เฉิงฉือฟังคำบอกเล่าของโจวเสาจิ่นแล้ว หลับตาลงครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องนี้แล้ว ข้ารู้แล้ว!”
เอ๋!
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง
เรื่องสำคัญขนาดนี้ ท่านน้าฉือตัดสินใจได้อย่างง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ
นางประหลาดใจเป็นอย่างมาก
กระตุกแขนเสื้อของเฉิงฉือเบาๆ กระซิบถามเขาว่า “ท่านน้าฉือ ท่านวางแผนจะทำอย่างไรหรือเจ้าคะ”
ท่าทางของนางที่เบิกดวงตาสีดำใสแจ๋วมองเขาอย่างระมัดระวังนั้นทำให้เขารู้สึกว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ในใจบังเกิดความคิดซุกซนหลายส่วนขึ้นมา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ายังไม่ได้คิดดีๆ เลย ถ้าเป็นเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร”
ที่แท้ท่านน้าฉือก็ยังไม่ได้ตัดสินใจนี่เอง!
เช่นนั้นเหตุใดเขาถึงบอกให้นาง ‘ไม่ต้องสนใจ เขารู้แล้ว’ เล่า?
ดวงตารูปผลซิ่งของโจวเสาจิ่นเบิกกว้าง
จากนั้นก็กระวนกระวายเล็กน้อย
ใครจะรู้ว่าอู๋เป่าจางจะมีความสัมพันธ์ลับๆ กับเฉิงลู่ แล้วยังได้รู้ว่ามีคนของตระกูลเฉิงต้องการริบตำแหน่งของเฉิงลู่ไปโดยไม่ตั้งใจ และยังนำเรื่องนี้ไปบอกเฉิงลู่อีก…ริบตำแหน่งของเขาก็เท่ากับตัดอนาคตของเขา สำหรับคนอย่างเฉิงลู่แล้ว การทำเช่นนี้ทำให้เขาเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกฆ่าให้ตายเสียอีก
เขาไม่ต่อต้านอย่างเอาเป็นเอาตายสิถึงจะแปลก!
หากเรื่องราวถูกเปิดเผยออกไป ไม่ว่าจะตรวจสอบได้หรือว่าเป็นผู้ใดในตระกูลเฉิงที่ต้องการริบตำแหน่งของเขา ขอเพียงมั่นใจได้ว่าตระกูลเฉิงเป็นคนทำ ตระกูลเฉิงก็จะหนีไม่พ้นข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้เข้มแข็งที่ข่มเหงคนอ่อนแอไปได้ เฉิงลู่ยังอาจใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้เพิ่มชื่อเสียงให้ตัวเองโดดเด่นขึ้น กลายเป็นหนูที่ตระกูลเฉิงลังเลที่จะกำจัดด้วยเกรงว่าจะทำลายชามข้าวให้แตกไปด้วย
ถึงเวลานั้นไม่เพียงไม่อาจกดทับเฉิงลู่เอาไว้ได้เท่านั้น ในทางตรงกันข้ามอาจจะทำให้ท่านน้าที่นางไว้เนื้อเชื่อใจต้องติดร่างแหไปด้วย!
หากรู้เช่นนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ นางคงไม่เล่าให้ท่านน้าฉือฟังแล้ว
โจวเสาจิ่นก้มศีรษะลงอย่างหดหู่
ตอนนี้ท่านน้าฉือเองก็คงจะรู้สึกลำบากใจมากเป็นแน่
แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้รับปากนางไปแล้ว ก็เลยได้แต่ต้องคิดหาวิธีการอย่างระมัดระวังและรอบด้านแทนกระมัง
ถ้านางช่วยเสนอความคิดเห็นให้ท่านน้าฉือได้ก็คงจะดี!
มิใช่กล่าวเอาไว้หรือว่าช่างซ่อมรองเท้าสามคนเทียบเท่ากับผู้มีปัญญาอย่างจูเก่อเลี่ยงหนึ่งคน
โจวเสาจิ่นเค้นสมองขบคิดแผนการ
เฉิงฉือมองใบหน้าเล็กของนางที่ยับย่นยู่ยี่แล้ว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ก็รู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่งอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับตอนเป็นเด็กเวลาที่เขาถูกบิดาบังคับให้คัดอักษร แล้วเขาหาโอกาสวิ่งออกไปเล่นนอกเรือนหลักอย่างบ้าคลั่งครั้งหนึ่ง หลังจากกลับมาแล้วบิดากลับไม่รู้ว่าเขาออกไปข้างนอกมา เป็นความสุขประเภทหนึ่งที่มีเขารู้อยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น
เขาไม่ส่งเสียงอะไร มองนางกัดริมฝีปากตัวเอง ค่อยๆ หยุดพัดในมือลง เริ่มหมุนพู่สีแดงสดที่ห้อยลงมาจากพัดทรงกลมอย่างใจลอย
มีลมโชยเข้ามาอ่อนๆ จนแทบจะไม่รู้สึกว่ามีอยู่
พู่สีแดงสดนั้นพันอยู่ตรงปลายนิ้วมือขาวของนาง ทำให้ดูงดงามขึ้นมาหลายส่วนอย่างไม่มีสาเหตุ
อากาศร้อนระอุขึ้นมาราวกับมีไฟลุกไหม้ก็ไม่ปาน
เด็กน้อยผู้นี้ เมื่อครู่ยังคิดอยู่เลยว่านางช่างปรนนิบัติผู้คนได้เก่งนัก แต่เพียงพริบตาเดียวความจริงกลับเผยออกมาให้เห็นเสียแล้ว
มีสาวใช้คนใดบ้างที่กล้าใจลอยตอนกำลังโบกพัดอยู่ แม้แต่เรื่องที่ต้องทำก็ไม่ทำเสียเช่นนี้
เฉิงฉือหยิบพัดจากมือของนางมาอย่างเงียบๆ ค่อยๆ พัดให้โจวเสาจิ่นเบาๆ
โจวเสาจิ่นไม่คุ้นชินกับการปรนนิบัติผู้อื่นจริงๆ ถูกผู้อื่นฉวยเอาพัดไปแล้วแต่ก็ยังคิดว่าเป็นตอนที่พวกสาวใช้รับพัดไปพัดต่อเท่านั้น ทำหน้ามุ่ยจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
ซางมามาที่ยกแตงโมเข้ามาเห็นแล้วเกือบจะลื่นไถลจนล้มลงไป
นี่ตกลงว่าใครปรนนิบัติใครกันแน่
นางรับใช้นายท่านสี่ผู้นี้มานานหลายปี นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเขาโบกพัดให้ผู้อื่น…
ซางมามารีบปรับอารมณ์ กลั้นลมหายใจรวมรวมสติ ถึงได้กล้าเดินเข้าไปอย่างเบามือเบาเท้า วางแตงโมลงบนโต๊ะที่อยู่ข้างๆ แล้วก็ถอยออกไปอย่างเบามือเบาเท้าอีกครั้ง
โจวเสาจิ่นได้สติคืนกลับมา กล่าวกับเฉิงฉือเสียงเบาว่า “ท่านน้าฉือ หรือไม่ ก็อย่าไปสนใจเฉิงลู่เลยดีหรือไม่เจ้าคะ อย่างไรก็ตามคนชั่วย่อมได้รับกรรมตามสนอง เขาทำเรื่องชั่วร้ายมามากมายเพียงนี้ อย่างไรก็ต้องได้รับผลกรรมที่กระทำไว้เจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือเกือบจะสำลัก คิดอยู่ในใจว่าโชคดีที่ข้าไม่ได้ดื่มชา ไม่อย่างนั้นเกรงว่าคงได้พ่นน้ำชาออกไปกลางห้องโถงเป็นแน่
เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองนางอย่างเยียบเย็นครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “นี่คือวิธีที่เจ้าคิดได้หรือ เจ้าไม่คิดยังจะดีเสียกว่า!”
โจวเสาจิ่นเองก็รู้ว่าวิธีนี้ของตัวเองไม่เหมาะสมนัก
นางหน้าแดงเรื่อ กล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้สึกว่าเขาจะต้องไม่ปล่อยมันไปง่ายๆ เป็นแน่ หากเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมาแล้วถูกท่านผู้นำตระกูลจวนรองระแคะระคาย ตามสืบมาถึงตัวท่าน ท่านน้าฉือจะทำอย่างไรเจ้าคะ! เรื่องนี้ก็ช่างมันไปเถิดดีหรือไม่”
เฉิงฉือมีสีหน้าตะลึงงัน เงียบไปครู่ใหญ่ถึงได้กล่าวขึ้นว่า “เจ้ากลัวว่าข้าจะถูกท่านผู้นำตระกูลจวนรองจับได้อย่างนั้นหรือ”
เสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อย
ใบหน้าของโจวเสาจิ่นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด พยักหน้าติดๆ กัน กล่าวขึ้นว่า “ท่านผู้นำตระกูลจวนรองมีตำแหน่ง หากเขาต้องการทำลายท่าน ท่านต้องเสียเปรียบเป็นแน่เจ้าค่ะ”
มองจากมุมของนางแล้ว จวนหลักกับจวนรองสู้กันมาตั้งหลายปี จนถึงวันนี้จวนหลักก็ยังคงเกรงกลัวจวนรองอยู่บ้าง นั่นก็แสดงว่าท่านผู้นำตระกูลจวนรองต้องไม่ใช่คนที่จัดการได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน แต่คำพูดนี้นางไม่อาจพูดให้เฉิงฉือฟังได้ เพราะถ้านางกล่าวเช่นนี้ออกไป ไม่เท่ากับกำลังพูดว่าเฉิงฉือไร้ประโยชน์หรอกหรือ!
เช่นนั้นท่านน้าฉือคงเสียใจมากเป็นแน่!
เฉิงฉือจ้องมองนางตาไม่กระพริบด้วยสีหน้าไม่ปรกติเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกราวกับนั่งอยู่บนเบาะที่เต็มไปด้วยเข็ม
ท่านน้าฉือเป็นคนฉลาดออกปานนั้น คงมิใช่ว่าฟังออกว่านางหมายความอย่างไรแล้วกระมัง
นางรีบกล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ ข้าคิดว่าตอนนี้พวกเรายังไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับเฉิงลู่แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน เฉิงลู่ไม่ใช่คนดีอะไร หากเขาสอบจวี่เหรินผ่านจริงๆ ข้าค่อยไปหารือกับท่านพ่อ ดูว่าสามารถนำเรื่องที่บิดาของเขากระทำออกมาพูดได้หรือไม่ ถึงเวลานั้นอนาคตของเขาก็จะถูกสกัดกั้นอยู่ดีเจ้าค่ะ” กล่าวอีกว่า “คำให้การของหลานทิงและซินหลานทางการได้จดบันทึกเอาไว้แล้ว พวกเราหาวิธีไปคัดลอกมาสักชุดก็เพียงพอให้จัดการเฉิงลู่ได้แล้วเจ้าค่ะ”
แต่ชื่อเสียงอันดีงามของฮูหยินจวงเล่า?
เฉิงฉืออยากจะถามโจวเสาจิ่นสักประโยคเป็นอย่างยิ่ง
แต่เขาก็ไม่กล้าถามสักเท่าไร
เขากลัวว่าโจวเสาจิ่นจะพูดกับเขาอย่างเหลอหลราว่า ‘ไอ้โหยว เหตุใดข้าถึงคิดไม่ถึงกันนะ’ ยิ่งไปกว่านั้นเขากลัวว่าโจวเสาจิ่นจะพูดกับเขาอย่างโง่เขลาว่า ‘ท่านน้าฉือสำคัญกว่าเจ้าค่ะ’…
เฉิงฉือสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง ถึงปรับน้ำเสียงให้กลับมาเป็นปรกติได้ กระซิบกล่าวยิ้มๆ ว่า “เด็กโง่ นี่มันวิธีการอะไรของเจ้ากัน กินแตงโมเถิด!”
โจวเสาจิ่นถึงได้สังเกตเห็นว่ามีแตงโมงวางอยู่บนโต๊ะข้างๆ สองชาม
ฤดูกาลนี้ เพิ่งจะมีแตงโมขายในท้องตลาดไม่นาน
โดยปรกติยังหาซื้อได้ไม่ง่ายนัก
นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเราส่งไปให้ฮูหยินผู้เฒ่าด้วยดีหรือไม่เจ้าคะ”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้ากินของตัวเองไปเถิด ตอนนี้มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ข้าค่อยให้คนนำไปส่งให้ท่านแม่ของข้าพรุ่งนี้เช้า”
แตงโมนี้หวานจริงๆ
โจวเสาจิ่นเอ่ยขึ้นอย่างทะเล้นว่า “เช่นนั้นท่านน้าฉือก็มอบให้ข้าด้วยสักสองสามลูกก็แล้วกัน รสชาติดีมากเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือหลุดหัวเราะ กล่าวขึ้นว่า “รอให้คิดวิธีที่จะจัดการกับเฉิงลู่ให้ได้ก่อนแล้วข้าจะมอบให้เจ้าด้วยสักสองสามลูก ไม่อย่างนั้นก็อดกิน”
ใบหน้าเล็กของโจวเสาจิ่นยับยู่ยี่เป็นรอยย่นขึ้นมาอีกครั้ง
เรื่องนี้ก็ออกจะขู่เข็ญนางเกินไปแล้วจริงๆ
นี่หากนางให้กำเนิดบุตรมาแล้วเหมือนกับนางเช่นนี้ ต้องทำให้คนรู้สึกเป็นกังวลตายแน่ๆ!
เฉิงฉือใจกระตุก รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาเล็กน้อย กระแอมไอเบาๆ สองครั้ง แล้วยกชามขึ้นมาเริ่มกินบ้าง
แตงโมผ่านการแช่ในน้ำเย็นมาก่อน เมื่อกินเข้าไปแล้วรู้สึกเย็นอยู่ในปาก ทำให้รู้สึกสบายยิ่ง
เฉิงฉือจึงสั่งให้ซางมามายกเข้ามาให้โจวเสาจิ่นอีกหนึ่งชาม เอ่ยขึ้นว่า “ผ่าลูกที่ยังไม่แช่น้ำเย็น คุณหนูรองร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เย็นเกินไปจะทำให้ไม่สบายท้องได้”
โจวเสาจิ่นหน้าแดง เอ่ยขึ้นว่า “ข้ากินแค่ชามนี้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือกลับไม่สนใจ กล่าวกับซางมามาต่อไปว่า “แตงโมที่เหลือเจ้าให้สาวใช้ที่ตามมาด้วยของคุณหนูรองนำกลับไป มอบเป็นรางวัลให้คนที่รับใช้อยู่ในเรือนของคุณหนูรอง”
เด็กน้อยยังไม่กลับไป คนที่คอยรับใช้อยู่ในเรือนของนางย่อมยังไม่ได้พักผ่อนด้วยเช่นกัน
นำแตงโมกลับไปให้ลูกหนึ่ง ให้คนเหล่านั้นรู้ว่าขอเพียงตั้งใจรับใช้เด็กน้อยให้ดี เด็กน้อยก็จะปฏิบัติกับพวกนางอย่างดีเช่นกัน
ซางมามาเหลือบมองโจวเสาจิ่นอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง ขานรับยิ้มๆ ว่า “ข้าจะไปบอกให้ชุนหว่านนำกลับไปเจ้าค่ะ”
ดูจากรูปการณ์แล้ว ยังไม่รู้ว่านายท่านสี่จะคุยกับคุณหนูรองไปถึงเมื่อไร ทำให้คนที่รับใช้อยู่ในเรือนของคุณหนูรองได้สงบใจลงได้บ้างก็ดีเหมือนกัน
โจวเสาจิ่นรีบกล่าวขึ้นว่า “ชุนหว่านติดตามมากับข้าด้วย มอบให้นางหนึ่งชามก็พอแล้วเจ้าค่ะ ทางด้านนี้ท่านเองก็มีคนที่ให้การรับใช้เช่นเดียวกัน…”
“ไม่เป็นไร” เฉิงฉือกล่าว “พวกเขาก็ได้กันแล้ว”
โจวเสาจิ่นถึงได้ไม่เอ่ยอะไรเพิ่มอีก หลังจากที่กินแตงโมเสร็จแล้ว ชิงเฟิงตักน้ำมาให้ล้างมือ
ส่วนเฉิงฉือนั้นหลังจากได้พักผ่อนมาครู่หนึ่งและกินแตงโมไปแล้วก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมา
เขาไล่คนที่รับใช้อยู่ในห้องออกไป กล่าวเสียงเบาว่า “เสาจิ่น เรื่องของอู๋เป่าจางและเฉิงลู่นั้น เจ้าอย่าได้บอกผู้ใดเป็นอันขาด จะให้อู๋เป่าจางถอนหมั้นกับเฉิงนั่วในเวลานี้ก็สายไปแล้ว ได้แต่ต้องยอมรับข้อผิดพลาดและปล่อยให้เฉิงนั่วแต่งอู๋เป่าจางเข้ามา ถ้าอู๋เป่าจางใช้ชีวิตกับเฉิงนั่วไปอย่างสัตย์ซื่อและจริงใจก็แล้วไป หากกล่าวกันตามความสามารถและพรสวรรค์แล้ว เฉิงนั่วสู้เฉิงลู่ไม่ได้จริงๆ อู๋เป่าจางรูปโฉมงดงามอ่อนเยาว์ จะชอบเฉิงลู่ก็เป็นเรื่องที่ให้อภัยได้ แต่หากนางยังมีจุดประสงค์อื่น พวกเราค่อยจัดการนางก็ยังไม่สาย นี่ก็ต้องคอยดูว่านางจะทำอย่างไรต่อไป…
…ส่วนเฉิงลู่…
…เจ้าไม่ต้องมองว่าเขาสลักสำคัญมากเกินไป ต่อให้ท่านผู้นำตระกูลจวนรองรู้ว่าข้าต้องการเล่นงานเขา ก็ไม่มาทะเลาะกับข้าด้วยเรื่องของเขาหรอกกระมัง…
…ข้าเป็นถึงจิ้นซื่อขั้นสอง ตระกูลเฉิงนั้นการมีซิ่วไฉสักคนถือเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง มีจวี่เหรินสักคนก็ไม่เลวร้ายนัก แต่การจะมีจิ้นซื่อขั้นสองสักคนนั้นนับเป็นโชคชะตาแล้ว…
…ไม่อย่างนั้นตอนนั้นข้าก็คงจะไม่กลั้นใจไปลงสนามสอบหรอก…
…เจ้าอย่าได้เป็นกังวลใจแทนข้าเลย”
โจวเสาจิ่นคิดๆ ดูแล้ว ก็เป็นไปตามเหตุผลนี้จริงๆ
นางอดไม่ได้พรูลมหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง เผยรอยยิ้มสบายใจออกมาให้เห็น
เฉิงฉือเองก็ยิ้มตามออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
เสาจิ่นก็เหมือนกับดอกไม้ในเรือนเพราะชำ หากปรารถนาจะให้นางผ่านลมผ่านฝนต่างๆ ไปให้ได้ ก็ต้องค่อยๆ สอนค่อยๆ ให้นางได้เรียนรู้
บางเรื่องไม่จำเป็นต้องบอกนางทั้งหมดทุกอย่าง
สิ่งที่คนตัดขาดได้ยากที่สุดก็คือสายใยแห่งความรัก
ฟังจากบทสนทนาของอู๋เป่าจางกับเฉิงลู่แล้ว เกรงว่าอู๋เป่าจางจะมีความรู้สึกฝังรากลึกกับเฉิงลู่มาตั้งนานแล้ว
ขอเพียงมีจังหวะที่เหมาะสม เกรงว่าความรู้สึกที่ฝังรากลึกนี้จะแตกหน่อและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ต่อให้ไม่มีจังหวะที่เหมาะสม แต่สร้างช่วงเวลาที่เหมาะสมหนึ่งขึ้นมา ความรู้สึกดังกล่าวนี้ก็จะปรากฏตัวออกมาให้เห็นเด่นชัดได้เหมือนกัน
ถึงเวลานั้นก็เกินกว่าที่พวกเขาจะควบคุมได้แล้ว
หากมิใช่เพราะรับปากเด็กน้อยเอาไว้ตั้งแต่ต้นว่าจะจัดการริบตำแหน่งของเฉิงลู่แล้วล่ะก็ เขาคงยินดีที่จะเล่นสนุกกับการ ‘จับผิดชู้รัก’ สักครั้งหนึ่งมากกว่า!
เฉิงฉือแสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจ ทว่ากลับไม่เผยออกมาให้เห็นทางสีหน้าเลยสักนิด ถามโจวเสาจิ่นเสียงอบอุ่นว่า “ทีนี้คงนอนหลับได้แล้วกระมัง”
โจวเสาจิ่นขัดเขิน กล่าวขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่า “แต่เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าอู๋เป่าจางกับเฉิงลู่…ดูตัดบัวแต่ยังเหลือใยอยู่เล็กน้อย…นางคงไม่ทำเรื่องไม่ดีอะไรขึ้นมากระมัง”
ตอนที่นางกับเฉิงสวี่หมั้นหมายกัน เฉิงลู่ยังเสแสร้งแกล้งทำมาขอให้นางยกโทษให้เขา
หากมิใช่เพราะนางเห็นรองเท้าของเขาที่ใต้ต้นดอกไม้นั่น เกรงว่าคงจะขอร้องให้เขาช่วยส่งจดหมายไปให้พี่สาวแล้ว เช่นนั้นชีวิตทั้งชีวิตของนางคงจะสูญสิ้นไปแล้วจริงๆ!
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าเฉิงลู่ผู้นี้เป็นดังสุนัขที่ไม่มีวันเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอุจจาระไปได้ เขาจะต้องไปหาอู๋เป่าจางอีกเป็นแน่!
เฉิงฉืออดไม่ได้ที่จะลอบรู้สึกประหลาดใจกับความรู้สึกไวของโจวเสาจิ่น
เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย มิใช่ว่าพวกเราให้ทางรอดกับพวกเขาเส้นหนึ่งแล้วหรอกหรือ พวกเราลักลอบพบกันที่ด้านหลังของหอชิงเยียน พวกเราก็ช่วยเก็บเป็นความลับให้พวกเขาแล้ว ยังจะต้องให้พวกเรารับประกันความสงบสุขของชีวิตคู่ให้พวกเขาอีกหรือ นั่วเกอเอ๋อร์เป็นสามีของนาง หากสามีผู้หนึ่งไม่อาจรั้งหัวใจของภรรยาเอาไว้ได้ พวกเราจะไปเป็นกังวลใจแทนพวกเขาไปเพื่ออันใด”
โจวเสาจิ่นก้มศีรษะลงอย่างละอาย แม้แต่ใบหูที่ขาวดุจหยกยังแดงก่ำไปหมด
ไม่ง่ายเลยกว่าเฉิงฉือจะควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่ให้ยื่นมือไปลูบศีรษะของนางได้