ตกบ่าย โจวเสาจิ่นไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน
ปี้อวี้และเฝ่ยชุ่ยกำลังวุ่นอยู่กับการสั่งการบ่าวรับใช้โยกย้ายโต๊ะเก้าอี้และจัดจานชาม
โจวเจาสิ่นอดไม่ได้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เอ่ยถามขึ้นว่า “มีใครจะมาที่นี่หรือ”
ปี้อวี้ยิ้มพลางกล่าว “กูไหน่ไนจากจวนสามกลับมาเยี่ยมบ้าน เย็นนี้จะมารับมื้อเย็นที่นี่เจ้าค่ะ”
เมื่อกี้เพิ่งจะปฏิเสธท่านยายไปอย่างจริงใจ…ที่จริงแล้วไม่ใช่เป็นเพราะไม่มีเวลา แต่เป็นการรอดูว่าเวลานี้จำเป็นต้องหาเวลาออกมาหรือไม่ต่างหาก
โชคดีที่โจวเสาจิ่นมีชีวิตมาสองภพชาติ เคยพบเห็นทั้งคนที่ดีและไม่ดี ถึงแม้จะรู้สึกอึดอัดอยู่ภายในใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงกับจะมองเฉิงเสียนอย่างโกรธเคือง
แต่คนเช่นนี้ ไม่ว่าจะดูเหมือนว่าเป็นคนจิตใจดีแค่ไหน ก็ไปมาหาสู่กันให้น้อยเอาไว้จะดีกว่า!
นางลอบพิจารณาอยู่ในใจ พอรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่อยู่ในห้องโถง จึงพาซือเซียงเดินไปที่ห้องพระ
คิดไม่ถึงว่าที่จริงแล้วฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่ในห้องพระ
นางนั่งตัวตรงอยู่ข้างโต๊ะเขียนหนังสือ กำลังพลิกดูพระธรรมที่นางคัดลอกหน้าแล้วหน้าเล่า
“ฮูหยินผู้เฒ่า!” โจวเสาจิ่นขยับขึ้นด้านหน้าไปทำความเคารพ
“มาแล้วรึ!” นางยิ้มน้อยๆ แล้ววางกระดาษในมือลง ชี้ไปที่เก้าอี้มีเท้าแขนข้างตัวด้วยท่าทีใจดีเป็นอย่างมาก พลางกล่าว “นั่งลงเถอะ! คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะคัดได้เร็วขนาดนี้!”
โจวเสาจิ่นยิ้ม นั่งลงเงียบๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ชี้ไปที่ตัวอักษรบางตัวบนกระดาษ “เจ้าดู จุดอันนี้จะต้องตวัดกลับมาให้หนักแน่นถึงจะถูก ส่วนการลากเส้นขวาเส้นนี้ทำได้ดีมาก”
โจวเสาจิ่นน้อมรับคำสอนอย่างเชื่อฟัง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้เจินจูฝนหมึก จากนั้นเขียนอักษรสองสามตัวให้โจวเสาจิ่นดู “เจ้าดูสิว่า เขียนแบบนี้ดูสวยกว่าหรือไม่”
ตัวอักษรนั้น ราวกับม้าหุ้มเกราะสีทองปรากฏโดดเด่นอยู่กระดาษ…โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าต่อให้ตนเองเขียนอีกสามสิบปี ก็เขียนอักษรแบบนี้ออกมาไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ผู้คนต่างกล่าวกันว่าคนก็เหมือนกับตัวอักษร ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้น…บุคลิกแข็งแกร่งอย่างไม่ธรรมดาเลย!
นางพึมพำอยู่ในใจ ทว่าก็พยักหน้าไปด้วยไม่หยุด
ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับเผยรอยยิ้มหดหู่ออกมาพลางส่ายศีรษะ กล่าวเสียงเบาว่า “บุคลิกของเจ้าและของข้าไม่เหมือนกัน…ข้านั้นชอบบังคับเคี่ยวเข็ญผู้คน” ขณะที่นางกล่าว ก็หายใจเข้าลึกๆ ลมหายใจหนึ่ง ฉับพลันก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้าเพียงแค่ดูเอาไว้ก็พอ ไม่จำเป็นต้องเขียนตามแบบของข้า ข้อดีของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน เจ้าเขียนตามแบบที่ตัวเองชอบก็พอแล้ว”
โจวเสาจิ่นตอบน้ำเสียงนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ”
ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เป็นเช่นนี้ ดูราวกับคนที่โดดเดี่ยวยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นรับน้ำชามาจากมือของเสี่ยวถาน แล้วส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจิบไปคำหนึ่ง ยิ้มพลางสั่งเจินจูที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายว่า “เจ้าไปจัดชาซีหูหลงจิ่งที่กูไหน่ไนเอามาฝากสักสองเหลี่ยง เอามาชงชาให้คุณหนูรองดื่ม”
เจินจูตอบรับด้วยรอยยิ้มสดใส จากนั้นหมุนกายออกไปจากห้องพระ
โจวเสาจิ่นรีบลุกขึ้นมาจะปฏิเสธ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับยิ้มพลางกล่าว “เดี๋ยวนี้ข้าไม่ค่อยดื่มชาเขียวแล้ว พวกเจ้าที่เป็นเด็กสาวนั้นสามารถรับมันได้ดีกว่า กำลังพอดีเลย จะได้เอาไว้คลายร้อนในฤดูร้อน”
โจวเสาจิ่นทำได้เพียงกล่าวคำขอบคุณ
ปี้อวี้เข้ามา ยิ้มพลางกล่าว “ฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินมาเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวขานเสียง ‘อืม’ เสียงหนึ่งแล้วลุกขึ้นมาโดยการประคองของหมาเหน่า ครุ่นคิด จากนั้นจึงกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เย็นนี้เจ้าก็รั้งอยู่ทานมื้อเย็นอยู่ที่นี่เถอะ ข้าเตรียมมื้อเย็นไว้ต้อนรับกูไหน่ไนคนโตจากจวนสาม เด็กสองคนจากตระกูลพานก็อยู่ด้วย พวกเจ้าคนหนุ่มสาว น่าจะคุยกันถูกคอ”
เฉิงสวี่ก็อาจจะออกมาร่วมด้วย?
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าว “ได้พบกันแล้วตั้งแต่เมื่อตอนกลางวันเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าท่านจะรั้งพวกเขาให้อยู่ทานข้าวด้วย ข้าเลยรับปากท่านยายไปแล้วว่าจะกลับไปเร็วหน่อย เพราะพรุ่งนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดแล้ว ท่านยายมีเรื่องต้องการย้ำเตือนกับพวกข้าสักหน่อยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคิดๆ ดูแล้วก็เป็นจริงดังนั้น จึงไม่ได้บังคับอะไรอีก ยิ้มพลางเดินออกไปจากห้องพระโดยมีบ่าวรับใช้ห้อมล้อมติดตามไปด้วย
โจวเสาจิ่นโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง สงบจิตใจลงแล้วคัดลอกพระธรรมได้สองสามหน้า ครุ่นคิดว่าที่เฉิงเสียนมาเป็นแขกนี้ ไม่แน่ว่าเฉิงสวี่ผู้นั้นอาจจะมาก่อนเวลาก็เป็นได้ นางจึงตัดสินใจว่าจะออกไปก่อน
ตอนที่ไปกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ไม่ได้รั้งนางเอาไว้ ปี้อวี้เดินไปส่งนางออกจากเรือนหานปี้ซาน
โจวเสาจิ่นโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ทว่าจากที่ไกลๆ นั้นกลับเห็นชายหนุ่มสองคนค่อยๆ เดินตรงมาทางนี้
หนึ่งในพวกเขาสวมชุดสีเขียวหยก อีกคนสวมชุดสีสีเขียวไม้ไผ่ คนหนึ่งแจ่มใสมีชีวิตชีวา อีกคนหนึ่งสงบเคร่งขรึม…คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเฉิงสวี่กับพานจ้าว
ทำไมยังไม่ทันไรสองคนนี้ก็เดินอยู่ด้วยกันแล้วหรือ
เหมือนกับว่าในชาติที่แล้วจะไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเฉิงสวี่มีความสัมพันธ์อันดีกับพานจ้าวนี่นา? อย่างไรก็ตาม ในชาติก่อนนางไม่ค่อยได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเฉิงสวี่เท่าไหร่อยู่แล้ว ก็เป็นไปได้ว่าสองคนนี้อาจเป็นมิตรที่ดีต่อกันเพียงแต่ตนเองไม่รู้เท่านั้น
โจวเสาจิ่นเห็นว่าหากยังเดินหน้าต่อไปอีกทุกคนต้องได้เผชิญหน้ากันเป็นแน่ นางหันไปกระพริบตาไปซือเซียงครั้งหนึ่ง จากนั้นทั้งสองก็แอบเข้าไปหลบอยู่หลังต้นไทรที่แผ่กิ่งก้านสูงใหญ่และหนาทึบต้นหนึ่ง
เฉิงสวี่และพานจ้าวไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติ สนทนาไปด้วยและเดินตรงมาทางนี้ไปด้วย
“…ท่านอาใหญ่อี๋นั้นมีธุระทางสังคมข้างนอกมาก เรื่องภายในสำนักศึกษาจึงให้จางเซียนเซิงคอยดูแลจัดการ เขาสอบได้เป็นจวี่เหรินในรัชศกจื้อเต๋อปีที่สิบสี่ซินเหมา สอบปีเดียวกันกับท่านอาสี่ของข้า ตอนที่เป็นซิ่วไฉก็เรียนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษา เป็นผู้ที่มีความรู้แน่นมาก เจ้าไม่ลองขอคำแนะนำจากเขาให้มากหน่อย”
พานจ้าวพนักหน้าไม่หยุด กล่าวขึ้นว่า “เห็นว่าการสอบระดับฝู่ซื่อใกล้เข้ามา ท่านพ่ออยากให้ข้ารั้งอยู่ที่จวนเพื่ออ่านหนังสือ เป็นท่านแม่ที่กล่าวว่า อ่านหนังสือหมื่นเล่มไม่สู้ออกเดินทางพันหลี่ ในสำนักศึกษาตระกูลเฉิงนี้ไม่รู้ว่าสร้างซิ่วไฉจวี่เหรินมาแล้วตั้งมากมายเท่าไหร่ ให้ข้าติดตามมาดูให้รู้สักครั้ง น่าเสียดายที่พรุ่งนี้ต้องไปอวยพรท่านผู้นำตระกูลจวนรอง ไม่เช่นนั้นจะตามเจ้าไปฟังที่ห้องเรียนด้วยสักหน่อย ต้องได้ประโยชน์มากเป็นแน่”
“การเรียนหนังสือไม่ใช่เรื่องที่จะสำเร็จได้ในก้าวเดียว เจ้าเองก็อย่าได้รีบร้อนไปเลย” เฉิงสวี่ปลอบใจพานจ้าว ทั้งสองคนเดินผ่านต้นไทรที่โจวเสาจิ่นซ่อนตัวอยู่ไป
โจวเสาจิ่นโล่งอกไปทีหนึ่ง
บัญชีสำมะโนครัวของตระกูลพานอยู่ที่หยางโจว หากว่าพานจ้าวอยากสอบขุนนาง ก็ต้องกลับไปสอบที่หยางโจว โชคดีที่หนานจิงอยู่ไม่ไกลจากหยางโจว หากว่าจัดเตรียมให้ดี ย่อมไม่เป็นอุปสรรคต่อการสอบขุนนางของพานจ้าวอย่างแน่นอน
ในความทรงจำของนางนางนั้น พานจ้าวผู้นี้กับเฉิงลู่ได้เป็นซิ่วไฉในปีเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ทำให้จวนสามได้แพร่ข่าวออกไปอย่างใหญ่โตครั้งหนึ่ง
หากว่าไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น คาดเดาว่าทั้งพานจ้าวและเฉิงลู่ล้วนสามารถเป็นหนึ่งในซิ่วไฉได้อย่างแน่นอน
นางรีบเดินออกจากต้นไทร
เนื่องจากเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่ต้องใช้สำหรับสวมในงานเลี้ยงวันเกิดได้จัดเตรียมเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ตอนที่กลับมาถึงเรือนเจียซู่นั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจึงอดแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาไม่ได้ เอ่ยขึ้น “ทำไมวันนี้เจ้าถึงกลับมาเร็วเช่นนี้”
โจวเสาจิ่นไม่อยากให้มีปัญหาใหม่เกิดขึ้นอีก จึงยิ้มกล่าวว่า “ข้าคิดถึงเรื่องวันงานที่กำลังจะมาถึงในวันพรุ่งนี้แล้ว ก็เลยกลับมาเร็วหน่อยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่ได้สงสัยอะไร กล่าวขึ้นว่า “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ข้าเองก็มีเรื่องอยากย้ำเตือนกับพวกเจ้าอยู่พอดี” จากนั้นสั่งซื่อเอ๋อร์ให้ไปเรียกฮูหยินใหญ่เหมี่ยนและโจวชูจิ่นเข้ามา บอกทุกคนว่า “สตรีถูกจัดให้อยู่ที่เรือนซื่ออี๋ ส่วนบุรุษอยู่ที่เรือนจี๋ฝู ก่อนงานเลี้ยงจะเริ่ม ท่านผู้นำตระกูลจะเข้ามาที่เรือนซื่ออี๋ เมื่อถึงเวลา นายหญิงผู้เฒ่าถังจวนรองจะนำพวกเราไปกล่าวคำอวยพรและมอบของขวัญแด่ท่านผู้นำตระกูล จากนั้นท่านผู้นำตระกูลจะไปที่เรือนจี๋ฝู เดี๋ยวพวกเจ้ากลับไปก็ตรวจสอบของขวัญที่จัดเตรียมเอาไว้อีกครั้ง เมื่อถึงเวลาจะได้ไม่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นได้ มีการแสดงจัดอยู่ที่ระเบียงหมู่ตันและโถงถงฮวา พวกเราอยู่กันที่ระเบียงหมู่ตัน ส่วนพวกบุรุษอยู่ที่โถงถงฮวา เมื่อถึงเวลานั้นพวกเจ้าอย่าได้เดินไปผิดที่เป็นอันขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องกำชับพวกบ่าวรับใช้เอาไว้ด้วยว่า ห้ามมัวแต่สนุกสนานจนเดินไปผิดที่ ทำให้แขกขุ่นเคืองใจเป็นเรื่องเล็ก ทำให้ตระกูลเฉิงเสียหน้าเป็นเรื่องใหญ่ พวกเจ้าจำได้แม่นยำแล้วใช่หรือไม่” กล่าวถึงท้ายประโยค น้ำเสียงก็เข้มงวดขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากจากฮูหยินผู้เฒ่ากวน
โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ขานตอบอย่างนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ”
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากวนสงบลงเล็กน้อย เอ่ยขึ้น “พวกเจ้าออกไปกันเถอะ!”
โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ เดินเรียงแถวออกมาจากเรือนหลัก ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยังบอกกับพวกนางสองพี่น้องอีกหลายประโยคทำนองว่า ‘ไม่ต้องกลัว เพียงเดินตามผู้ใหญ่ ไม่เดินสะเปะสะปะไปทั่ว ก็ไม่น่าจะมีเรื่องอะไรแล้ว’ จากนั้นทุกคนถึงได้ออกไปจากเรือนเจียซู่ และแยกย้ายกันเดินจากไป
โจวชูจิ่นอดเป็นกังวลอยู่บ้างไม่ได้
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่
ในชาติก่อนกับชีวิตนี้ก็ล้วนเป็นการเตรียมการเช่นนี้ ในชีวิตก่อนนางล้วนฟังที่พวกผู้ใหญ่จัดเตรียมเอาไว้อย่างเชื่อฟัง ซึ่งก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น นับประสาอะไรกับชีวิตนี้ที่นางตัดสินแล้วว่าจะอยู่อย่างเงียบๆ ให้เหมือนกับคลื่นลมที่สงบ จะผ่านชีวิตนี้ไปโดยไม่ให้เป็นที่สนใจของผู้อื่น
นางอาบน้ำสางผมแล้วก็เข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ
คืนนั้นนางนอนหลับสนิท ไม่ฝันเลยทั้งคืนจนถึงฟ้าสาง ยามตื่นขึ้นมาจึงเต็มไปด้วยพลังและความสดชื่น ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดฝาดสุขภาพดี
ตอนที่ซือเซียงอยู่รอช่วยนางแต่งตัวนั้นอดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “ผิวพรรณของคุณหนูรองดียิ่งนัก แป้งสีชาดนี้กลับทำให้คุณหนูรองดูดาษดื่นไปเลยเจ้าค่ะ”
คนอื่นประแป้งนางก็จะประแป้งด้วย หากคนอื่นไม่แต่งหน้านางก็จะไม่แต่งหน้าด้วย ไม่ต้องการสร้างความแปลกใหม่ ดูพิเศษอยู่เพียงผู้เดียว
โจวเสาจิ่นกล่าว “วันสำคัญเช่นนี้ จะไม่ใช้แป้งสีชาดพวกนี้บ้างเลยได้อย่างไร เจ้าเพียงตั้งใจช่วยข้าแต่งตัวเช่นที่ทำในยามปกติก็พอแล้ว”
ซือเซียงรู้สึกเสียดายอยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าโจวเสาจิ่นติดสินใจแน่แล้ว จึงไม่คะยั้นคะยออีก แล้วช่วยแต่งหน้าบางๆ ให้โจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นดูแล้วก็พึงพอใจเป็นอย่างมาก รับมื้อเช้ากับโจวชูจิ่นแล้วเดินไปเรือนเจียซู่พร้อมกัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังนั่งคุยสัพเพเหระรอพวกนางอยู่ เห็นพวกนางสองพี่น้อง คนหนึ่งสวมชุดเพ่ยจื่อยาวสีชมพูของดอกไห่ถังเย็บขอบด้วยลายดอกอวี้หลานทรงกลม อีกคนสวมชุดเพ่ยจื่อสีม่วงอ่อนลายฟางเซิ่ง [1] ยิ่งยืนเคียงคู่อยู่ด้วยกันแล้ว คนหนึ่งสง่างามราวดอกบัวที่เพิ่งโผล่พ้นผิวน้ำ อีกคนก็อ่อนโยนบอบบางราวกับดอกไม้ที่สะท้อนอยู่ในน้ำอันสงบนิ่ง เป็นความงดงามที่อธิบายออกมาไม่ได้ ดวงตาของทั้งสองคนล้วนสดใสแวววาว ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหันไปยิ้มพลางกล่าวกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยน “เจ้าดูพี่น้องคู่นี้ของจวนเรา นี่สิถึงจะเรียกว่าเป็นความงดงามที่แท้จริง! ผู้อื่นก็คงไม่แคล้วกล่าวเช่นเดียวกันแล้ว!”
คนในห้องโถงต่างลอบปิดปากและหัวเราะกัน
โจวเสาจิ่นสองพี่น้องขัดเขินจนหน้าแดงระเรื่อ
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกล่าวขึ้นว่า “คำพูดนี้ของท่านพูดได้เฉพาะยามอยู่ในนี้เท่านั้น อย่าให้รู้ไปถึงข้างนอกได้ ระวังผู้อื่นจะกล่าวหาว่าท่านลำเอียงนะเจ้าคะ! “
“ข้าไม่พูดๆ” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหัวเราะร่าพลางกล่าว “ข้าไม่ใช่เด็กเล็กๆ อะไรที่พูดได้อะไรที่พูดไม่ได้ จึงยังไม่ได้ทดเอาไว้ในใจ”
ทุกคนหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวประคองมือของหวังมามาลุกขึ้นมา กล่าว “เวลาไม่เช้าแล้ว พวกเราไปกันเถอะ!”
ทุกคนยิ้มพลางกล่าว “เจ้าค่ะ” จากนั้นล้อมรอบฮูหยินผู้เฒ่ากวนเอาไว้แล้วเดินออกไปข้างนอก
มีสาวใช้วิ่งเข้ามารายงาน กล่าวว่า “ฮูหยินใหญ่ปั๋วมาเจ้าค่ะ”
ฮูหยินใหญ่ปั๋ว หรือก็คือต่งซื่อ มารดาของเฉิงลู่
โจวเสาจิ่นค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อย
ชาติก่อน เหมือนว่าพวกนางจะตรงไปที่เรือนซื่ออี๋ และอยู่ที่นั่นถึงได้พบกับต่งซื่อกับอู๋เป่าจางและคนอื่นๆ ที่มาร่วมอวยพรให้กับท่านผู้นำตระกูล
ทำไมครั้งนี้ถึงมีเรื่องที่ไม่เหมือนกันได้?
นางลอบให้ความสนใจอย่างระมัดระวัง เห็นฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนต่างก็ประหลาดใจมากเช่นเดียวกัน และยังส่งสายตาให้กันครั้งหนึ่ง จากนั้นฮูหยินใหญ่เหมี่ยนถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “เชิญนางเข้ามาเถอะ พวกเราก็กำลังจะไปที่เรือนซื่ออี๋แล้ว หากล่าช้าไปอีกก็จะสายได้”
สาวใช้เข้าใจแล้ว ก็วิ่งออกไป
หลังจากนั้นไม่นาน ต่งซื่อก็เดินเข้ามาด้วยความช่วยเหลือจากสาวใช้สองคน
“นายหญิงผู้เฒ่า!” นางทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอย่างรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย แล้วกล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินใหญ่เวิ่นของพวกข้าคงยังออกเดินทางในเร็วๆ นี้ไม่ได้ ข้านั้นเดินช้า เกรงว่าจะทำให้ล่าช้า จึงตั้งใจมาที่นี่เพื่อดูท่าน ไม่คิดว่าท่านก็ออกเดินทางแล้ว ทันเวลาพอดี เช่นนั้นข้าขอไปพร้อมกับท่านด้วยนะเจ้าคะ!”
“ฮูหยินใหญ่เวิ่นของพวกเจ้ายังออกเดินทางในเร็วๆ นี้ไม่ได้” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพึมพำกล่าว
สีหน้าของต่งซื่อยิ่งแสดงความอับอายออกมามากยิ่งขึ้น ครู่ใหญ่ถึงได้กล่าวเสียงเบาว่า “กล่าวกันว่านายท่านใหญ่เวิ่นทำพระพุทธรูปพระศรีอริยเมตไตรยทำจากหยกหลานเถียนที่ฮูหยินใหญ่เวิ่นเตรียมเอาไว้เป็นของขวัญมอบให้กับท่านผู้นำตระกูลหายไปเจ้าค่ะ”
——
[1] ลายฟางเซิ่ง สี่เหลี่ยมสองรูปทับซ้อนกันในแนวทแยงมุม