โจวเสาจิ่นครุ่นคิดอยู่สักครู่ จากนั้นเล่าเรื่องที่นางกับเฉิงสวี่พบกันเมื่อหลายครั้งก่อนหน้านี้ให้โจวชูจิ่นฟัง
โจวชูจิ่นฟังแล้วก็ตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้สติกลับมา กล่าวขึ้นอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “เจ้าจะบอกว่า เจ้ากำลังจะบอกว่าคุณชายใหญ่จวนหลักนั้น คิดกับเจ้า คิดกับเจ้า…แบบไม่ปกติอย่างนั้นหรือ”
หากว่าเป็นชาติก่อน โจวเสาจิ่นคงจะพยักหน้าตอบกลับไปอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยเป็นแน่ แต่หลังจากที่มีประสบการณ์จากเรื่องงานหมั้นอย่างกะทันหันของเฉิงลู่กับอู๋เป่าจางมาแล้ว นางจึงเรียนรู้ที่จะเงียบเอาไว้ คนอื่นเขายังไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน นางย่อมไม่ควรสร้างอารมณ์อ่อนไหวขึ้นมาเองมากเกินไป
“ข้าไม่รู้เจ้าค่ะ” นางกล่าว “แต่ข้ามักจะรู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ไม่ดีนัก ระหว่างที่อะไรยังไม่ชัดเจนนี้ ควรจะอยู่ให้ห่างจากเขาเอาไว้หน่อยน่าจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ กล่าวอย่างตรึกตรองขึ้นว่า “ข้ากลับคิดว่าเขาน่าเชื่อถือกว่าเฉิงลู่”
โจวเสาจิ่นตกใจจนทั้งร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น รีบกล่าวขึ้นว่า “ท่านพี่ ท่านเพิ่งจะพูดไปเองว่า หากข้ากับพี่ชายสักคนในตระกูลเฉิงมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมา ย่อมไม่อาจหลุดรอดจากการตรวจสอบของท่านยายและท่านป้าใหญ่ไปได้ ผู้ใหญ่ทั้งสองท่านนั้นรักพวกเรายิ่งนัก พวกเราจึงไม่อาจตบหน้าพวกนาง และก็ไม่อาจทำให้พวกนางเสียหน้าจนสูญเสียความน่าเชื่อถือนะเจ้าคะ! ข้าเห็นว่าไม่ควรจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ท่านควรจะช่วยคิดหาวิธีให้ข้าอยู่ให้ไกลจากเฉิงสวี่ถึงจะถูกเจ้าค่ะ”
นางนึกถึงเฉิงจวี่จากจวนห้าที่ตามรังควานตนเองภายหลังจากที่ข่าวคราวการหมั้นหมายของเฉิงลู่กับอู๋เป่าจางออกมาแล้ว นางถึงได้รู้ว่าเฉิงจวี่นั้นหลงใหลในความงามของตนมานานและมีเจตนาอยากจะกระทำผิดกฎมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่ามีเฉิงสวี่เป็นอุปสรรคขัดขวางเอาไว้ก็เลยไม่กล้าลงมือเท่านั้น จึงกล่าวขึ้นว่า “จะให้ดีที่สุดคือต้องอยู่ให้ห่างจากบรรดาพี่ชายตระกูลเฉิงทั้งหมดเจ้าค่ะ” เมื่อนึกถึงความยากลำบากของตนหลังจากที่พี่สาวแต่งงานออกไปแล้ว จึงกล่าวขึ้นอีกว่า “รอให้ท่านพี่แต่งงานออกเรือนไปแล้ว ข้าจะไปอยู่กับท่านพ่อเจ้าค่ะ” เนื่องจากบิดานั้นคือผู้เป็นใหญ่ในจวน ต่อให้มารดาเลี้ยงจะปฏิบัติไม่ดีกับนางอย่างไร ก็คงไม่กล้ากลั่นแกล้งนางให้ลำบากในเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่อย่างการแต่งงาน
โจวชูจิ่นได้ยินแล้วก็ทั้งประหลาดใจทั้งละอายใจไปด้วยเป็นอย่างมาก กุมมือของน้องสาวเอาไว้แล้วกล่าวว่า “เป็นพี่สาวที่ประมาทเลินเล่อ มัวแต่คิดถึงเรื่องเกียรติและความมั่งคั่ง จนลืมเรื่องสถานะความเหมาะสมทางสังคมของตระกูลไป โชคดีที่เจ้ามีความคิดรอบคอบ ไม่เช่นนั้นพี่สาวคงได้ทำผิดต่อเจ้าแล้ว”
“ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ เป็นเพราะท่านพี่ใส่ใจถึงได้คอยวุ่นวายต่างหากเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นคิดว่าถ้าหากตนไม่ได้มีชีวิตมาสองภพชาติ ก็คงไม่อาจมองเรื่องราวได้อย่างถ่องแท้ขนาดนี้ นางนั่งลงข้างๆ พี่สาว และพูดกับพี่สาวเป็นการส่วนตัวว่า “ข้ารู้ว่าท่านพี่เป็นกังวลเรื่องของข้า อยากให้ข้าได้แต่งกับตระกูลที่ดี แต่ว่าตระกูลเฉิงนั้นไม่ใช่ว่าใครๆ ก็สามารถแต่งเข้าไปได้ ไม่ต้องกล่าวถึงใครอื่น เพียงกล่าวถึงพี่ชายเจิ้งจวนสามก็ได้ ปีนี้เขาก็อายุยี่สิบสองปีแล้ว เป็นซิ่วไฉในรัชศกซื่อเต๋อปีที่สิบเจ็ด แต่กลับยังไม่ได้มีการเจรจาเรื่องแต่งงานเลย ข้าได้ยินเฉิงเจียเล่าว่า ท่านย่าของนางคิดว่าจวนสามนั้นยังไม่มีอำนาจมากเท่าที่ควร จึงตั้งใจจะหาตระกูลของสะใภ้ที่สามารถให้ความช่วยเหลือเขาในราชสำนักให้กับพี่ชายเจิ้ง แค่จวนสามยังเป็นได้ขนาดนี้ นับประสาอะไรกับจวนหลักล่ะเจ้าคะ?”
“ท่านอาจจะพูดได้ว่า จวนหลักนั้นสูงส่งอยู่แล้วเพราะมีผู้มีตำแหน่งเป็นถึงเสียวจิ่วชิง อีกทั้งบิดา ปู่ และบรรพบุรุษต่างก็ได้สร้างจิ้นซื่อรุ่นแล้วรุ่นเล่ามาแล้วถึงห้าคน การหาตระกูลของสะใภ้ที่สามารถให้ความช่วยเหลือในราชสำนักได้นั้นก็เป็นเพียงการเติมดอกไม้ลงในผ้าไหมทำให้สิ่งที่ดีอยู่แล้วดียิ่งขึ้นไปอีกเท่านั้น จึงไม่จำเป็นเท่าไหร่นัก แต่ท่านพี่ ท่านเคยลองคิดดูหรือไม่เจ้าคะ ผู้คนข้างนอกที่เห็นพวกเราสวมทองประดับเงิน จะเข้าจะออกก็พร้อมพรั่งไปด้วยรถม้าและบ่าวไพร่ ต่างก็ชื่นชมพวกเราเป็นอย่างมาก แต่พวกเรากลับยังรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองยังไม่ได้น่าพึงพอใจเท่าไหร่นัก ยังคงปรารถนาจะขึ้นให้สูงขึ้นไปอีกสักหนึ่งขั้นถึงจะดี ในทำนองเดียวกัน ข้าเห็นพี่ชายสวี่นั้นดีมากแล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่าท่านป้าใหญ่จิงยังคงคาดหวังให้เขาได้เข้าไปดำรงตำแหน่งชั้นสูงในราชสำนัก และเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงแห่งยุคสมัยก็เป็นได้เจ้าค่ะ”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ โจวเสาจิ่นเองก็ชะงักงันไป
ทำไมนางไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนในชาติที่แล้ว!
ว่ากันตามเหตุและผลแล้ว เมื่อนางกับเฉิงสวี่มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นแล้ว คนที่ฉลาดอย่างหยวนซื่อ ก็น่าจะคำนึงถึงชื่อเสียงของเฉิงสวี่โดยการแต่งนางเข้าไปก่อนส่วนเรื่องอื่นก็ค่อยว่ากันภายหลัง จะบดขยี้ จะดุด่า จะให้อยู่หรือตาย ในเมื่อนางกลายเป็นสะใภ้ของตระกูลเฉิงแล้ว ต่อให้บิดาทราบเรื่องก็ไม่อาจเข้าไปจัดการอะไรได้ ทว่าปฏิกิริยาตอบกลับของหยวนซื่อกลับรุนแรงยิ่งนัก ทั้งหมดล้วนเป็นการกระทำที่เต็มไปด้วยความโกรธอย่างที่สุดจนไร้ศีลธรรม ตีโพยตีพายราวกับปลาที่ดิ้นรนให้มีชีวิตรอดจากร่างแห…ความคาดหวังยิ่งมีมากเท่าไหร่ ความผิดหวังก็ยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น
นางไม่เพียงไปทำลายการเกี่ยวดองกันระหว่างตระกูลเฉิงและตระกูลหมิ่นเท่านั้น ยังเป็นอุปสรรคไปขัดขวางอนาคตของเฉิงสวี่ และยังทำให้ความหวังของหยวนซื่อพังทลายลงอย่างป่นปี้อีกด้วย
แล้วใครจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้?
จวนรอง!
เฉิงรั่งบุตรชายของเฉิงเว่ยผู้ซึ่งเป็นนายท่านรองของจวนหลักนั้นอายุยังน้อย ถึงแม้จะเรียนหนังสือได้ดีทว่าบุคลิกกลับอ่อนแอยิ่งนัก ส่วนเฉิงฉือก็เหมือนกับว่ายังไม่ได้แต่งงานและไม่มีบุตรชายสืบสกุล ในด้านของเฉิงซวิ่นบุตรชายของนายท่านผู้เฒ่ารองจวนหลักนั้นก็เสียชีวิตไปตั้งแต่อายุยังน้อย หากว่าไม่เกิดเรื่องขึ้นกับตระกูลเฉิงเสียก่อน ไม่เร็วก็ช้า เฉิงสือจวนรองก็คงจะบดขยี้เฉิงรั่งจนได้ขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลเฉิงในที่สุด
ยังมีจวนสามอีก!
เนื่องจากสุดท้ายแล้วเฉิงเจิ้งก็ได้แต่งงานกับบุตรสาวผู้หนึ่งของหวังเจี่ยนผู้ซึ่งเป็นซื่อหลางแห่งกรมขุนนางโดยการทาบทามของตระกูลหง และยังสอบได้เป็นจิ้นซื่อก่อนเฉิงเก้า เข้าไปอยู่ในสำนักซู่จี๋ซื่อ ดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานพลเรือนของกรมราชทัณฑ์
ณ เวลานั้นสุขภาพของเฉิงจิงก็ไม่ค่อยดีแล้ว ตามคำบอกเล่าของเฉิงอี้ ภายหลังจากที่เฉิงเจิ้งสอบผ่านแล้วก็ติดตามเรียนหนังสือกับเฉิงจิงมาโดยตลอด นอกจากนี้หัวหน้าผู้ตรวจสอบของเฉิงเจิ้งในปีนั้นยังเป็นศิษย์พี่ของเฉิงจิงอีกด้วย
ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้ว เฉิงจิงอาจจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่าง จากนั้นจึงเริ่มไม่ให้การสนับสนุนเฉิงเจิ้งอีก
เฉิงเจิ้งดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าพนักงานพลเรือนได้ไม่ถึงสองปี ก็ได้เลื่อนขึ้นไปดำรงตำแหน่งเส่าชิงแห่งศาลต้าหลี่ ตำแหน่งหน้าที่การงานก้าวหน้าอย่างราบรื่นยิ่งนัก ทำให้ผู้คนอิจฉา แม้แต่เลี่ยวเส้าถังผู้เป็นพี่เขยก็ยังเคยโอดครวญมาแล้ว
โจวเสาจิ่นเม้มริมฝีปากอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เล่าเรื่องที่จื่อชวนให้ความช่วยเหลือนางให้พี่สาวฟัง
โจวชูจิ่นอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าได้ยินชัดเจนแล้วหรือว่าคนเหล่านั้นเรียกเขาว่า ‘จื่อชวน’?”
“ข้าได้ยินชัดเจนแน่แล้วเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึม “พวกเขาเรียกคุณชายผู้นั้นว่า ‘จื่อชวน’ จริงๆ เจ้าค่ะ ท่านพี่ทราบหรือไม่เจ้าคะว่าเขาคือใคร”
โจวชูจิ่นรู้สึกทั้งน่าขบขันและน่าร้องไห้ไปด้วยเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “เขาคือเฉิงฉือ นายท่านสี่ของจวนหลัก เรียกว่าจื่อชวน ผู้ซึ่งสอบเป็นจิ้นซื่อได้ในรัชศกจื้อเต๋อปีที่สิบห้า” ขณะที่นางพูดก็จิ้มหน้าผากของโจวเสาจิ่นไปด้วย “เจ้านี่นะ ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่แล้วก็ยังไม่รู้อีก โชคดีที่วันนี้เอามาเล่าให้ข้าฟัง ไม่เช่นนั้นแม้แต่คำว่า ‘ขอบคุณ’ ก็ไม่รู้จะไปพูดกับผู้ใดแล้ว”
“คือ คือเฉิงฉือ นายท่านสี่ของจวนหลักหรือเจ้าคะ” แม้แต่ในความฝันโจวเสาจิ่นก็ยังไม่เคยคาดคิดมาก่อน “ข้าเห็นเขาปฏิบัติกับบุตรชายคนโตของเหลียงกั๋วกงอย่างสบายๆ…ยังคิดว่าเขาคือขุนนางชั้นสูงท่านใดที่มาร่วมอวยพรวันเกิดแด่ท่านผู้นำตระกูลจวนรองเสียอีก”
นางพึมพำเสียงเบา นึกถึงชาติก่อนที่เขาบุกไปช่วยเฉิงสวี่ถึงลานประหาร อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าเขาควรจะเป็นคนเช่นนี้ถึงจะถูก ไม่เช่นนั้นก็คงไม่สามารถทำเรื่องบุกลานประหารเช่นนั้นขึ้นมาได้
ถึงว่าเฉิงสวี่ไม่กล่าวอะไรเลยได้แต่ลากพานจ้าวเดินจากไป
ยังมีท่าทางของพานจ้าวที่แสดงออกมาในเวลานั้นอีก ดูเหมือนกับว่าจะประหลาดใจจนชะงักงันไป เป็นที่แน่ชัดว่าเขาน่าจะจำใครสักคนขึ้นมาได้ในจำนวนคนเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม คนที่เขาจำได้คือใครกันแน่?
กู้จิ่วเนี่ยยังไม่ได้มีชื่อเสียงสะเทือนเลือนลั่นขนาดนั้นในเวลานี้ เป็นเพียงบุตรหลานสืบสกุลของตระกูลกวีและบัณฑิตที่สืบทอดต่อกันมาในเมืองจินหลิงผู้หนึ่งเท่านั้น ส่วนจูเผิงจวี่ถึงแม้ว่าจะสูงส่งเป็นถึงกงชิง ทว่าอิทธิพลของเขาที่มีต่อคนที่เป็นบัณฑิตนั้นกลับยังน้อยนิด ยังไม่เพียงพอให้พานจ้าวต้องประหลาดใจได้ขนาดนั้น…เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะจำหยวนเปี๋ยอวิ๋นได้?
ในใจของโจวเสาจิ่นเต็มไปด้วยความอยากรู้ แต่ที่มากไปกว่านั้นก็คือความรู้สึกขอบคุณ
หากว่าคนที่เจอวันนี้ไม่ใช่เฉิงฉือ ก็คงไม่อาจมีจุดจบเป็นเช่นนี้ได้
นางกล่าวขึ้น “ท่านพี่พูดได้มีเหตุผล ทางด้านของท่านน้าฉือนั้น หากไม่รู้ก็ถือว่าไม่รู้ แต่เนื่องจากว่ารู้แล้วว่าเป็นเขา ไม่ว่าอย่างไรก็ควรต้องไปกล่าวขอบคุณสักครั้งถึงจะถูก รอให้ผ่านพ้นงานวันเกิดของท่านผู้นำตระกูลจวนรองไปก่อน ท่านพี่ไปขอบคุณท่านน้าฉือเป็นเพื่อนข้าหน่อยนะเจ้าคะ ยังมีท่านพ่อด้วย ก็ควรจะบอกกล่าวเอาไว้สักหน่อยน่าจะดีกว่า”
โจวชูจิ่นพยักหน้า กล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า “ทางด้านของท่านพ่อ ข้าเห็นว่ายังไม่ต้องแจ้งให้ทราบจะดีกว่า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดขึ้นมาได้”
จริงด้วย! จะอธิบายเรื่องที่เฉิงฉือช่วยเหลือตนเองว่าอย่างไรล่ะ?
โจวเสาจิ่นพยักหน้า กล่าวขึ้นว่า “แล้วทางด้านของฮูหยินผู้เฒ่ากัวต้องบอกกล่าวสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ?”
โจวชูจิ่นกล่าว “หากเจ้าหรือข้าไปบอกกล่าวเองย่อมไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน เรื่องนี้ควรจะไปปรึกษาท่านยายและท่านป้าใหญ่ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีน่าจะดีที่สุด”
ขณะที่สองพี่น้องกำลังคุยกันอยู่นั้น ซือเซียงก็แหวกผ้าม่านเข้ามารายงานว่า “คุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง ตงหว่านกล่าวว่า การแสดงงิ้วที่ระเบียงหมู่ตันใกล้จะจบลงแล้ว จึงมาสอบถามว่ายังจะไปอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
ต้องไปอยู่แล้ว
ไม่เช่นนั้นหากพวกผู้ใหญ่ถามขึ้นมาจะตอบว่าอย่างไร
โจวเสาจิ่นจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นเดินไปที่ระเบียงหมู่ตันพร้อมกับโจวชูจิ่น
โชคดีที่ตอนที่พวกนางเดินเข้าไปนั้นเป็นจังหวะที่การแสดงจบลงพอดี คนส่วนมากต่างก็เข้าใจว่าโจวชูจิ่นรอโจวเสาจิ่นให้เข้าไปพร้อมกัน มีเพียงคนจำนวนน้อยที่จับสังเกตได้ว่าหลังจากที่โจวเสาจิ่นออกไปโจวชูจิ่นก็ไม่เคยปรากฏตัวออกมาให้เห็นอีก หนึ่งในคนจำนวนนั้นมีเฉิงเจียอยู่ด้วย
นางดึงแขนเสื้อของโจวเสาจิ่นเอาไว้แล้วกระซิบถามเสียงเบาว่า “พวกเจ้าสองพี่น้องไปทำอะไรกันมาหรือ ทำตัวลับๆ ล่อๆ!”
“เจ้าต่างหากที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เพราะเหตุใดไม่ว่าคำพูดอะไรหากเป็นเจ้าที่พูดออกมาก็จะกลายเป็นคำพูดที่ไม่น่าฟังไปเสียหมดเช่นนี้นะ หากเจ้ายังเป็นเช่นนี้อีก ต่อไปก็ไม่ต้องมาพูดกับข้าอีก!”
เฉิงเจียหันหน้าหนีแล้วเดินจากไปด้วยความโกรธ
โจวเสาจิ่นไม่วางใจ มองสำรวจบรรดาสตรีที่มาเป็นแขกไปอย่างเงียบๆ
พานชิงกำลังประคองท่านยายฮูหยินผู้เฒ่าถังเอาไว้ด้วยท่าทีสงบ ในขณะที่อู๋เป่าจางก็กำลังคุยอยู่กับคุณหนูซุนผู้ซึ่งสวมชุดเพ่ยจื่อสีแดงสดดิ้นทองด้วยเสียงเบาๆ กันอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส
ราวกับว่าไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
โจวเสาจิ่นหันไปส่งสายตาให้เฝ่ยชุ่ยครั้งหนึ่ง เฝ่ยชุ่ยหาจังหวะเดินมาถึงข้างกายของโจวเสาจิ่น โจวเสาจิ่นเอ่ยถามนางว่า “คุณหนูพานกับคุณหนูใหญ่อู๋กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ”
ก่อนหน้านี้นางมีเรื่องให้ต้องกังวลใจเล็กน้อย ทำให้ไม่ได้ใส่ใจถึงเรื่องนี้
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว
หากนางต้องการช่วยชีวิตตัวเอง นอกจากต้องสืบหาว่าทำไมเฉิงลู่ถึงต้องการทำลายชื่อเสียงของนางให้ได้อย่างถ่องแท้แล้ว ยังต้องสืบหาความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเฉิงแต่ละจวนให้ได้อย่างกระจ่างแจ้งอีกด้วย!
เฝ่ยชุ่ยค่อนข้างประหลาดใจ แต่ก็ยังตอบไปว่า “คุณหนูใหญ่อู๋กำลังคุยอยู่กับคุณหนูซุนตั้งแต่ก่อนที่ข้าจะกลับเข้ามา จากนั้นอีกประมาณสองเค่อ คุณหนูพานก็กลับเข้ามา ในตอนนั้นนายหญิงผู้เฒ่าถังยังเอ่ยถามคุณหนูพานว่าทำไมถึงออกไปนานนัก โดยคุณหนูพานบอกว่านางบังเอิญเจอกับคุณชายพาน ทั้งสองคนก็เลยพูดคุยกันสักพักเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นยังคิดเลยว่าพานชิงน่าจะเป็นคนที่กลับเข้ามาก่อน
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หลังจากที่พานชิงแยกย้ายกับพานจ้าวแล้ว พานชิงไม่ได้กลับเข้ามาที่ระเบียงหมู่ตันเลยในทันที หากไม่ใช่ว่าไปที่อื่นสักที่ ก็คงจะไปทำอะไรอย่างอื่นสักอย่าง
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าวขอบคุณเฝ่ยชุ่ย
เฝ่ยชุ่ยถอยห่างออกมาจากโจวเสาจิ่นอย่างเงียบๆ
ทว่าอู๋เป่าจางกลับเดินเข้ามา และกล่าวขึ้นยิ้มๆ ว่า “คิดไม่ถึงว่าคุณหนูรองเพิ่งจะรู้จักกับเฝ่ยชุ่ยกูเหนี่ยงได้ไม่กี่วันก็สนิทสนมกันขนาดนี้แล้ว ทั้งสองคนต่างคุยกันไปหัวเราะกันไป ช่างเป็นที่อิจฉาของคนอื่นๆ แล้ว!”
เห็นทีว่าคงจะมีแต่เจ้าที่เสแสร้งได้เช่นนี้!
โจวเสาจิ่นแสยะยิ้มอยู่ในใจ ทว่าบนใบหน้ากลับแสดงออกอย่างสุภาพยิ่ง พลางกล่าว “ต้องขอบคุณความเมตตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่มีต่อข้า ให้เฝ่ยชุ่ยกูเหนี่ยงมาดูแลข้าเป็นพิเศษ เฝ่ยชุ่ยกูเหนี่ยงทั้งมีน้ำใจและเอาใจใส่เป็นอย่างดี จึงสนิทสนมกับข้าเป็นอย่างมาก”
“อย่างนั้นหรือ” อู๋เป่าจางกล่าวยิ้มๆ “ข้าก็นึกว่าเป็นเพราะคุณชายใหญ่สวี่เสียอีก!”
จึงได้รู้ว่าอู๋เป่าจางจะต้องใช้เรื่องนี้ไปปั้นแต่งให้เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา
โจวเสาจิ่นดวงตาเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ ถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “พี่ชายสวี่? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพี่ชายสวี่ได้อย่างไร ในเมื่อเฝ่ยชุ่ยกูเหนี่ยงเป็นคนในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่ากัว”
อู๋เป่าจางประหลาดใจ ไม่นานหลังจากนั้นก็ค่อยๆ หรี่ตาลงแล้วหัวเราะขึ้นมา “คุณหนูรอง ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเป็นคนที่น่าสนใจขนาดนี้! ไม่ใช่แค่เพียงข้าเท่านั้น ดูเหมือนว่าคุณหนูพานก็เห็นแล้วว่าคุณชายใหญ่สวี่ไล่ตามท่านไปจนถึงศาลาซานจือ!”
ที่แท้สถานที่ที่ท่านน้าฉือนั่งดื่มชากันนั้นเรียกว่าศาลาซานจือ
นางยังเคยคิดว่าศาลาซานจือจะเป็นอาคารหลังหนึ่งเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพียงศาลาที่มุงหลังคาด้วยจากหลังหนึ่งเท่านั้น
โจวเสาจิ่นเองก็ไม่รู้ว่าทำไมในเวลาเช่นนี้นางยังมีแก่ใจมาใส่ใจเรื่องพวกนี้อยู่…นางกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่อู๋พูดถึงเรื่องอะไรหรือ เหตุใดข้าฟังแล้วถึงไม่เข้าใจ เจ้าบอกว่าพี่ชายสวี่ไล่ตามข้าไปจนถึงศาลาซานจือ พี่สาวพานเองก็เห็นเหมือนกัน” นางตะโกนเสียงดังขึ้นครั้งหนึ่ง “พี่สาวพานเจ้าคะ” จากนั้นยิ้มพลางกล่าวเสียงเบาว่า “พวกเราน่าจะเรียกพี่สาวพานมายืนยันด้วยคงจะดีกว่า!”
………………………………………………………………….