แม้ว่าเจียงซื่อเป็นผู้ที่ชอบเอาชนะผู้อื่น ทะนงตน และรักหน้าตาคนหนึ่ง แต่ที่มากกว่านั้นคือรู้จักสำรวจสีหน้าของผู้อื่น
พอเห็นสามีที่ทึ่มทื่อมาตลอดบันดาลโทสะขึ้นมาจริงๆ แม้จะรู้สึกเสียหน้าต่อหน้าบรรดาบ่าวรับใช้มาก แต่นางยังคงอดกลั้นเอาไว้ได้พลางก้มศีรษะเข้าไปในห้องข้างพร้อมกับฮูหยินผู้เฒ่ากวน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เกลี้ยกล่อมนางด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ผู้ที่ซื่อตรงมักจะกระทำสิ่งใดๆ ด้วยความเถรตรงเสมอ บุตรสาวหายตัวไปอย่างนี้ เขาเองก็โมโหจนเลือดขึ้นหน้าเหมือนกัน เจ้าอย่าไปคิดเล็กคิดน้อยกับเขานักเลย ประเดี๋ยวเมื่อพบตัวหลานเจียแล้ว ข้าจะไปพูดกับท่านผู้นำตระกูลจวนรอง ให้ท่านผู้นำตระกูลลงโทษเขาอย่างสาสม!”
แต่ถ้าหากหาตัวลูกเจียไม่พบเล่า
เจียงซื่อจับมือของฮูหยินผู้เฒ่ากวนเอาไว้ แล้วร้องไห้คร่ำครวญพร้อมกับบ่นขึ้นมาว่า “ข้าเป็นมารดาเลี้ยงคนหนึ่งหรืออย่างไร บุตรสาวถึงได้เป็นของเขาแต่ไม่ใช่ของข้า! ข้าเป็นผู้ที่ให้กำเนิดนางหลังจากอุ้มครรภ์นานถึงสิบเดือนอย่างยากลำบาก ตรากตรำเลี้ยงดูฟูมฟักนางจนโตถึงเพียงนี้ มีเรื่องเกิดขึ้นกับบุตรสาว ข้าจะไม่รู้สึกปวดใจหรือเสียใจได้หรือ! เขาตบหน้าข้าที่ไหนกัน นี่เป็นการคว้านเอาหัวใจของข้าออกมาต่างหาก!”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่อยู่ในห้องอดรนทนฟังไม่ได้ ความไม่พอใจที่อัดอั้นอยู่ในใจจึงพลุ่งขึ้นมาถึงขีดสุด
นางขาดกำลังความสามารถ จึงยกหน้าที่ดูแลบ้านให้เจียงซื่อเป็นคนดูแล นางยังดีใจที่จะได้มีเวลาว่างมากขึ้น
เจียงซื่อบอกว่าปรารถนาจะหาบุตรเขยที่มีอนาคตไกลคนหนึ่งให้หลานเจีย ให้หลานเจียได้สวมมงกุฎหงส์และสายสะพายเซี่ย[1] อย่างสมเกียรติ นางคิดว่าตนเองด้อยความรู้และประสบการณ์ เรื่องแต่งงานของหลานเจียนั้นให้เจียงซื่อจัดการเสียจะดีกว่า!
แต่เจียงซื่อกลับทำอะไรลงไปอีกแล้ว
บังคับให้หลานเจียอยู่แต่ในบ้านจนนางทนไม่ไหว ร้องไห้คร่ำครวญอ้อนวอนให้ตนพานางไปวัดกันเฉวียนเพื่อผ่อนคลายจิตใจ
เพียงเพราะว่าหลานชายจากบ้านเดิมของตนหมายปองหลานเจียอย่างนั้นหรือ
บ้านใดมีบุตรสาวย่อมมีร้อยครอบครัวมาสู่ขอ
หลานเจียไม่เพียงมีหน้าตางดงาม อุปนิสัยก็ดีเช่นกัน หลานชายจากบ้านเดิมของตนเห็นแล้วจะรู้สึกชื่นชอบ นี่ก็มิใช่เรื่องปกติมากหรอกหรือ
เจียงซื่อก็ดี กลับต้องการก่อเรื่องจนคนโกรธเคืองสวรรค์เดือดดาล ทำให้บ้านไม่สงบสุข
กล่าวไปกล่าวมา ก็เพียงเพราะดูถูกที่ตระกูลหลี่มีพื้นเพเป็นพ่อค้านั่นเอง
มีพื้นเพเป็นพ่อค้าแล้วอย่างไร
ตอนที่นายท่านผู้เฒ่ามีชีวิตอยู่หากมิใช่เพราะบรรดาพี่ชายน้องชายจากบ้านเดิมของตนให้การสนับสนุนช่วยเหลือ กิจการของจวนสามจะใหญ่โตเท่ากับตอนนี้ได้หรือ จวนสามจะเจริญรุ่งเรืองถึงเพียงนี้ ทำให้จวนหลักกับจวนรองต่างหันมาสนใจกันมากขึ้น และเจียงซื่อจะได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสำราญเช่นนี้หรือ
หลี่ซื่อคิดว่านางคงไม่ได้คิดจะดูถูกตระกูลหลี่ แต่คิดจะดูถูกตนเองที่เป็นแม่สามีผู้นี้ต่างหาก
นี่ช่างสมกับคำกล่าวที่ว่าม้าดีย่อมถูกคนขี่ คนดีย่อมถูกคนรังแกเสียจริงๆ!
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ไม่พอใจยิ่งนัก กล่าวเสียงเย็นขณะนั่งอยู่บนเตียงว่า “นางเป็นบุตรสาวของเจ้านั้นไม่ผิด แต่ตั้งแต่โบราณก็มีคำกล่าวว่า ‘เลี้ยงบุตรชายมาไม่เชื่อฟังเป็นความผิดของบิดา เลี้ยงบุตรสาวมาไม่เชื่อฟังเป็นความผิดของมารดา’ เจิ้งเกอเอ๋อร์ใจกว้างและอ่อนโยน ยามที่ออกไปข้างนอกมีใครบ้างที่ไม่ยกหัวแม่มือขึ้นและกล่าวชมเชยเขาว่า ‘ดี’ ทำไมหรือ นายท่านใหญ่ต่อว่าเจ้าไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือ”
เจียงซื่อสูดลมเย็นเข้าไปลมหายใจหนึ่ง
นางคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ แม่สามีที่เสมือนก้อนแป้งก้อนหนึ่งจะแข็งกร้าวขึ้นมา ยิ่งคิดไม่ถึงว่าแม่สามีจะตำหนิตนว่าไม่อบรมสั่งสอนบุตรสาวให้ดี ซ้ำยังไปโต้เถียงกับเฉิงหลูอีก…หากให้พูดต่อไปอีก แม้แต่การขับไสไล่ส่งนางกลับบ้านเดิมก็ล้วนเกิดขึ้นได้
นางโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว แต่รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาแก้ตัว
ยังหาตัวลูกเจียไม่พบ
หากไม่ได้เป็นอะไรก็ดี แต่ถ้าหากเป็นอะไรขึ้นมาล่ะก็ ทุกถ้อยคำและการกระทำของนางในตอนนี้จะกลายเป็นความผิดของนางทั้งหมด
นางได้แต่ก้มศีรษะลงพร้อมกับเดินเข้าไปในห้อง แล้วกล่าวขอโทษฮูหยินผู้เฒ่าหลี่
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง
หลานเจียของนาง ไม่ได้ไปกับหลี่จิ้ง แล้วนางไปที่ใดกันเล่า หากถูกคนลักพาตัวไป ถูกพรากความบริสุทธิ์ไปจะทำอย่างไร
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเห็นพวกนางที่เป็นแม่สามีและบุตรสะใภ้ทะเลาะกันจนหน้าแดงหูแดงไปหมด ก็ครุ่นคิดว่าตนไม่น่าไปยุ่งเรื่องของผู้อื่นเลย เพียงแต่ตอนนี้อยากจะถอยออกมาก็สายเกินไปเสียแล้ว จึงได้แต่อดทนเกลี้ยกล่อมฮูหยินผู้เฒ่าหลี่และเจียงซื่อไปอย่างไม่มีทางเลือก
เฉิงหลูที่อยู่กับฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินว่านางเป็นผู้จัดการเรื่องนี้ให้ทั้งหมด ก็กล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วถึงได้ไปหามารดา
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อดไม่ได้ต่อว่าเจียงซื่อไปอีกคำรบหนึ่ง กล่าวว่าหากมิใช่เพราะเจียงซื่อบีบบังคับให้เฉิงเจียอยู่แต่ในบ้านจนนางรู้สึกว้าวุ่นใจล่ะก็ พวกนางจะมาวัดกันเฉวียนกันทำไม และถ้าหากไม่ได้มาวัดกันเฉวียน เฉิงเจียจะถูกคนลักพาตัวไปได้อย่างไร
เจียงซื่อไม่มีคำแก้ตัวแม้ประโยคเดียว ได้แต่ร้องห่มร้องไห้ประหนึ่งคนอาบน้ำตาคนหนึ่งก็ไม่ปาน
สุดท้ายแล้วก็เป็นสามีภรรยาที่ร่วมผูกผมกันมาตั้งแต่เยาว์วัย เฉิงหลูเห็นแล้วก็รู้สึกทนไม่ได้อยู่บ้างเช่นกัน
ฝ่ายหนึ่งก็เป็นมารดา อีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นภรรยา เขาราวกับกำลังนั่งอยู่บนเบาะเข็มก็ไม่ปาน ซ้ายก็ไม่ได้ ขวาก็ไม่ดี
เขาได้แต่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยอยู่ตรงกลาง นอกจากนี้พอเห็นท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว และวัดกันเฉวียนก็จุดโคมไฟกันแล้ว ทว่าก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเฉิงเจีย เฉิงหลูเริ่มรู้สึกอดรนทนไม่ไหว ทั้งไม่อยากฟังมารดาพร่ำบ่น และไม่อยากเห็นเจียงซื่อร่ำไห้ จึงหาข้ออ้างข้อไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัวเสีย
ทางด้านของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเงียบสงบกว่า
โจวเสาจิ่นนั่งอยู่ข้างเตียงพร้อมกับอ่านพระธรรมให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่กำลังเคลิ้มหลับฟัง
น้ำเสียงอันนุ่มนวลนั้นหวานยียวนดั่งสุรา สีหน้าอันสุขุมนั้นสงบเงียบและเยือกเย็น
เฉิงหลูลอบส่ายศีรษะ
ทั้งสองคนเป็นเด็กสาวเหมือนกัน เฉิงเจียนั้นนั่งนิ่งอยู่กับที่ไม่ได้เลยแม้แต่ครู่เดียว แต่หลานรองของตระกูลโจวกลับอ่อนโยนและสงบเงียบ…หากว่าบุตรสาวเป็นเหมือนหลานรองตระกูลโจวได้ ก็คงจะไม่หายตัวไปเช่นนี้!
คิดถึงตรงนี้ ถ้อยคำเหล่านั้นที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่เพิ่งกล่าวออกไปเมื่อครู่ก็ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของเขาอีกครั้ง ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเจียงซื่อเล็กน้อยที่แสดงท่าทีขึงขังดึงดันต่อเรื่องการแต่งงานของบุตรสาว
โจวเสาจิ่นเห็นเฉิงหลูเข้ามา จึงเข้าไปหลบอยู่ในห้องข้างอย่างรู้ความ
เฉิงหลูนั่งลงหารือกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวนานครึ่งค่อนคืน แต่ก็ไม่ได้ข้อสรุปใดๆ ออกมา เฉิงหลูกล่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “หากว่าน้องชายฉืออยู่บ้านก็คงจะดี ข้าก็จะได้มีผู้ช่วยผู้หนึ่ง!”
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับไม่ปรารถนาให้บุตรชายสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้แต่อย่างใด
“จริงแท้ยิ่งนัก!” นางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “หากจะโทษก็ต้องโทษที่เขารีบเร่งเดินทางเร็วเกินไป คนที่ข้าส่งไปแจ้งข่าวให้เขาล้วนไล่ตามไปไม่ทัน”
เฉิงหลูก็รู้สึกทอดถอนใจตามไปด้วยเช่นกัน
จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวขึ้นว่า “นี่ก็ดึกแล้ว แผนการที่พอจะคิดออกพวกเราก็ขบคิดกันหมดทุกอย่างแล้ว หลานเจียดูเหมือนเป็นเด็กที่มีวาสนาดีคนหนึ่ง ย่อมต้องเปลี่ยนโชคร้ายให้กลายเป็นดีได้อย่างแน่นอน เจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวลมากเกินไป ตอนนี้ผู้ที่อยู่ใต้บัญชาต่างมองพวกเราอยู่ พวกเราทั้งหลายไม่อาจล้มลงไปต่อหน้าพวกเขา กินข้าวก่อนเถิด! พวกบ่าวหญิงเหล่านั้นเมื่อกินข้าวเสร็จแล้วก็จะได้ไปทำหน้าที่ได้อย่างสบายใจ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้คนยกสำรับอาหารเข้ามา
ทุกคนต่างรับประทานอาหารกันอย่างเงียบเชียบ
พ่อบ้านไป๋เข้ามากระซิบแจ้งฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “ยังไม่พบตัวเลยขอรับ!”
ยิ่งกว่านั้นตอนนี้ก็เป็นเวลายามสองแล้ว
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับสุขุมเยือกเย็นขึ้นมา กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “หากนางยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องพบตัว แต่ถ้าหากนางตายแล้วก็ต้องพบศพ ตกรางวัลให้ทุกคนคนละหนึ่งเหลี่ยง แล้วค้นหากันต่อไป!”
พ่อบ้านไป๋ก้มศีรษะลงพลางขานรับ แล้วถอยออกไป
ทุกคนต่างลืมตามองดูท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดมิดลงทีละนิด
โจวเสาจิ่นชงชาจอกใหม่ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “ท่านไปพักผ่อนสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ! ข้าจะเฝ้าอยู่ตรงนี้ หากมีเรื่องอะไรจะเรียกท่านทันที! ถ้าหากท่านเป็นลมล้มพับไป เรื่องของพี่สาวเจียจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
นางคิดว่าจะให้คาดหวังกับคนของจวนสามเกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็รู้ซึ้งถึงความจริงข้อนี้เช่นกัน นางให้โจวเสาจิ่นปรนนิบัติพานางไปพักผ่อน
โจวเสาจิ่นแบ่งบ่าวรับใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากัวออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งอยู่รอเป็นเพื่อนนาง อีกกลุ่มหนึ่งให้ไปนอนหลับพักผ่อนก่อน
ค่ำคืนอันแสนเชื่องช้าและยาวนาน เพียงแค่โจวเสาจิ่นคิดว่าเฉิงเจียอาจจะถูกรังแกเหมือนกับที่ตนเองเคยเผชิญในชาติก่อน นางก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
ถ้าหากบนโลกนี้มีเวรกรรมอยู่จริง กรรมนั้นควรจะตกไปอยู่กับเฉิงลู่ถึงจะถูก
ไฉนถึงได้เกิดเรื่องกับเฉิงเจียแทนเล่า
โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจ
จึงยิ่งคะนึงหาเฉิงฉือมากขึ้น
ถ้าหากเฉิงฉืออยู่ที่นี่ด้วย จะต้องมีคำตอบให้นางอย่างแน่นอน
โจวเสาจิ่นกอดตัวเอง
ปี้อวี้ที่คอยอยู่ข้างๆ รีบกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง ข้าไปหยิบเสื้อคลุมมาให้ท่านดีกว่าเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก” โจวเสาจิ่นตอบ “ข้าเพียงเป็นห่วงพี่สาวเจียเท่านั้น…”
ปี้อวี้กลั้นน้ำตาพลางเบือนหน้ามองไปทางอื่น
ข้างนอกมีเสียงครึกโครมหนึ่งดังขึ้น และมีแสงไฟสว่างไสว
โจวเสาจิ่นลุกพรวดขึ้นมาในทันที
ปี้อวี้ยิ่งแล้วใหญ่ไม่ต้องรอให้นางบอกก็สาวเท้ามุ่งออกไปข้างนอก พลางกล่าวว่า “คุณหนูรอง ข้าจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นนะเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า
ประตูของลานบ้านถูกกระแทกเปิดออกมา มีบ่าวหญิงร้องเสียงสูงว่า “พบตัวคุณหนูเจียแล้วเจ้าค่ะๆ!”
โจวเสาจิ่นดีใจจนร้องไห้ออกมา เลิกกระโปรงขึ้นมาแล้ววิ่งออกไป
บรรดาบุรุษท่าทางองอาจต่างยืนอยู่ไกลๆ ส่วนพ่อบ้านไป๋ถือโคมไฟเดินเข้ามาพร้อมกับบ่าวหญิงร่างกำยำสองคนที่ยกไม้กระดานประตู
ชุ่ยหวนช่วยประคองไม้กระดานประตูเอาไว้ สีหน้ายุ่งเหยิง ส่วนเฉิงเจียที่นอนอยู่บนไม้กระดานประตูผมเผ้ายุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง สีหน้าซีดเหลืองประหนึ่งกระดาษทองก็ไม่ปาน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้นมา
พ่อบ้านไป๋รีบตอบว่า “พบอยู่ที่หลังภูเขาขอรับ ไม่รู้ว่าถูกตัวอะไรกัดมา หมดสติไปเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว ข้าได้เชิญท่านหมอมาแล้ว พระอาจารย์ซื่อฮุ่ยเองก็จะมาถึงในอีกไม่ช้าขอรับ”
ในเมื่อถูกตัวอะไรบางอย่างกัดที่บริเวณหลังเขาของวัดกันเฉวียน บางทีพระอาจารย์ซื่อฮุ่ยอาจจะรู้ว่าจะใช้ยาอะไรรักษานางได้ก็เป็นได้
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ และก็ช่วยอะไรมากไม่ได้ จับมือของเฉิงเจียคุ้มกันนางเดินเข้าไปข้างใน
ทว่าตรงประตูกลับมีคนกลุ่มหนึ่งวิ่งพรูกันออกมาเสียงดังตึงตัง ล้อมรอบเฉิงเจียเอาไว้ ร้องไห้ฟูมฟายว่า “ลูกของข้า” บ้าง “หลานเจียของข้า” บ้าง เบียดโจวเสาจิ่นกระเด็นไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว
โจวเสาจิ่นปล่อยมือนาง มองดูฮูหยินผู้เฒ่าหลี่และคนอื่นๆ รุมล้อมเฉิงเจียเข้าไปในห้องข้าง จากนั้นไปรายงานสถานการณ์ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนอนอิงหมอนใบใหญ่อย่างเงียบงันครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “คนไม่เป็นอะไรหาตัวกลับมาได้ก็ดีแล้ว! กว่าฟ้าจะสว่างก็คงอีกหนึ่งชั่วยาม เจ้าก็คงเหนื่อยแล้วเหมือนกัน รีบไปนอนเถอะ! พรุ่งนี้เช้าถึงจะเป็นศึกหนักของจริง”
จริงด้วย!
หาตัวคนกลับมาได้แล้ว ตอนนี้เรื่องที่ว่าเฉิงเจียวิ่งไปหลังเขาทำไม สาวใช้อย่างชุ่ยหวนรู้เรื่องหรือไม่ นางถูกตัวอะไรกัดมากันแน่ เป็นอันตรายถึงชีวิตหรือไม่ เรื่องเหล่านี้ต่างหากถึงจะเป็นประเด็นสำคัญ!
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางพยักหน้า แล้วกลับไปยังห้องพักของตนเอง
นางคิดว่าตัวเองจะนอนไม่หลับ คิดไม่ถึงว่าพอหัวแตะถึงหมอนนางก็ผล็อยหลับไปในทันที เป็นชุนหว่านที่มาเรียกนาง นางถึงได้ตื่นขึ้นมา
ชุนหว่านแจ้งนางว่า “พระอาจารย์ซื่อฮุ่ยคาดเดาว่าคุณหนูเจียน่าจะถูกแมลงขนาดเล็กเฉพาะถิ่นบริเวณหลังเขาของวัดกันเฉวียนชนิดหนึ่งกัดเจ้าค่ะ ป้อนยาให้แล้ว ช่วงฟ้าสางคุณหนูเจียตื่นขึ้นมาครั้งหนึ่ง ตอนนี้หลับไปอีกครั้งแล้ว พระอาจารย์ซื่อฮุ่ยกล่าวว่าคุณหนูเจียตื่นขึ้นมาได้เช่นนี้ก็ถือว่าไม่เป็นอะไรมากแล้ว ประเดี๋ยวกินยาอีกสองเทียบก็หายดีเป็นปลิดทิ้งแล้วเจ้าค่ะ ชุ่ยหวนไม่ยอมพูดอะไรเลยสักคำ นางถูกขังไว้ในห้องเก็บฟืน ว่ากันว่าต้องการหานายหน้าคนหนึ่งมารับนางไปขาย…” กล่าวถึงตรงนี้ นางก็ตัวสั่นขึ้นมา
โจวเสาจิ่นได้คาดการณ์เอาไว้บ้างแล้ว
แม้ว่าในชาติก่อนชุ่ยหวนจะไม่เคารพนาง แต่ก็ปฏิบัติกับเฉิงเจียอย่างจงรักภักดียิ่ง
ก็เหมือนกับชาติที่แล้ว ที่ฝานหลิวซื่อเป็นบ่าวชั่วช้าในสายตาคนตระกูลเฉิง แต่สำหรับโจวเสาจิ่นแล้วนางกลับเป็นผู้ช่วยชีวิตของตัวเอง
จวนสามต้องการขายนางออกไป อย่างน้อยก็ต้องรอให้เฉิงเจียตื่นขึ้นมาก่อนถึงจะถูก
นางกระซิบสั่งชุนหว่านว่า “เจ้าไปบอกภรรยาของหม่าฟู่ซานให้ที หากว่าตระกูลเฉิงคิดจะขายนางจริง ก็ให้นางซื้อตัวชุ่ยหวนเอาไว้ก่อน”
คนเฉกเช่นพวกนางนี้ เป็นสาวใช้ใหญ่ยังจะมีหน้ามีตามากกว่าคุณหนูจากตระกูลธรรมดาทั่วไปเสียอีก ชุนหว่านกับชุ่ยหวนต่างเป็นสาวใช้ใหญ่ข้างกายคุณหนูเหมือนกัน เมื่อเห็นชุนหว่านต้องมาพบจุดจบเช่นนี้ ก็รู้สึกค่อนข้างเห็นใจนางอย่างคนที่เข้าใจคนหัวอกเดียวกันอย่างอดไม่ได้ พอได้ยินดังนั้นแล้วก็รู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น รีบให้คนนำจดหมายไปให้ภรรยาของหม่าฟู่ซาน
ตอนเที่ยงป้อนยาให้เฉิงเจียอีกถ้วยหนึ่ง
นางดื่มยาแล้ว ก็สะลึมสะลือไม่ได้สติไปอีกครั้ง
เมื่อถึงเวลาป้อนยาให้นางอีกครั้งตอนกลางคืน ในที่สุดเฉิงเจียก็ตื่นขึ้นมา
แม้ว่ายังสับสนงุนงงอยู่บ้าง แต่ก็นับว่านางมีจิตใจดี เพราะประโยคแรกที่เอ่ยถามถึงก็คือชุ่ยหวน
จวนสามไม่ได้ขายชุ่ยหวนออกไปในทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เฉิงเจียโกรธจนอาการแย่ลงหลังจากที่ตื่นขึ้นมาแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ให้คนไปเรียกชุ่ยหวนมาพบเฉิงเจีย
เฉิงเจียเห็นชุ่ยหวนที่แต่งตัวสะอาดสะอ้านเรียบร้อยดีแล้ว ก็ยิ้มน้อยๆ ออกมา แล้วผล็อยหลับไปอีกครั้งหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่และคนอื่นๆ ต่างรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
ทว่าสาวใช้เด็กกลับรายงานว่า “คุณชายใหญ่ตระกูลหลี่มาเจ้าค่ะ!”
คุณชายใหญ่ของตระกูลหลี่ ก็คือหลี่จิ้งนั่นเอง
………………………………………………………………….
[1] มงกุฎหงส์และสายสะพายเซื่ย คือ เครื่องประดับของสตรีสูงศักดิ์ในพิธีแต่งงาน และเครื่องยศอิสตรีของภรรยาขุนนาง ถือเป็นเครื่องประดับที่แสดงเกียรติยศ