โจวเสาจิ่นรู้สึกว้าวุ่นใจยิ่งนัก นางประคองฮูหยินผู้เฒ่ากลับขึ้นเรือนไป
จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็หารือกับสื่อมามาถึงเรื่องการไปวัดในวันพรุ่งนี้ว่า “…ปรกติล้วนไปที่วัดกันเฉวียน ครั้งนี้ก็ไปวัดกันเฉวียนเหมือนเดิมก็แล้วกัน แม้จะมีธุระที่ต้องทำนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้เป็นธุระยากนัก ออกเดินทางกันช่วงยามเหม่า[1] หลังจากรับอาหารเจที่นั่นในตอนเที่ยงเรียบร้อยแล้วค่อยกลับมา” จากนั้นก็ให้สื่อมามาไปที่จวนสี่ “ดูว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอยากจะออกไปทำบุญที่วัดด้วยกันหรือไม่”
สื่อมามายิ้มพลางขานรับว่า “เจ้าค่ะ” แล้วนำความไปแจ้งจวนสี่ด้วยตนเอง
หลายวันมานี้อากาศร้อนระอุเป็นพิเศษ คนงานที่ก่อสร้างเรือนใหม่ให้เฉิงเก้าบางคนเกือบจะเป็นลมแดดกันเลยทีเดียว เฉิงเหมี่ยนจึงให้คนงานเหล่านั้นพักงานชั่วคราวก่อน ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่มีอะไรทำ แต่ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกลับยุ่งกับการซื้อบ่าวหญิงและสาวใช้เข้าเรือน พอได้ยินแล้วก็ส่งคนไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “นายหญิงผู้เฒ่ายินดีที่จะไปด้วย แต่ฮูหยินใหญ่กำลังยุ่งกับเรื่องงานแต่งงานของคุณชายใหญ่เก้าจึงไปด้วยไม่ได้เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตกรางวัลให้บ่าวหญิงสูงวัยผู้นั้น แล้วนัดเวลากับฮูหยินผู้เฒ่ากวน
โจวเสาจิ่นทำเหมือนกับการออกไปเที่ยวเล่น แม้ว่าอยากจะออกไปเที่ยวข้างนอก แต่เนื่องจากขาดเฉิงฉือไปคนหนึ่ง จึงรู้สึกเหมือนกับขาดอะไรบางอย่างไป ขาดความตื่นเต้นดีใจที่ได้ออกไปข้างนอกเล็กน้อย
หลังจากที่นางสวดมนต์เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวในห้องพระแล้ว ก็เริ่มคัดพระธรรม
เนื่องจากขอให้องค์กวนอิมคุ้มครองเฉิงฉือให้เดินทางปลอดภัย ไม่สู้คัดพระธรรมเพิ่มอีกสักสองสามบทเพื่อแสดงความจริงใจถึงจะถูก
ฮูหยินลอบพยักหน้าเล็กน้อย
เด็กคนนี้ทั้งชาญฉลาดและรู้ความ จริงใจและมีมารยาท…น่าเสียดายจริงๆ!
นางถอนหายใจ แล้วบอกให้ปี้อวี้ปรนนิบัติโจวเสาจิ่น ส่วนตนกลับห้องไปพักผ่อน ให้สาวใช้เด็กนวดขา พลางครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย
ตกบ่าย ชุ่ยหวนมาหาโจวเสาจิ่น บอกว่าได้รับคำสั่งจากเฉิงเจีย ให้มาเชิญโจวเสาจิ่นไปเป็นแขกในวันพรุ่งนี้
โจวเสาจิ่นรู้ว่านี่คือการที่เฉิงเจียต้องการขอบคุณนางที่ช่วยส่งจดหมายไปให้หลี่จิ้ง นางจึงยิ้มพลางปฏิเสธไปว่า “…พรุ่งนี้ข้าต้องไปถวายธูปที่วัดเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัว!”
ชุ่ยหวนรู้สึกผิดหวังยิ่งนัก
เพื่อมาเชิญโจวเสาจิ่นแล้วเฉิงเจียเปลืองแรงไปไม่น้อย ไม่คาดคิดว่าจะตรงกับธุระของฮูหยินผู้เฒ่ากัวพอดี น่าเสียดายยิ่งนัก
นางออกจากเรือนหานปี้ซานไปอย่างไม่มีทางเลือก
โจวเสาจิ่นไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ ครุ่นคิดว่ารออีกสองวันให้ตนมีเวลาว่างแล้วค่อยไปหาเฉิงเจียก็ยังไม่สาย
ใครจะรู้ว่าดวงอาทิตย์ยังไม่ทันตกถึงดิน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็มาหาด้วยตนเอง บอกว่าอยากจะไปถวายธูปที่วัดกันเฉวียนกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กล่าวขึ้นอย่างขัดเขินว่า “นี่ก็ทำเพื่อหลานเจีย เจียงซื่อกับเจ้าหลานคนนี้ทะเลาะกันทุกสองสามวัน เจ้าหลานคนนี้ถูกบีบคั้นจนหมดหนทาง วิ่งไปร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าข้าทั้งบ่าย ข้าคิดว่าปล่อยให้เป็นเช่นนี้บ่อยๆ ไม่ได้ บังเอิญได้ยินว่าท่านจะไปทำบุญที่วัดกันเฉวียน จึงอยากจะพาเจ้าหลานคนนี้ไปผ่อนคลายจิตใจด้วย ทั้งยังได้คุยเล่นกับเสาจิ่นอีกด้วย”
อย่างไรก็ตามช่วงหน้าร้อนอากาศร้อนยิ่งนัก หนำซ้ำก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำเช่นกัน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงตอบตกลงไปอย่างไม่ได้ใส่ใจมากนัก
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่บ่นเรื่องของเจียงซื่อไปพักหนึ่ง จากนั้นถึงได้กลับไป
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย พร้อมกับกล่าวว่า “สุดท้ายก็เป็นหลานจากบ้านเดิมของตนเอง เจียงซื่อไม่ยอมลงให้เช่นนี้ นางจึงรู้สึกเสียหน้าไปด้วย ดังนั้นถึงได้จะพาเฉิงเจียไปถวายธูปที่วัดกับพวกเราด้วยกระมัง!”
เรื่องเช่นนี้ใครจะกล้าตอบเล่า
ยังคงเป็นปี้อวี้ที่ใจกล้า ยิ้มพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ เป็นไปได้ว่านายหญิงผู้เฒ่าของจวนสามอาจจะนั่งรถม้าคันเดียวกับคุณหนูเจีย พรุ่งนี้ท่านจะนั่งรถม้าไปกับคุณหนูรองหรือฮูหยินผู้เฒ่ากวนเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวว่า “ข้านั่งรถม้าไปกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนดีกว่า! พรุ่งนี้มีหลานเจียไปด้วย ไม่แน่ว่าจะเล่นซุกซนอะไรอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมานั่งรถม้าคันเดียวกับเสาจิ่นเลย”
นี่ก็มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!
ปี้อวี้เม้มปากกลั้นยิ้ม
วันรุ่งขึ้นทุกคนมาพบกันที่ประตูชั้นในช่วงยามเหม่า ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนนั่งรถม้าไปด้วยกัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กับเฉิงเจียนั่งรถม้าไปด้วยกัน ส่วนโจวเสาจิ่นกลับถูกทิ้งให้นั่งไปคนเดียว
ไม่ต้องพูดถึงโจวเสาจิ่น แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวขึ้นว่า “วันนี้หลานเจียรู้ความมากทีเดียว!”
เฉิงเจียที่กำลังประคองฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อยู่ หน้าแดงเรื่อพลางกล่าวด้วยอาการสำรวมว่า “หายากที่ข้าจะได้ไปวัดเป็นเพื่อนท่านย่าสักครั้งหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าหัวเราะเยาะข้าไปเลยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าให้อย่างอ่อนโยน แล้วขึ้นรถม้าไปโดยมีโจวเสาจิ่นช่วยประคอง มุ่งหน้าไปที่วัดกันเฉวียน
พระอาจารย์ซื่อฮุ่ยผู้เป็นเจ้าอาวาสของวัดกันเฉวียนออกมาต้อนรับหน้าอุโบสถด้วยตนเอง
เมื่อวานตระกูลเฉิงให้พ่อบ้านเร่งมาตระเตรียมอาหารและที่พักเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว พระอาจารย์ซื่อฮุ่ยเองก็ทราบจุดประสงค์การมาของพวกนางแล้วเช่นกัน รอจนกระทั่งโจวเสาจิ่นหยิบพระธรรมที่คัดเสร็จออกมาม้วนหนึ่งแล้ว เขากล่าวยิ้มๆ อย่างอดไม่ได้ว่า “ลายมือของคุณหนูรองนับวันยิ่งสง่างามและสละสลวย อีกสักสองสามปี ก็คงรับลูกศิษย์ได้แล้ว”
บรรดาคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์ที่มีชื่อเสียงของเจียงหนาน ส่วนใหญ่ล้วนได้รับการอบรมสั่งสอนจากป้าอาหรือป้าสะใภ้อาสะใภ้กันทั้งสิ้น การบอกว่ารับลูกศิษย์ได้แล้ว ถือเป็นคำชมขั้นสูงสุดแล้ว
โจวเสาจิ่นยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับการได้รับคำชมเชยเช่นนี้ ดวงหน้าของนางขึ้นสีแดงเรื่อพลางกล่าวขอบคุณอย่างถ่อมตนไปหลายประโยค
เนื่องจากพระธรรมที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถวายในวันสรงน้ำพระในปีนั้นก็เป็นพระธรรมที่โจวเสาจิ่นคัดมา จึงสร้างความประทับใจให้แก่พระอาจารย์ซื่อฮุ่ยเป็นอย่างมาก สองปีมานี้เวลาที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาทำบุญที่วัดก็ล้วนเป็นโจวเสาจิ่นที่ติดตามมาเป็นเพื่อนด้วย ความประทับใจที่เขามีต่อโจวเสาจิ่นจึงฝังแน่นยิ่งขึ้น เขาสนทนากับโจวเสาจิ่นสองสามประโยคอย่างสำรวม แล้วไปแลกเปลี่ยนคำทักทายกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวและคนอื่นๆ
โจวเสาจิ่นเห็นเฉิงเจียยืนอยู่ตรงกันข้ามนางอย่างพินอบพิเทา ก็ให้รู้สึกแปลกใจยิ่งนัก
เฉิงเจียไม่เคยทนฟังเรื่องเช่นนี้ได้เลยสักครั้ง เหตุใดวันนี้ถึงได้ทำตัวสงบเสงี่ยมเพียงนี้เล่า
นางส่งสายตาให้เฉิงเจีย
ทว่าเฉิงเจียกลับแสร้งทำเป็นไม่เห็น ยืนอยู่เป็นเพื่อนข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อยู่ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง นึกถึงช่วงก่อนที่เฉิงเจียให้นางช่วยสืบข่าวของหลี่จิ้ง…หรือว่าเรื่องจะแดงขึ้นมาแล้ว? แต่ถ้าหากถูกจับได้แล้วล่ะก็ ทำไมฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ยังจะพานางมาทำบุญที่วัดกันเฉวียนด้วยอีกเล่า
นางให้เสี่ยวถานไปสืบดู
ไม่นานก็ถึงเวลารับมื้อเที่ยง เสี่ยวถานมากระซิบบอกนางว่า “กล่าวกันว่ามีคนมาสู่ขอคุณหนูเจีย ฮูหยินใหญ่หลูพึงพอใจยิ่งนัก ในอีกไม่กี่วันแม่สื่อก็จะมาที่บ้านแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูเจียคุกเข่าร้องไห้ฟูมฟายต่อหน้านายหญิงผู้เฒ่าหลี่ นายหญิงผู้เฒ่าหลี่รู้สึกสงสารคุณหนูเจีย จึงพานางออกจากบ้านเพื่อผ่อนคลายจิตใจเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมาก กระซิบถามว่า “รู้หรือไม่ว่าเป็นผู้ใดที่มาสู่ขอพี่สาวเจีย”
“กล่าวกันว่าเป็นบุตรชายคนโตของเจ้าเมืองจินหวาเจ้าค่ะ” เสี่ยวถานตอบ “ฮูหยินของเจ้ากรมซุนเป็นแม่สื่อให้ แม้ว่าจะมาจากตระกูลที่ไม่ได้สูงศักดิ์นัก แต่คุณชายใหญ่ท่านนั้นเป็นบัณฑิตผู้คงแก่เรียนผู้หนึ่ง สอบได้ยศซิ่วไฉตั้งแต่อายุสิบหก พออายุยี่สิบปีก็สอบได้ยศเป็นจวี่เหรินแล้วเจ้าค่ะ”
นี่เป็นบุตรเขยแบบที่จวนสามโปรดปราน
พานจื๋อผู้เป็นบุตรเขยของจวนสามก็มีพื้นเพเช่นนี้เหมือนกัน
โจวเสาจิ่นรู้สึกเสียใจแทนเฉิงเจียเล็กน้อย
ไม่มีความโทมนัสใดตรอมตรมเท่าหัวใจที่ตายด้านอีกแล้ว
ที่เฉิงเจียเป็นเช่นนี้ มากกว่าครึ่งคงเพราะรู้สึกจิตใจตายด้านไปแล้ว
ตอนที่นั่งลงกินอาหารเจ โจวเสาจิ่นจึงจงใจนั่งติดกับเฉิงเจีย
ทว่าเฉิงเจียกลับหลีกเลี่ยงนาง ทำเสมือนมีเรื่องผิดใจอะไรกับโจวเสาจิ่นก็ไม่ปาน
ฮูหยินผู้เฒ่าทั้งหลายย่อมไม่ไปยุ่งเป็นธรรมดา
โจวเสาจิ่นรับประทานอาหารเจอย่างอึดอัดใจ
พระอาจารย์ซื่อฮุ่ยรั้งให้พวกนางพักผ่อนสักพักก่อนแล้วค่อยเดินทางกลับ กล่าวว่า “ตอนนี้อากาศร้อนเกินไป รอให้เลยยามอู่สือ[2]ไปแล้วค่อยเดินทางกลับไปก็ยังไม่สาย”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองแสงแดดอันร้อนแผดเผาแล้ว จึงตัดสินใจกลับซอยจิ่วหรูหลังยามอู่สือ
พระอาจารย์ซื่อฮุ่ยรีบสั่งให้เณรน้อยเก็บกวาดบริเวณลานที่สงวนไว้สำหรับสตรีของตระกูลเฉิงให้เรียบร้อย ส่วนตนเองก็อยู่คุยเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าทั้งสามท่านโดยตลอด
เฉิงเจียอดรนทนไม่ไหวแล้ว กระซิบข้างหูฮูหยินผู้เฒ่าหลี่สองสามประโยค แล้วออกจากห้องข้างไป
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้แต่ปล่อยนางไป
เวลาผ่านไปหนึ่งจอกชา เณรน้อยเข้ามาแจ้งว่าเก็บกวาดลานวัดเสร็จแล้ว
พระอาจารย์ซื่อฮุ่ยส่งพวกนางถึงหน้าประตูเรือนพักด้วยตนเอง หลังจากที่กล่าวคำพูดตามมารยาทสองสามประโยคแล้ว ถึงได้หมุนกายออกไป
เฉิงเจียติดตามฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไปที่ห้องข้างด้านตะวันตก ส่วนโจวเสาจิ่นตามฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปยังห้องข้างตะวันออก หลังจากสั่งการสาวใช้ให้ปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนพักผ่อนเรียบร้อยแล้ว นางก็หาวทีหนึ่งแล้วผล็อยหลับไป
ระหว่างที่กำลังนอนเคลิบเคลิ้มอยู่นั้น โจวเสาจิ่นก็รู้สึกเหมือนมีใครมาสะกิดนาง
นางลืมตาขึ้นมา พบว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนต่างล้อมรอบตัวนาง และมองนางด้วยสายตาเป็นกังวลยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นสะดุ้งตกใจจนตื่นเต็มตา ลุกขึ้นมานั่งในทันที พลางเอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ หรือว่า…”
เกิดอะไรขึ้นกับท่านน้าฉือใช่หรือไม่
ยังดีที่โจวเสาจิ่นยับยั้งคำพูดไว้ทัน กลืนประโยคนั้นกลับลงไป
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่ได้สังเกตท่าทีผิดปกติของนางเลยสักนิด แต่เมื่อเห็นว่านางตื่นแล้วก็พูดเข้าประเด็นเลยว่า “หลานเจียหายตัวไป ชุ่ยหวนก็หายตัวไปด้วยเช่นกัน นางได้บอกอะไรกับเจ้าบ้างหรือไม่”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน นานพักใหญ่กว่าจะคืนสติกลับมา แล้วถามขึ้นว่า “ท่านว่าอะไรนะเจ้าคะ พี่สาวเจียหายตัวไป? อะไรคือหายตัวไปหรือเจ้าคะ”
ผู้คุ้มกันของตระกูลเฉิงล้อมบริเวณลานนี้อย่างแน่นหนาแม้น้ำหยดลงเพียงหยดเดียวก็เล็ดลอดออกไปไม่ได้ เฉิงเจียจะหายตัวไปได้อย่างไรเล่า
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้ยินแล้วก็เหลือบมองฮูหยินผู้เฒ่ากัวทีหนึ่ง
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแต้มความไม่พอใจเล็กน้อยพลางกล่าวขึ้นว่า “ข้าบอกแล้วว่าเสาจิ่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยแต่อย่างใด แต่เจ้าก็ไม่เชื่อ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนตอบอย่างขัดเขินว่า “มิใช่เพราะข้าเห็นว่าปรกติเสาจิ่นกับหลานเจียมักจะเล่นด้วยกันอย่างสนิทสนมหรอกหรือ จึงอยากดูว่าเสาจิ่นจะทราบข่าวคราวอะไรบ้างหรือไม่ก็เท่านั้นเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็เข้าใจเรื่องราวในทันที นางรีบกล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านยายเจ้าคะ นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่เจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนครุ่นคิดแล้วตอบว่า “เมื่อครู่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่มาบอกว่า นางตื่นขึ้นมาจากการนอนกลางวันแล้วไม่พบตัวหลานเจีย ยังคิดอยู่ว่าหลานเจียคงจะวิ่งออกไปเล่นซนอยู่ข้างนอก จนกระทั่งนางแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เตรียมจะมาทักทายพวกข้าที่นี่ ก็ยังหาตัวหลานเจียไม่พบ นอกจากนี้ตามคำบอกเล่าของบ่าวหญิงข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่แล้ว พวกนางไม่เห็นหลานเจียออกมาจากห้องเลยสักครั้ง ต่อมาพวกข้าถึงได้ค้นพบว่ามีก้อนหินก้อนหนึ่งอยู่ข้างหลังหน้าต่าง…ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ร้องห่มร้องไห้จนดวงตาบวมเป่งไปหมด ได้แต่ตีโพยตีพายว่าหากไม่พบตัวหลานเจีย นางก็คงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว…”
หรือว่าเฉิงเจียจะหนีตามหลี่จิ้งไป?
พอนึกถึงว่าตนเองเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดคนหนึ่ง โจวเสาจิ่นก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเป็นคนที่ค่อนข้างเข้มงวดกับผู้อื่น นางจึงไม่กล้ามองหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากวนเป็นธรรมดา แต่ชำเลืองมองฮูหยินผู้เฒ่ากัวทีหนึ่งแทน
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังคงปรกติเหมือนเดิม แต่กล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนว่า “ทางด้านของน้องสะใภ้สามนั้น คงต้องขอให้เจ้าไปแจ้งนางสักหน่อย ข้าเห็นท่าทางเช่นนั้นของนางแล้วก็ให้รู้สึกปวดหัว”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนส่ายศีรษะพร้อมกับเดินไปหาฮูหยินผู้เฒ่าหลี่
ไม่อาจปล่อยให้เสียเวลาไปมากกว่านี้!
โจวเสาจิ่นจึงเล่าเรื่องของเฉิงเจียกับหลี่จิ้งให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟังทั้งหมดอย่างละเอียด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วสีหน้าค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นมา ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้ตำหนิโจวเสาจิ่นเลยสักครั้ง แต่ถามขึ้นว่า “เรื่องนี้จวนสามก็ทราบด้วยหรือไม่”
“น่าจะทราบเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นตอบอย่างรู้สึกผิด “แต่เรื่องที่พี่สาวเจียไปพบหลี่จิ้งที่หอชิงเยียน แล้วก็เรื่องที่ฝากข้านำจดหมายไปให้หลี่จิ้งนั้น ข้าก็ไม่รู้ว่าจวนสามจะทราบหรือไม่!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวขบคิด แล้วกล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้เจ้าก็ทำเป็นไม่รู้เรื่องเสีย ไม่ว่าใครถามเจ้าก็อ้างไปว่าตนเป็นเพียงน้องสาว ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่าหลี่นั้นมีข้าช่วยออกหน้าให้ ตอนนี้เจ้าอยู่ในห้องข้างนี้ อย่าออกไปไหน ทั้งจวนหลักกับจวนสี่พวกเราต่างไม่อาจช่วยหลานเจียให้พ้นจากคำครหานี้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเชิญนายท่านหลูและฮูหยินใหญ่หลูของจวนสามมาแล้ว” จากนั้นก็กล่าวอีกว่า “เกรงว่าวันนี้จะเดินทางกลับไม่ได้แล้ว ยังดีที่อยู่ในวัด พวกเราค้างแรมสักคืนสองคืนก็ไม่เสียหายอะไร”
………………………………………………………………….
[1] ยามเหม่า เวลา 5.00 น. – 7.00 น.
[2] ยามอู่สือ เวลา 11.00 น. – 13.00 น.