เฉิงเจียปรายตามองโจวเสาจิ่นอย่างเย็นชาทีหนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าถูกกักบริเวณอยู่อย่างนี้ เจ้ายังอยากจะให้ข้าเล่าเรื่องของข้ากับหลี่จิ้งให้เจ้าฟังอยู่อีก ไม่มีทางหรอก!”
โจวเสาจิ่นจับมือของเฉิงเจีย พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “พี่สาวคนดี เจ้าบอกข้าเถิดนะ!”
เฉิงเจียไม่สนใจนาง
โจวเสาจิ่นจึงกล่าวว่า “ก็ได้ ถ้าเจ้าไม่เล่าเรื่องของเจ้ากับหลี่จิ้งให้ข้าฟัง ข้าก็จะไม่ช่วยไปตามหาหลี่จิ้งให้เจ้าแล้ว!”
“เจ้าเด็กน่าตาย!” เฉิงเจียเดินไปหยิกแก้มของโจวเสาจิ่นด้วยใบหน้าแดงก่ำ “นี่เจ้าไปเรียนรู้มาจากใครกัน ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าจะข่มขู่คนอื่นเป็นเสียแล้ว ข้าว่าเจ้าไม่เห็นข้าผู้เป็นพี่สาวคนนี้อยู่ในสายตาหรอก คอยดูว่าวันนี้ข้าจะไม่จักจี้เจ้าให้มันรู้ไป!”
“ช่วยด้วยๆ!” โจวเสาจิ่นกลิ้งหนีไปมาบนเตียง จากนั้นทั้งสองคนก็หัวเราะลั่นขึ้นมาอีกครั้ง
แต่เฉิงเจียก็ไม่ใช่คนที่เห็นแก่ตนเองโดยไม่รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรประเภทนั้นเหมือนกัน
พอนางเห็นโจวเสาจิ่นหัวเราะมากเกินไปจริงๆ แล้วก็ยั้งมือ แล้วเอนกายนอนลงบนเตียงข้างๆ นางพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงบางเบาว่า “ทำไมเจ้าถึงได้โง่เช่นนี้! หากมีคนมาชอบเจ้า เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไร สายตาที่เขามองเจ้าล้วนจะแตกต่างออกไป การปฏิบัติต่อเจ้าล้วนจะกระทำอย่างสนิทสนมกว่าผู้อื่น ทุกประโยคที่เจ้าพูดออกไปเขาล้วนจะเก็บเอาไปใส่ใจทั้งหมด ทุกอย่างที่เจ้าชื่นชอบเขาล้วนจะจดจำจนขึ้นใจได้ทั้งสิ้น…ขอเพียงเจ้าสังเกตดูให้ดี ย่อมจะรู้เอง”
เป็นเช่นนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นใคร่ครวญอยู่ในใจ
ท่านน้าฉือมักจะชายตามองนางอย่างดูแคลน แต่หลังจากที่เหลือบมองดูแล้วก็ยังคงดูแลเอาใจใส่นางเสมอ นางปรารถนาสิ่งใดก็ช่วยทำให้นางทุกอย่าง นางชื่นชอบอะไร…นางนึกถึงเครื่องเรือนในเรือนฝูชุ่ย…นางยังไม่ได้พูดอะไรออกไป ทว่าเรือนนั้นกลับตกแต่งตามรูปแบบเดียวกับตอนที่นางอาศัยอยู่ในเรือนหว่านเซียงทั้งหมดแล้ว
สำหรับเรื่องการปฏิบัติต่อนางอย่างสนิทสนมกว่าผู้อื่นนั้น…นางดูไม่ออกเลยจริงๆ!
ท่านน้าฉือดูเหมือนจะปฏิบัติต่อผู้ใดล้วนไม่ได้ใกล้ชิดอะไรมากเป็นพิเศษ
แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัว!
ทว่าเขาน่าปฏิบัติกับตนอย่างสนิทสนมกว่าจี๋อิ๋งเป็นแน่
แต่จี๋อิ๋งเป็นสาวใช้! จะมาเปรียบเทียบกันได้อย่างไรเล่า หากว่าบรรดานายท่านมาใกล้ชิดสนิทสนมกับสาวใช้ ส่วนใหญ่นั่นก็ความหมายว่าจะรับมาเป็นสาวใช้อุ่นเตียงทั้งนั้น…
ไอ้โหยว!
ช่างยุ่งยากเสียจริงๆ!
หากมีคนให้ขอคำปรึกษาได้สักคนก็คงจะดี
สีหน้าของนางหงอยเหงาลงเล็กน้อย
ทว่าเฉิงเจียกลับร้องเสียงดังขึ้นมา ตะโกนออกมาเสมือนตกใจกลัวอย่างไรอย่างนั้น กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น เจ้าบอกข้ามาตามตรง เจ้าแอบชอบใครอยู่ใช่หรือไม่”
จู่ๆ ความในใจของโจวเสาจิ่นก็ถูกเปิดเผยออกมา นางลนลานขึ้นมาในทันที รีบตอบไปว่า “ไม่มีๆ! เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน ข้าจะไปชอบใครได้เล่า!”
เฉิงเจียเบิกตาจ้องนางเขม็ง พร้อมกับกล่าวว่า “การชื่นชอบใครสักคนถือเป็นเรื่องไม่ดีอย่างนั้นหรือ ทั้งไม่ได้ขโมยหรือแย่งชิงของใครมาสักหน่อย เหตุใดถึงชอบผู้อื่นไม่ได้เล่า”
โจวเสาจิ่นนึกถึงเฉิงเจียกับหลี่จิ้ง แล้วอดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้
เฉิงเจียจะต้องคิดว่านางกำลังรังเกียจพฤติกรรมของเฉิงเจียที่ไปชอบหลี่จิ้งเป็นแน่!
นางได้แต่กล่าวว่า “ข้าไม่ได้ชอบใครเลยจริงๆ! และไม่ได้หมายถึงเจ้าด้วย!”
“เจ้ายังจะหลอกข้าอีก!” เฉิงฉือพึมพำว่า “เจ้าดูสภาพของเจ้าสิ”
ขณะที่นางกล่าว ก็ลากโจวเสาจิ่นไปหน้ากระจก “ประเดี๋ยวก็ดูเหม่อลอย ประเดี๋ยวก็ดูลิงโลดดีใจ เวลาพูดก็พูดอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ นี่ก็คืออาการของคนที่แอบมีคนที่ชอบอยู่ในใจ หาไม่แล้ว เจ้าก็คงจะไม่วิ่งมาถามข้าหรอก รีบบอกความจริงมาเสีย เจ้าชอบเฉิงอี้ใช่หรือไม่”
“เจ้าอย่ามาสับเปลี่ยนคู่นกยวนยางที่นี่นะ!” โจวเสาจิ่นร้องขึ้นมา “ข้าไม่ได้ชอบพี่ชายอี้สักหน่อย เขาเหมือนเด็กคนหนึ่ง อีกทั้งพวกเราก็โตมาด้วยกัน ข้ามองเขาเป็นพี่ชายแท้ๆ คนหนึ่ง จะไปชอบเขาได้อย่างไรเล่า”
ความจริงแล้วท่านยายหมายจะจับคู่พวกเขา หากว่าปล่อยให้เฉิงเจียป่าวประกาศออกไป เช่นนั้นนางอยากจะหนีก็คงหนีไม่พ้นเสียแล้ว
อย่างไรก็ตาม ท่านน้าฉือได้สัญญากับนางแล้วว่า จะไม่ให้นางแต่งงานกับเฉิงอี้ นางย่อมจะไม่ได้แต่งงานกับเฉิงอี้อย่างแน่นอน…หากว่ากันตามนี้ ท่านน้าฉือ ก็คงจะชอบนางอยู่บ้างกระมัง
นางกัดริมฝีปาก แล้วใจลอยเล็กน้อยอีกครั้ง
“เช่นนั้นเจ้าชอบใครหรือ” เฉิงเจียเห็นท่าทางของนางแล้ว ก็ไม่เชื่อคำพูดของนางแม้แต่น้อย “ข้าคิดดูแล้ว ในบรรดารุ่นคุณชายทั้งหลายที่เจ้ารู้จัก พี่ชายสือก็แต่งงานแล้ว ส่วนพี่ชายเก้ากับพี่ชายนั่วต่างมีคู่หมั้นแล้ว เหลือเพียงพี่ชายอี้คนเดียว…ไม่ใช่สิ ยังมีพี่ชายของข้าอยู่ด้วย…” จู่ๆ นางก็กระโดดตัวโหยงขึ้นมาในทันใด “เสาจิ่น เจ้าคงไม่ได้ชอบพี่ชายของข้าหรอกกระมัง ดังนั้นจึงอยากให้ข้าช่วยเป็นแม่สื่อให้เจ้า”
การคาดเดาอย่างเรื่อยเปื่อยของเฉิงเจียทำให้โจวเสาจิ่นตกใจสะดุ้งตัวโหยง
“วันนี้เจ้าได้กินยาหรือยัง” นางสาดสายตามองเฉิงเจียอย่างอดไม่ได้ทีหนึ่ง พลางกล่าวว่า “ข้าจะไปชอบพี่ชายใหญ่ของเจ้าได้อย่างไร ข้ากับพี่ชายใหญ่ของเจ้าไม่เคยแม้แต่จะสนทนากันสองประโยคเลยด้วยซ้ำเข้าใจหรือไม่”
“ก็จริง!” เฉิงเจียลูบศีรษะอย่างเขินอาย แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นคนที่เจ้าชอบคือใครกันแน่”
“ไม่มีใครทั้งนั้น!” โจวเสาจิ่นกล่าวยืนยัน “ข้าเพียงรู้สึกสงสัยนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
เฉิงเจียยังรู้สึกติดใจเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นจึงกล่าวขึ้นว่า “เจ้าอยากให้ข้าช่วยเจ้าส่งจดหมายให้หลี่จิ้ง แต่เจ้าไม่บอกข้าว่าหลี่จิ้งพักอยู่ที่ใด คนที่ข้าส่งไปจะทำให้เขามั่นใจได้อย่างไร”
นี่ต่างหากถึงเป็นเรื่องใหญ่อันดับแรกในใจของเฉิงเจียตอนนี้
นางจึงเลิกสนใจเรื่องของโจวเสาจิ่น รีบตอบไปว่า “เจ้ารอครู่หนึ่ง ข้าจะเขียนที่อยู่ให้เจ้า”
ชาติก่อนโจวเสาจิ่นก็เคยถูกเอาเปรียบด้วยเหตุเช่นนี้ ดังนั้นจึงเตือนนางว่า “เจ้าเรียกคนมาช่วยเขียนให้เจ้าดีกว่า หลีกเลี่ยงไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น แล้วสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาอีก”
เฉิงเจียตะลึงงัน จากนั้นก็คลี่ยิ้มอย่างเบิกบานพลางโอบกอดโจวเสาจิ่นหมายจะหอมแก้มนาง
โจวเสาจิ่นเบนหน้าหนีอย่างรังเกียจเล็กน้อย
เฉิงเจียไม่ยอม หัวเราะฮ่าๆ พลางกล่าวว่า “ยังเป็นเสาจิ่นของพวกเราที่ขบคิดได้อย่างรอบคอบ เสมือนเป็นพี่สาวแท้ๆ ของข้า เจ้าวางใจเถอะ หากว่าเรื่องแต่งงานของข้ากับหลี่จิ้งสำเร็จล่ะก็ ข้าจะให้หลี่จิ้งเตรียมซองแดงซองโตให้เจ้าซองหนึ่ง ต่อไปเสื้อผ้าอาภรณ์ทั้งสี่ฤดูของเจ้ากับบุตรชายหญิงของเจ้าข้าจะรับผิดชอบจัดเตรียมให้ทั้งหมดเอง”
การคุยโวโอ้อวดอย่างไม่ละอายของนางทำให้โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็หน้าแดงเถือก ด้านหนึ่งก็บ่นว่านางหน้าไม่อาย อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกอิจฉานางเล็กน้อย การที่ชอบผู้ใดแล้วพูดออกมาดังๆ เช่นนี้ได้ นับว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่งเหมือนกัน
ไม่นาน เฉิงเจียก็ให้คนจดที่อยู่ลงบนกระดาษเรียบร้อยแล้ว
โจวเสาจิ่นซ่อนกระดาษแผ่นนั้นไว้ในอกเสื้อ แล้วถึงได้รู้สึกว่าทั้งตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น ซ้ำยังรู้สึกวิงเวียนศีรษะ ขณะที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับตัวก็รู้สึกตาลายจนเห็นดวงดาวไปหมดแล้ว
นางลอบร้องในใจว่า ‘แย่แล้ว’
ตนคงจะไม่เป็นอย่างที่ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวไว้ ปล่อยให้ป่วยซ้ำขึ้นมาอีกกระมัง
โจวเสาจิ่นให้ชุ่ยหวนชงน้ำผสมน้ำตาลทรายร้อนๆ ให้นางแก้วหนึ่ง แล้วถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาก เค้นเรี่ยวแรงกลับไปที่เรือนฝูชุ่ย
ทว่าพอกลับถึงเรือนฝูชุ่ยก็ทรุดล้มลงไป
ครั้งนี้นางใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดฝืนรอให้โจวเหนียงจื่อมาตรวจดูอาการให้แต่โดยดี นอกจากนี้ยังไม่รอให้โจวเหนียงจื่อเอ่ยปากพูดก็กล่าวสำนึกผิดไม่หยุดแล้ว
เดิมทีสิ่งที่โจวเหนียงจื่อกลัวมากที่สุดคือนางจะไม่เชื่อฟังคำแนะนำของหมอ ตอนนี้พอเห็นโจวเสาจิ่นเบิกดวงตาเมล็ดซิ่งที่สุกใสดุจน้ำพลางกล่าวขอโทษขอโพยอย่างรู้สึกผิดแล้ว ความไม่พอใจอันน้อยนิดในใจของนางนั้นก็พลันสลายไปโดยที่ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว กล่าวยิ้มๆ ขึ้นว่า “ในเมื่อคุณหนูรองรู้ตัวแล้วข้าก็จะไม่กล่าวอะไรมากแล้ว ข้าจะจัดยาให้คุณหนูรองอีกห้าเทียบ กินครบแล้วข้าค่อยมาตรวจร่างกายใหม่อีกครั้ง”
โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณแล้วขอบคุณอีก แล้วให้ฝานหลิวซื่อติดตามโจวเหนียงจื่อไปจัดเตรียมเทียบยา
ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าไม่ต้องไปพูดมากต่อหน้าคุณหนูรอง นางแอบวิ่งออกไปเที่ยวเล่นเช่นนี้ นอกจากนี้ร่างกายก็ไม่แข็งแรงนัก เกรงว่าคงรู้สึกผิดอยู่ในใจอย่างมากแล้ว ให้นางคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องนี้จะดีกว่า ประเดี๋ยวเย็นนี้ตอนที่ข้าไปหาก็ค่อยแสร้งทำเป็นค้นพบโดยบังเอิญก็แล้วกัน”
ทว่าพอเฉิงฉือทราบเรื่องแล้วกลับขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที
เจ้าเด็กคนนี้ ไม่ว่าใครที่ไหนจะสำคัญหรือไม่ก็ล้วนเก็บมาใส่ใจไปหมดทุกคน กลัวแม้แต่จะเหยียบมดหนึ่งตัวตายด้วยซ้ำ แต่พอถึงคราวของตนกลับไม่ให้ค่าเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าร่างกายยังทนไม่ไหว ก็ยังจะไปหาเฉิงเจียอีก
กลัวว่าการไปเยี่ยมเฉิงเจียนั้นจะเป็นเพียงการตบตา แต่เพราะรู้ว่าเฉิงเจียถูกกักบริเวณเหตุเพราะตนเองจึงไปปลอบประโลมเฉิงเจียนั่นต่างหากที่เป็นเรื่องจริง
ขณะนั้นเขากำลังพูดคุยธุระกับอู๋ซานถวนผู้เป็นอีกหนึ่งตระกูลใหญ่ของกลุ่มเดินสมุทร อู๋ซานถวนเอ่ยถามเขาว่า “ได้หรือไม่ขอรับ” สองรอบติดกัน เขาถึงได้เก็บความคิดคืนกลับมา แล้วบอกจุดประสงค์ที่แท้จริงของตนออกไปว่า “เริ่มแรกข้าเป็นคนกลางที่ช่วยกำหนดเขตอิทธิพลให้กับพวกเจ้าและกลุ่มโจรสลัด ไม่ได้ตั้งใจจะมีส่วนในการค้าขายทางน้ำอีก พวกเจ้าจะเป็นอย่างไรข้าไม่สนใจ แต่ตอนนี้ข้าต้องการขนส่งยาเส้นชุดหนึ่งจากเมืองจินหลิงไปจิงเฉิงอย่างเป็นประจำ เจ้าต้องรับประกันว่าสินค้าของข้าจะส่งถึงมือของคนที่ข้าวางเอาไว้ตามกำหนดก็พอ”
อู๋ซานถวนรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
เรื่องที่นายท่านสี่เฉิงบั่นแขนข้างหนึ่งของบุตรชายของตระกูลเจียวขาด อีกทั้งยังสังหารเจี่ยงชิ่น ตอนนี้ตระกูลที่ยังไม่ได้ผูกแค้นกับเขาก็เหลือเพียงตระกูลอู๋ตระกูลเดียวแล้ว เขายังคาดหวังให้นายท่านสี่ก่อเรื่องขึ้นอีก และทำลายตระกูลเจียวกับตระกูลเจี่ยงให้สิ้นซาก ไม่ต้องพูดถึงการขนส่งยาเส้นอะไรเลย ต่อให้เป็นการลำเลียงเกลือเถื่อน เขาก็ต้องทำ!
“ดูท่านพูดสิขอรับ” เขาตบอกพูดอย่างรู้หน้าที่ว่า “เพียงเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ฝากฝังไว้กับข้าดีแล้ว ข้าจะร่างสัญญาให้ท่าน หากว่าเกิดความผิดพลาดประการใด ข้ายอมถวายหัวให้แก่ท่านเลยขอรับ”
เฉิงฉือกล่าวด้วยท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “เรื่องถวายหัวอย่ากระนั้นเลย ขอเพียงถึงเวลาแล้วเจ้าทำยาเส้นของข้าหาย แต่เจ้ากลับบอกว่าคนของตระกูลเจียวหรือตระกูลเจี่ยงเป็นผู้ทำก็พอ เช่นนั้นตำแหน่งนายท่านใหญ่ของกลุ่มเดินสมุทรของเจ้านี้ก็คงจะเหลือแต่ชื่ออย่างยากจะหลีกเลี่ยง ไม่ควรค่าได้รับความไว้วางใจอีกแล้ว”
อู๋ซานถวนใจสั่น กล่าวยิ้มๆ ว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรขอรับ! ตระกูลเจียวกับตระกูลเจี่ยงทำอะไรไว้บ้าง นั่นก็เป็นความแค้นที่มีต่อตระกูลอู๋ของพวกเรา จะลากไปเกี่ยวพันถึงท่านได้อย่างไร!”
เฉิงฉือพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
อู๋ซานถวนพรูลมหายใจยาว
ทั้งสองคนสนทนากันอีกสองสามประโยค เมื่ออู๋ซานถวนเห็นใบหน้าของเฉิงฉือเผยความเหนื่อยล้าออกมาหลายส่วน ก็ลุกขึ้นขอตัวกลับไป
เฉิงฉือนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวในโรงน้ำชาอีกครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ เดินลงมาจากอาคาร
ที่ประตูมีเด็กกลุ่มหนึ่งวิ่งไล่พ่อค้าหาบเร่คนหนึ่งที่หาบกังหันลมหลากสีกันอย่างเจื้อยแจ้ว เพื่อที่จะหลบเด็กกลุ่มนั้นแล้วพ่อค้าหาบเร่คนนั้นเกือบจะชนกับเฉิงฉือเสียแล้ว
บริวารของเฉิงฉือตะโกนเตือนดังลั่น
พ่อค้าหาบเร่ตกใจจนใบหน้าเผือดสี ประสานหมัดขอโทษขอโพยไม่หยุด
ทว่าเฉิงฉือกลับเดินเข้าไปหา ชี้กังหันลมที่อยู่บนบ่าของเขาพร้อมกับกล่าวว่า “กังหันลมนี้อันละเท่าไร” จากนั้นก็บอกไหวซานว่า “ซื้อให้หมด แล้วส่งไปที่เรือนฝูชุ่ย”
เด็กน้อยได้รับของเล่นนี้แล้ว คงจะพักฟื้นร่างกายอยู่ในเรือนอย่างเชื่อฟังได้แล้วกระมัง
มุมปากของไหวซานกระตุก นานพักใหญ่กว่าจะขานรับว่า “ขอรับ”
พ่อค้าหาบเร่คนนั้นรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก ทว่าความคิดของเฉิงฉือกลับเปลี่ยนไปคิดถึงเรื่องที่พูดคุยกับอู๋ซานถวนเมื่อครู่เสียแล้ว
กระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง[1]
หอส่งข่าวของราชสำนัก ขอทานจากพรรคกระยาจก บวกกับการขนส่งทางน้ำของกลุ่มเดินสมุทร ข่าวสารจากจิงเฉิงถึงจินหลิงก็จะส่งผ่านหากันได้เป็นครั้งแรกแล้ว
ต่อไปก็ปราบพรรคต่างๆ ในจิงเฉิงเพื่อการใช้งานของตน เวลามีเรื่องอะไรก็ช่วยวิ่งเต้นทำงานให้และเป็นผู้ช่วยทำงานต่างๆ ให้ได้
เฉิงฉือคิดคำนวณถึงพรรคผู้มีวรยุทธ์เก่งกาจที่อยู่ในความทรงจำสองสามพรรค
ส่วนโจวเสาจิ่นที่ได้รับกังหันลมนั้นกลับดีใจอย่างลิงโลดยิ่งนัก
กังหันลมมากมายเช่นนี้ สวยงามจริงๆ!
นางอยากจะลงจากเตียงโดยไม่สนคำห้ามปรามของชุนหว่าน
ฝานหลิวซื่อที่กำลังยกยาเข้ามาเห็นแล้วก็รีบสาวเท้าเดินเข้าไปหา กล่าวอย่างอ้อนวอนว่า “คุณหนูของพวกข้า ท่านนอนอยู่บนเตียงดีๆ เถิดเจ้าค่ะ ถ้าหากต้องการสิ่งใด เพียงสั่งคำหนึ่งก็พอแล้ว หากท่านอยากจะดูกังหันลม ข้าก็จะให้พวกนางนำกังหันลมทั้งหมดมาให้ก็แล้วกันนะเจ้าคะ”
ปี้เถาและคนอื่นๆ ได้ยินแล้วก็หอบกังหันลมทั้งหมดมาให้นาง
………………………………………………………………….
[1] กระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง เปรียบเปรยได้ว่า ผู้ที่มีทางหนีทีไล่ มีที่ซ่อนตัวมากมายเพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย