก่อน เฉิงลู่ก็สอบผ่านได้เป็นจวี่เหรินเช่นกัน

ถ้าเฉิงลู่สอบเป็นจวี่เหรินได้แล้ว อยากจะถอดถอนยศตำแหน่งของเขาก็จะไม่ง่ายแล้ว

นางไม่อาจเพิ่มภาระให้ท่านน้าฉือโดยไม่ระวังได้

แต่อย่างไรก็ตาม เห็นๆ อยู่ว่าเฉิงลู่กับอู๋เป่าจางมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกันแล้วก็ยังจะหมั้นหมายกับเฉิงนั่วอีก เรื่องนี้นางไม่อาจปล่อยพวกเขาไปได้ นางต้องเอาไปบอกท่านน้าฉือ!

โจวเสาจิ่นเงี่ยหูฟังต่อไป

นางอยากรู้ว่าอู๋เป่าจางกับเฉิงลู่ไปถึงขั้นไหนกันแล้ว แล้วทั้งสองคนจะพูดอะไรกันอีกบ้าง

แต่ใครจะรู้ว่าพออู๋เป่าจางได้ยินเฉิงลู่พูดเช่นนั้นแล้ว กลับไม่พูดอะไรไปนาน

เฉิงลู่กลับถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง กล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า “เป่าจาง เจ้าเขียนจดหมายมาบอกข้าว่าตระกูลเฉิงต้องการถอดถอนยศตำแหน่งของข้า ตกลงว่ามันเกิดอะไรขึ้น เป็นผู้ใดที่ต้องการทำลายข้าเจ้ารู้หรือไม่ แล้วเจ้ายังได้ยินอะไรมาอีกบ้าง”

โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็สะดุ้งตกใจ

อู๋เป่าจางนำเรื่องนี้ไปบอกเฉิงลู่นี่เอง

เพราะเรื่องนี้เฉิงลู่ถึงได้เร่งเดินทางกลับมากระมัง

เขาเองก็เป็นคนมีความสามารถผู้หนึ่ง เป็นไปได้หรือว่าเป็นเพราะข้อมูลลับของอู๋เป่าจางทำให้เขาคิดหาวิธีแก้ปัญหาอะไรบางอย่างได้ ดังนั้นจึงทำให้แผนการของนางล้มเหลว

โจวเสาจิ่นอดไม่ได้โน้มตัวเข้าไปเล็กน้อย แนบใบหูกับบานประตู

อีกด้านของบานประตูมีเสียงสบถเย็นของอู๋เป่าจางดังขึ้น

นางกล่าวขึ้นว่า “หากมิใช่เพราะเรื่องนี้ ท่านก็คงไม่กลับมาใช่หรือไม่”

“จะเป็นไปได้อย่างไร” เสียงของเฉิงลู่อบอุ่น น้ำเสียงจริงใจ “ข้าเพียงแต่หาโอกาสที่เหมาะสมไม่ได้เท่านั้น เมื่อครู่ข้าบอกเจ้าไปแล้วมิใช่หรือว่าตระกูลเฉิงจับตาดูข้าอย่างแน่นหนา พอข้าได้ยินว่าตระกูลเฉิงต้องการสู่ขอเจ้า ข้าก็ร้อนใจจนแทบทนไม่ไหว รีบเขียนจดหมายไปให้ท่านแม่ของข้าในทันที ให้ท่านแม่ของข้าไปสู่ขอเจ้าที่จวน หากเจ้าไม่เชื่อ ข้าให้จ้าวต้าไห่มายืนยันก็ได้! เพียงแต่ยังไม่ทันที่ท่านแม่ของข้ากับแม่สื่อจะได้คุยกัน ตระกูลเฉิงก็ส่งสินสอดไปที่บ้านของพวกเจ้าแล้ว ที่ข้าเร่งกลับมาในครั้งนี้ ก็เพราะใจข้ารู้สึกไม่ยินยอม อยากมาถามเจ้าว่าตกลงเจ้าคิดอย่างไรกันแน่…วันนี้ได้รู้แล้วว่าเจ้าเองก็ถูกบังคับไม่มีทางเลือก ข้าจึงทั้งรู้สึกเจ็บปวดและอบอุ่นหัวใจในคราวเดียวกันไปด้วย ที่เจ็บปวดคือสุดท้ายแล้วเจ้าก็ไม่อาจมาเป็นภรรยาของข้าได้ และที่อบอุ่นหัวใจคือในใจของเจ้ายังคงมีข้าอยู่ตลอด…เป่าจาง ไม่สู้พวกเรามาทำสัญญากันข้อหนึ่ง ต่อไปหากข้ามีบุตรชาย จะต้องไปสู่ขอบุตรสาวของเจ้า และหากเจ้ามีบุตรชาย จะต้องมาสู่ขอบุตรสาวของข้า ต่อไปพวกเราสองครอบครัวก็จะได้เกี่ยวดองกัน เช่นนี้ข้าเองก็ได้เจอเจ้าบ่อยๆ ด้วย…”

อู๋เป่าจางหัวเราะคิก กล่าวขึ้นว่า “ท่านกับเฉิงนั่วเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน พวกเราจะให้บุตรชายบุตรสาวแต่งงานกันได้อย่างไร…”

เฉิงลู่ตะลึงงัน กล่าวขึ้นว่า “เป็นข้าที่ฝันเฟื่องไปเอง!”

แต่คำพูดนี้กลับทำให้อู๋เป่าจางลืมความขุ่นเคืองก่อนหน้าไปเสีย

นางกล่าวเสียงนุ่มว่า “พี่ชายลู่ ที่ข้าทราบเรื่องนี้ก็เพราะมารดาเลี้ยงบอกว่าท่านพ่อต้องการให้ข้าแต่งกับเฉิงนั่ว ข้าอยากจะไปขอร้องให้ท่านพ่อเปลี่ยนความคิด ตอนที่นั่งรอท่านพ่ออยู่ในห้องหนังสือของเขานั้นบังเอิญได้รู้มาโดยไม่ตั้งใจ ส่วนเรื่องที่ว่าเป็นผู้ใดมาไหว้วานท่านพ่อ แล้วเรื่องดำเนินการไปถึงขั้นไหนแล้วนั้น ข้าไม่ทราบเลยเจ้าค่ะ วันนี้ท่านกลับมาก็ดีแล้ว ข้าเชื่อว่าด้วยเส้นสายและความสามารถของพี่ชายลู่แล้ว จะต้องสืบออกมาได้แน่ว่าเป็นผู้ใดที่แอบกลั่นแกล้งท่านอยู่เบื้องหลัง”

เฉิงลู่เปล่งเสียง “อืม” หนักๆ ออกมาเสียงหนึ่ง ในน้ำเสียงมีความโกรธเกลียดอย่างไม่ยินยอมอยู่ด้วย

โจวเสาจิ่นกลับไม่รู้สึกเป็นกังวลแต่อย่างใด

นางรู้สึกว่าต่อให้เฉิงลู่รู้ว่าเป็นท่านน้าฉือที่ยื่นมือเข้าไป เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

อู๋เป่าจางจึงกล่าวขึ้นว่า “พี่ชายลู่ ข้ามากับญาติของมารดาเลี้ยงของข้า เวลาล่วงเลยมานานแล้วเกรงว่าจะถูกผู้คนสังเกตเห็นได้ ข้าต้องไปก่อนแล้ว หากท่านมีอะไรที่ต้องการถามข้า ก็ให้ต้าไห่นำความมาฝากที่หงซิ่วไว้ก็พอ ข้าไม่พูดออกไปอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

เฉิงลู่เองก็อาจจะเป็นกังวลใจเช่นเดียวกัน กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นเจ้าระวังตัวด้วย หากเจ้ามีอะไรต้องการให้ข้าช่วย ขอเพียงบอกข้า ข้าเองก็จะช่วยเจ้าอย่างเต็มที่เช่นกัน”

โจวเสาจิ่นรีบหันไปส่งสัญญาณมือให้ซางมามา เป็นสัญญาณว่าพวกนางต้องรีบไปแล้ว

ซางมามากลับหันมาส่ายศีรษะให้นางยิ้มๆ ชี้ไปยังจ้าวต้าไห่ที่หมดสติอยู่บนพื้น พอคว้าตัวจ้าวต้าไห่มาก็ยัดตัวเขาเข้าไปยังด้านหลังของเกวียนลากที่วางพาดอยู่ข้างๆ กำแพง ส่วนตัวเองกลับย่อตัวลงข้างกายโจวเสาจิ่น ทำสัญญาณให้โจวเสาจิ่นขึ้นมาขี่บนหลังนาง

โจวเสาจิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งได้ยินเสียงเฉิงลู่ตะโกนเรียกจ้าวต้าไห่ดังมาจากนอกประตู

นางรีบขึ้นหลังของซางมามาไป

ร่างของซางมามาย่อลง เขย่งเท้าขึ้น นางกับซางมามาก็มายืนอยู่บนกิ่งไม้ในพุ่มไม้ของต้นตั๊กแตนต้นใหญ่แล้ว

โจวเสาจิ่นเกือบจะส่งเสียงร้องออกมาแล้ว

นางกัดริมฝีปากตามสัญชาตญาณไปโดยไม่รู้ตัว กอดซางมามาเอาไว้อย่างแน่นิ่ง

ซางมามาหันศีรษะกลับมา ส่งรอยยิ้มเป็นสัญญาณบอกว่า ‘ไม่เป็นไร มีข้าอยู่’ มาให้นาง

แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น นี่ก็น่าหวาดเสียวเกินไปแล้ว!

โจวเสาจิ่นหันไปฝืนยิ้มให้นาง

เห็นประตูที่ลงกลอนเอาไว้นั้นเปิดออก อู๋เป่าจางกับเฉิงลู่ แล้วก็ยังมีสาวใช้อีกผู้หนึ่งเดินเข้ามา

เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้ว เฉิงลู่สูงขึ้นเล็กน้อย ดูแข็งแรงมีกำลังวังชามากขึ้น ความอ่อนเยาว์ลดลงไปหลายส่วน ขณะที่ความสุขุมเพิ่มมากขึ้นหลายส่วน มีความคล้ายคลึงกับเฉิงลู่คนที่โจวเสาจิ่นเจอที่หลังวัดโจวคังผู้นั้นอยู่หลายส่วน

เขาหันมองไปรอบๆ ขมวดคิ้วมุ่นพลางกล่าวขึ้นว่า “เหตุใดถึงไม่เห็นจ้าวต้าไห่”

อู๋เป่าจางกระวนกระวายเล็กน้อย กล่าวขึ้นอย่างร้อนรนว่า “บางทีอาจจะมีคนเดินผ่านมา เขาจึงหลบออกไปก่อนก็เป็นได้เจ้าค่ะ” กล่าวอีกว่า “เขาเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งแล้ว หากมีเรื่องเกิดขึ้นจะต้องตะโกนบอกอย่างแน่นอน ท่านไปตามหาเขาเถิด ไม่แน่ว่าเขาอาจจะกำลังรอท่านอยู่ที่ไหนสักแห่งก็เป็นได้! ไม่อาจรั้งท่านเอาไว้ที่นี่ได้ การแข่งขันเรือมังกรทางด้านโน้นใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว ระวังจะถูกคนพบเห็นได้เจ้าค่ะ”

เฉิงลู่พยักหน้า กล่าวเสียงนุ่มอีกหลายประโยคทำนองว่า “เจ้าต้องระมัดระวังตัวด้วย” แล้วก็รีบออกจากสวนด้านหลังไป

อู๋เป่าจางรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง

สาวใช้ของนางรีบก้าวออกไปปิดประตู มือตบหน้าอกพลางกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่ ข้าตกใจกลัวแทบแย่เจ้าค่ะ! นี่หากว่าถูกคนพบเห็นเข้าต้องแย่แน่ๆ”

อู๋เป่าจางกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “นี่มิใช่ว่าไม่ถูกใครพบเห็นหรอกหรือ”

สาวใช้ผู้นั้นหัวเราะอย่างเก้อกระดาก

ภายในหอชิงเยียนราวกับมีคนเดินผ่านมา

ทั้งสองคนรีบเข้ามาหลบที่ใต้ต้นตั๊กแตนต้นใหญ่

โจวเสาจิ่นตกใจจนไม่กล้าหายใจ

นี่หากว่าถูกอู๋เป่าจางค้นพบแล้วร้องโหวกเหวกขึ้นมา ตนมาแอบฟังอยู่บนต้นไม้เช่นนี้ คงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว!

ทั้งคนที่อยู่บนต้นไม้และคนที่อยู่ใต้ต้นไม้ต่างใจจดใจจ่อไม่กล้าหายใจ

ไม่นาน ทางหอชิงเยียนก็สงบลงมา

อู๋เป่าจางและสาวใช้จึงเดินออกมาจากหลังต้นตั๊กแตนต้นใหญ่

ทั้งสองคนถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง

สาวใช้ผู้นั้นกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่ ท่าน…ท่านเชื่อคำพูดของคุณชายใหญ่ลู่จริงๆ หรือเจ้าคะ”

นัยน์ตาของอู๋เป่าจางมีความผิดหวังสายหนึ่งวาบผ่าน

สาวใช้ผู้นั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นท่านเตรียมจะแต่งกับคุณชายใหญ่นั่วแล้วใช่หรือไม่ ก่อนหน้านี้ท่านให้คนส่งจดหมายไปให้คุณชายใหญ่ลู่ไม่หยุด ข้ายังคิดว่าท่านจะ…”

“คิดว่าเพื่อเขาแล้วข้าจะต่อต้านท่านพ่อของข้าอย่างนั้นหรือ” อู๋เป่าจางยิ้ม ดวงตาเผยความหนักแน่น กล่าวขึ้นว่า “ไม่ว่าคำพูดของเขาจะเป็นเรื่องจริงหรือลวงหลอก อย่างไรข้ากับเฉิงนั่วก็หมั้นหมายกันแล้ว ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก นอกจากนี้ถ้าหากเขาหลบเลี่ยงเคราะห์ร้ายครั้งนี้ไปได้ และรักษายศตำแหน่งเอาไว้ได้ ก็ไม่เสียแรงที่ข้าอุตส่าห์แอบส่งข้อมูลลับไปให้เขาครั้งหนึ่ง ต่อไปหากต้องเผชิญกับความเป็นความตาย ก็ยังมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยคนหนึ่ง แต่หากเขากระโดดหลบเคราะห์ร้ายนี้ไปไม่ได้…เขาไม่มียศตำแหน่งแล้ว อยู่ตระกูลเฉิงก็ไม่มีที่ยืนที่มั่นคงแล้ว ต่อให้มีความสามารถมากเพียงใด คนตัวเปล่าเล่าเปลือยเพียงคนเดียว จะทำการทำงานอะไรออกมาได้ พวกเราก็คงจะค่อยๆ ห่างกันออกไปเอง…

…นอกจากนี้แต่งกับเฉิงนั่วก็ไม่เลวเหมือนกัน อย่างน้อยเขาก็มีรูปร่างหน้าตาดี อีกทั้งยังเป็นบุตรหลานของตระกูลเก่าแก่ ถึงแม้จะไม่ได้ประสบความสำเร็จหรือมีความสามารถโดดเด่นเหมือนเฉิงเซียงชิง แต่ครอบครัวของเขาร่ำรวย จากเบื้องหน้าแล้วก็มีเขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว อีกทั้งยังเป็นคนหัวอ่อน ขอเพียงข้าใช้ยาให้ถูกกับโรค ต่อไปมิใช่ว่าอยากให้เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นแล้วหรอกหรือ…

…แล้วทำไมข้ายังจะต้องไปเสี่ยงอีกด้วยเล่า”

สาวใช้ผู้นั้นพยักหน้าช้าๆ กล่าวยิ้มๆ ราวกับได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกไปว่า “ข้าก็ว่า คุณหนูใหญ่จะเลอะเลือนขึ้นมาอย่างกะทันหันได้อย่างไร เห็นๆ อยู่ว่าคนแซ่เฉิงผู้นี้เพราะเรื่องยศตำแหน่งของตัวเองถึงได้รีบเร่งมาพบคุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่กลับปล่อยให้…”

“กล่าวไร้สาระอะไร” อู๋เป่าจางตำหนินาง “ต่อไปห้ามกล่าวเช่นนี้อีก แล้วก็ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องของคุณชายใหญ่ลู่อีก”

เห็นได้ชัดว่าสาวใช้ผู้นั้นได้รับความโปรดปรานและความไว้วางใจจากอู๋เป่าจางเป็นอย่างมาก ขยิบตาให้พร้อมกับแลบลิ้นออกมาครั้งหนึ่ง และไม่พูดอะไรอีก

ทั้งสองคนกลับไปที่หอชิงเยียน

โจวเสาจิ่นถูกซางมามาอุ้มกระโดดลงมาจากบนต้นไม้

นางตกใจกลัวจนหลับตาแน่น

กระทั่งเท้าแตะพื้นยืนอย่างมั่นคงแล้ว ถึงได้ลืมตาขึ้นมา

ซางมามาหัวเราะร่าขณะสวมเสื้อผ้า กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ! นี่เป็นวรยุทธ์ที่สืบทอดกันมาของครอบครัวข้า ไม่ทำให้ท่านบาดเจ็บอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ อยากจะถามว่านี่คือวรยุทธ์อะไร ทันใดนั้นชุนหว่านก็วิ่งเข้ามา ลดเสียงลงกล่าวขึ้นอย่างดีใจว่า “คุณหนูรอง คุณหนูรองเจ้าคะ เจอตัวคุณหนูเจียแล้วเจ้าค่ะ! ความจริงนางไม่ได้ออกไปจากหอชิงเยียนเลยเจ้าค่ะ! นางไปห้องส่วนตัวที่อยู่ทางทิศใต้มา บอกว่าได้พบกับญาติของนายหญิงผู้เฒ่าหลี่ จึงเข้าไปกล่าวทักทาย…คุณหนูเจียกลับมาแล้ว คุณหนูจูจูจึงให้ข้ามาบอกให้ท่านรีบกลับไป การแข่งเรือมังกรใกล้จะเสร็จสิ้นลงแล้วเจ้าค่ะ!”

โจวเสาจิ่นโกรธจนไม่รู้จะโกรธอย่างไรแล้ว

ญาติของนายหญิงผู้เฒ่าหลี่อะไรกัน

ต้องเป็นหลี่จิ้งแน่ๆ!

นางช่างใจกล้านัก!

กล้าแอบไปนัดพบกับหลี่จิ้ง!

โจวเสาจิ่นกลับไปที่ห้องส่วนตัวด้วยอารมณ์เดือดดาล

เฉิงเจียกำลังนั่งคุยกับจูจูอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ส่วนกูที่สิบเจ็ดและคนอื่นๆ ผลัดกันใช้กล้องส่องทางไกลส่องดูการแข่งขันเรือมังกร

พอเห็นโจวเสาจิ่นเข้ามา เฉิงเจียก็ยิ้มตาหยีพร้อมกับกล่าวทักทายโจวเสาจิ่นว่า “บอกว่าเจ้าไปห้องทางการ เหตุใดเจ้าถึงไปนานขนาดนี้ การแข่งเรือมังกรใกล้จะเสร็จสิ้นลงแล้ว!”

โจวเสาจิ่นโกรธจนพูดอะไรไม่ออก

จูจูรีบหันไปส่งสายตาให้โจวเสาจิ่น กล่าวขึ้นว่า “กลับมาก็ดีแล้วๆ!”

ทว่าเฉิงเจียกลับเสมือนไม่เข้าใจสิ่งที่จูจูกล่าวมา นั่งเท้าคางมองโจวเสาจิ่นอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขน หน้าแดงเล็กน้อย ประหนึ่งคนเมาสุราก็ไม่ปาน มีความสุขอยู่กับตัวเอง

ก็เพียงได้พบกับหลี่จิ้งเท่านั้น ต้องมีความสุขมากขนาดนั้นเชียว

โจวเสาจิ่นขึงตาใส่เฉิงเจียอย่างขุ่นเคือง

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน
Status: Ongoing
ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset