อู๋เป่าจางคิดไม่ถึงว่าโจวเสาจิ่นในความทรงจำของนางที่เป็นคนที่ว่าง่าย อ่อนแอ และเงียบขรึมนั้นเมื่อถูกยั่วยุจู่ๆ ก็กลายเป็นไม่เป็นมิตร ชั่วเวลาพริบตาเดียวก็กลายเป็นก้าวร้าวขึ้นมาได้
สีหน้าของนางเปลี่ยนไปมากอย่างช่วยไม่ได้ ถอยออกไปติดๆ กันสองสามก้าว จากนั้นฝืนยิ้มและกล่าวออกไปว่า “คุณหนูรองตระกูลโจวล้อเล่นแล้ว ทำไมจะต้องยืนยันกับคุณหนูพานด้วย ดูราวกับว่าพวกเรานั้นจิตใจคับแคบอย่างไรอย่างนั้น”
คนแข็งแกร่งหวาดกลัวคนไร้เหตุผล
อู๋เป่าจางเห็นความเด็ดเดี่ยวสายหนึ่งวาบผ่านอยู่บนใบหน้าของโจวเสาจิ่น นางกลัวว่าโจวเสาจิ่นที่ยังเยาว์และโง่เขลา ไม่เข้าใจความเป็นไปของโลก และไม่รู้จักคำนวณผลได้ผลเสียนั้นจะทำเรื่องให้วุ่นวายไปถึงพานชิงได้ บทสนทนาระหว่างพานชิงกับพานจ้าวนั้นนางได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้งดีทุกอย่าง พานชิงผู้นั้นดูท่าทางเป็นคนอ่อนโยนและจริงใจ ทว่าในใจกลับคดเคี้ยวยิ่งนัก ไม่ใช่คนที่สามารถรับมือด้วยได้ง่ายๆ ในขณะที่นางยังคิดไม่ตกว่าจะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างไรนั้น จึงตีหญ้าเพื่อข่มขู่งูด้วยการเผยเรื่องนี้กับโจวเสาจิ่น แต่ก็ยังไม่คิดจะถูกโจมตีกลับจากศัตรูโดยการดึงพานชิงเข้ามามีส่วนร่วมด้วย
ไม่นานหลังจากนั้นนางก็มีแผนในใจ เอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูรอง อาจเป็นไปได้ว่าข้าสายตาฝ้าฟาง จึงมองผิดไป เป็นความผิดของข้าเอง เจ้าเองก็เป็นคนจิตใจกว้างขวาง อย่ามีเรื่องผิดใจกับข้าเลย” นางพูดจบแล้ว ก็ยังไม่ค่อยวางใจ จึงเดินเข้าไปกุมมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้ กล่าวอย่างจริงใจว่า “ช่วงเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง คุณหนูรองมาชมดอกไม้ที่จวนของข้าดีหรือไม่ มีคนมอบดอกถานฮวา[1]มาให้ที่จวนของข้าสองกระถาง ท่านพ่อมอบให้ข้าหนึ่งกระถาง ข้าจึงเลี้ยงเอาไว้ในห้องของข้า พี่สะใภ้ผู้ซึ่งดูแลต้นไม้ดอกไม้ในจวนของข้ากล่าวว่า เมื่อถึงเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างดอกถานฮวาก็คงจะบานพอดี หลายวันก่อนหน้านี้ข้ายังคิดอยู่เลยว่าจะเชิญสหายสนิทสักสามหรือห้าคนมาเพื่อจัดงานชมดอกไม้ บังเอิญยิ่งนักที่ได้พบกับคุณหนูรอง ตั้งแต่ที่ข้ามาถึงจินหลิง ก็ยังไม่มีสหายสนิทมากนัก ถึงเวลานั้นคุณหนูรองต้องมาชมดอกไม้และเป็นกำลังใจให้ข้าให้ได้นะเจ้าคะ!”
อู๋เป่าจางยกธงยอมแพ้และมีท่าทางของการยอมสงบศึก
คิดจะแทงตนเสร็จแล้วก็จากไป มีเรื่องที่ง่ายดายขนาดนั้นที่ไหนกัน
โจวเสาจิ่นนึกถึงเรื่องราวในชาติก่อนขึ้นมา ก็รู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างมากอยู่ในใจ
ในระหว่างที่อู๋เป่าจางกำลังทำการแสดงอยู่นั้น สมองของนางก็ขบคิดไปด้วยอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งอู๋เป่าจางยื่นมือออกมา นางก็ปล่อยให้อู๋เป่าจางผู้นั้นดึงตนเองไป จากนั้นกล่าวเรียบๆ ว่า “เรื่องออกไปข้างนอกนั้น ต้องให้ท่านยายกับท่านป้าเป็นคนอนุญาต รอให้ถึงเวลานั้นแล้วค่อยว่ากันอีกทีจะดีกว่า!”
ไม่ได้เอ่ยถึงหัวข้อสนทนานี้อีก
อู๋เป่าจางโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง อดไม่ได้คิดกับตัวเองอย่างพึงพอใจอยู่ในใจว่า ท้ายที่สุดแล้วโจวเสาจิ่นผู้นี้ก็ยังเด็ก ชอบฟังคำพูดที่ไพเราะ สถานะของตนเองต่ำต้อยขนาดนี้ และเรื่องราวก็ถูกเปิดเผยไปแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่านิสัยของโจวเสาจิ่นเป็นอย่างไรกันแน่ จะเป็นคนที่เก็บซ่อนเรื่องราวเอาไว้ได้หรือไม่ ตนน่าจะยังต้องประจบเอาใจนางดีๆ เผื่อเอาไว้ก่อนน่าจะดีกว่า เพื่อที่นางจะไม่ยกเรื่องนี้มางัดข้อกับตนได้อีก
นางยิ้มขณะที่จับแขนของโจวเสาจิ่นเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาข้าจะส่งเทียบเชิญมาให้น้องสาวดีหรือไม่”
“ดียิ่ง!” ขณะที่โจวเสาจิ่นพูด ก็เดินตรงไปทางเรือนซื่ออี๋พร้อมกับอู๋เป่าจางไปด้วย “แต่ไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นที่จวนจะมีงานเลี้ยงโคมไฟหรือไม่ หากเจ้าต้องการส่งเทียบเชิญมา ก็ให้คนนำมาส่งล่วงหน้าสักสองสามวันก็แล้วกัน”
ยังคงคิดจะเล่นต่อไปไม่หยุดจริงๆ สินะ!
อู๋เป่าจางมุ่ยปากอยู่ในใจ รู้สึกวางใจลงมาได้ทั้งหมดแล้ว จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ตระกูลเฉิงเตรียมจัดงานเลี้ยงโคมไฟช่วงเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างอย่างนั้นหรือ! เช่นนั้นต้องใช้ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่หรือ” ขณะที่พูด ก็รู้สึกตัวว่าเผลอพลั้งปากออกไป อดเหลือบมองไปทีโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่งไม่ได้ ทว่ากลับเห็นว่าโจวเสาจิ่นกำลังมองไปรอบๆ ทั้งสี่ทิศ เหมือนกับว่าไม่ได้สนใจว่านางกำลังพูดถึงอะไรอยู่ นางระบายลมหายออกมาทีหนึ่ง จากนั้นก็ได้ยินโจวเสาจิ่นตะโกนเสียงดังว่า “พี่สาวชิงเจ้าคะ”
นางรู้สึกแน่นหน้าอก ยังไม่ทันจะได้คิดอย่างถี่ถ้วน พานชิงก็เดินเข้ามาแล้ว
“มีเรื่องอะไรหรือ” พานชิงถามโจวเสาจิ่น
รอยยิ้มของนางอ่อนโยน อากัปกิริยาสบายๆ และยังคงมีท่าทางสง่างามเช่นเดิม แต่ในสายตาของโจวเสาจิ่นแล้ว นางเหมือนกับนักแสดงที่กำลังสวมหน้ากากเอาไว้
“คุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋กล่าวว่า นางเห็นข้าอยู่ตามลำพังกับพี่ชายสวี่เจ้าค่ะ” ขณะที่โจวเสาจิ่นพูด ก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มยั่วเย้าออกมาอย่างไม่ปิดบัง “ยังกล่าวอีกว่า พี่สาวชิงก็เห็นข้าอยู่ตามลำพังกับพี่ชายสวี่ด้วยเช่นกัน ข้าจึงอยากมาสอบถามต่อหน้าพี่สาวชิงให้ชัดเจน ทั้งๆ ที่ข้านั้นไม่ได้อยู่ตามลำพังกับพี่ชายสวี่ ทำไมพี่สาวชิงถึงได้กล่าวว่าเห็นข้าอยู่ตามลำพังกับพี่ชายสวี่ด้วยเจ้าคะ เช่นนี้ไม่ใช่ว่าเป็นการปล่อยข่าวลือหรือเจ้าคะพี่สาวชิง”
ขณะที่นางพูด ท่าทีที่แสดงออกมานั้นก็เปลี่ยนเป็นเต็มไปด้วยความเสียใจ ทว่ากลับกล่าวอยู่ในใจว่า อู๋เป่าจางเจ้าบอกว่าเรื่องราวถูกเปิดเผยไปแล้วก็ให้เปิดเผยไป โลกที่อยู่ใต้ฟ้านี้ไหนเลยจะมีเรื่องที่ไม่มีราคาต้องจ่าย!
พานชิงตกใจ แสงเย็นสายหนึ่งวาบผ่านดวงตา สายตาที่มองไปที่อู๋เป่าจางนั้นฉับพลันเปลี่ยนเป็นเฉียบคมราวกับคมมีด “คุณหนูใหญ่อู๋ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ข้าไปเห็นน้องสาวรองตระกูลโจวอยู่ตามลำพังกับพี่ชายสวี่ตอนไหนกันหรือ เจ้าเองก็เป็นถึงคุณหนูจากตระกูลขุนนาง เป็นคนมีการศึกษา เวลาจะพูดอะไรก็ต้องรับผิดชอบด้วย! ข้าอยู่ข้างกายท่านยายตลอด ออกไปกลางคันครั้งหนึ่ง ก็เป็นเพราะได้รับคำสั่งจากท่านแม่ให้นำความไปแจ้งต่อพี่ชาย ผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ล้วนสามารถเป็นพยานให้ข้าได้ คำพูดที่ไร้ความรับผิดชอบของเจ้ากลับเพียงพอที่จะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวน้องสาวของพวกข้าได้ ไหนเลยจะมีผู้ใดเหมือนกับเจ้าที่มาเป็นแขกในบ้านของผู้อื่น แต่กลับไปปลุกปั่นความสัมพันธ์ฉันท์พี่สาวน้องสาวของผู้อื่นเช่นนี้ หรือนี่จะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลอู๋ของพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ”
คำพูดนี้ไม่เพียงตั้งคำถามถึงลักษณะนิสัยของอู๋เป่าจางเท่านั้น ยังตั้งคำถามไปถึงการอบรมสั่งสอนของตระกูลอู๋อีกด้วย ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนที่นางเอ่ยคำพูดเหล่านี้นั้นก็ไม่ได้หลบซ่อนแต่อย่างใด ยืนตรงอย่างน่าเกรงขาม น้ำเสียงไม่ดังและไม่เบา ทว่าความดังกลับพอเหมาะพอดีให้คนในห้องโถงได้ยินได้อย่างชัดเจน
การลากพานชิงเข้ามาฟาดฟันกับอู๋เป่าจาง ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดแล้ว!
โจวเสาจิ่นถอยไปด้านหลังก้าวหนึ่งอย่างเงียบๆ และยกสนามรบนี้ให้กับอู๋เป่าจางและพานชิง
อู๋เป่าจางไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าโจวเสาจิ่นจะเป็นคนสองหน้าสามดาบ อยู่ต่อหน้านางก็พูดจาอย่างดี แต่พริบตาเดียวก็พลิกหน้าขายตนเองอย่างไร้ความปรานี หลังจากที่นางตื่นตกใจไปแล้ว ก็ก่นด่าโจวเสาจิ่นอยู่ในใจจนไม่เหลือชิ้นดี แต่ก็ต้องเผชิญหน้ากับการถูกโจมตีนี้อย่างไม่มีทางเลือก ฝืนยิ้มและกล่าวขึ้นอย่างยากเย็นว่า “คุณหนูพาน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการเข้าใจผิดของคุณหนูรองตระกูลโจวทั้งสิ้น ตอนที่ข้าได้ยินตัวละครม้าร้อง ‘ห้อตะบึงในยามค่ำคืน’ อยู่ที่ระเบียงหมู่ตันนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกมึนศีรษะขึ้นมาเล็กน้อย จึงออกไปเดินเล่นข้างนอก เนื่องจากปรารถนาจะชมทิวทัศน์ที่สวยงามของระเบียงหมู่ตันให้มากขึ้น ทำให้เดินเข้าไปในทางเดินเส้นหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ”
ในเมื่อเจ้าไม่เหลือที่ทางเอาไว้ให้ข้า เช่นนั้นก็อย่ามาหาว่าข้าไม่ไว้หน้าผู้ใดก็แล้วกัน
นางตัดสินใจที่จะข่มขู่พานชิง
แต่นางกลับลืมไปว่า ที่นี่คือจวนของตระกูลเฉิง
ไม่รอให้นางได้พูดจนจบ เจียงซื่อที่ได้รับรายงานจากสาวใช้ก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าหนักอึ้งราวกับน้ำ เอ่ยถามพานชิงเสียงเคร่งว่า “หลานชิง ที่คุณหนูใหญ่อู๋กล่าวมานี้มันคือเรื่องอะไรกันแน่หรือ มารดาของเจ้าเพียงให้เจ้านำความไปแจ้งแก่พี่ชายของเจ้า แล้วทำไมเจ้าถึงได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของคุณหนูรองตระกูลโจวและคุณชายใหญ่สวี่ขึ้นมาได้”
ฟังดูเหมือนเป็นการตำหนิ แต่จริงๆ แล้วกำลังเป็นพยานให้กับพานชิงอยู่
อู๋เป่าจางแอบร้องอยู่ในใจว่าแย่แล้ว
นางคิดไม่ถึงว่าผู้ใหญ่ของตระกูลเฉิงจวนสามจะมาได้รวดเร็วขนาดนี้ และที่มากไปกว่านั้นก็คือไม่คิดว่าผู้ใหญ่ของตระกูลเฉิงจวนสามจะออกตัวปกป้องอย่างเปิดเผยเช่นนี้
อู๋เป่าจางจะเดินหน้าก็ไม่ได้จะถอยหลังก็ไม่ได้ หากโต้แย้งด้วย นางที่เป็นเพียงคนตัวเล็กตัวน้อยที่คำพูดไม่มีน้ำหนัก เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ใหญ่ของตระกูลเฉิงจวนสามแล้ว ผู้คนที่อยู่ในที่นี้จะเชื่อถือผู้ใดกัน แต่ถ้าไม่โต้แย้งเลย ก็เท่ากับเป็นการยอมรับข้อกล่าวหาที่พานชิงปรักปรำนาง ถึงเวลานั้นคำพูดที่ว่า ‘มีปากที่ชอบยุยงปลุกปั่น’ กับ ‘หญิงสาวจากตระกูลอู๋ไร้การอบรมสั่งสอน’ ก็จะกลายมาเป็นหมวกสองใบที่นางต้องสวมเอาไว้ไปตลอด
มารดาเลี้ยงที่มีใจปรารถนาให้บุตรสาวแท้ๆ ของตนได้ตบแต่งกับตระกูลดีๆ อย่างสุดซึ้งผู้นั้นจะยอมให้อภัยนางง่ายๆ หรือ
กลัวแต่ว่าแม้จะมีพี่ชายช่วยพูดให้ บิดาก็อาจจะยังโกรธอย่างเดือดดาลอยู่ก็เป็นได้
นางคิดๆ แล้วก็ให้รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว รีบก้มศีรษะลง แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมา
ผู้คนในห้องโถงนั้นมีบางคนก็ขมวดคิ้วมุ่น บางคนก็กระซิบกระซาบกัน และบางคนก็ปลอบนางว่า “คุณหนูอู๋ อย่าร้องไห้เลย! วันนี้เป็นวันเกิดของท่านผู้นำตระกูลเฉิง”
ทว่าอู๋เป่าจางกลับร้องไห้หนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม
นางจะให้คนอื่นๆ ได้เห็นว่าฮูหยินใหญ่ของจวนสามกำลังรังแกข่มเหงนางอย่างไรบ้าง!
เจียงซื่อกรุ่นโกรธเป็นอย่างมากอยู่ในใจ ในตามีความรังเกียจสายหนึ่งวาบผ่าน ทว่าไม่มีทางเลือกต้องฝืนยิ้มพลางก้าวออกไปจับไหล่ของอู๋เป่าจางเอาไว้ แล้วกล่าวปลอบเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าเด็กคนนี้ มีอะไรที่ไม่สามารถพูดกันดีๆ หรือ หลานชิงรังแกเจ้าใช่หรือไม่ เจ้ารีบบอกข้ามา ข้าจะช่วยเจ้าอบรมนางเอง”
พานชิงตกตะลึง
นางคิดไม่ถึงว่าปฏิกิริยาตอบรับของอู๋เป่าจางจะไวขนาดนี้ นางพลันรู้สึกเสียใจขึ้นมาหลายส่วนอยู่ในใจ
หลังจากที่พานชิงแยกย้ายกับพานจ้าวแล้ว ก็ยังรู้สึกไม่วางใจในตัวพี่ชายเล็กน้อย ทั้งๆ ที่เดินมาถึงระเบียงหมู่ตันแล้ว แต่ก็หันหลังกลับมาอีกที ก็เห็นพี่ชายกำลังติดตามเฉิงสวี่เข้าไปถึงกลางทางเดินเล็กเส้นหนึ่งแล้วอยู่ไกลๆ ส่วนอู๋เป่าจางนั้นกลับกำลังคุยอยู่กับบ่าวรับใช้ของเฉิงสวี่อย่างยิ้มแย้ม
พานชิงจำได้อย่างแม่นยำ ตอนที่นางออกไปนั้นอู๋เป่าจางกำลังนั่งฟังคนคุยกันอยู่ด้านหลังของฮูหยินอู๋ แต่เมื่อถึงตอนที่นางจะกลับมานั้น อู๋เป่าจางกลับมาปรากฏตัวอยู่ตรงที่ที่นางกับพี่ชายสนทนากัน
ก่อนหน้านี้นางยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นัก แต่เมื่อโจวเสาจิ่นตะโกนเรียกนางให้ไปยืนยันกับอู๋เป่าจาง ตอนนั้นนางก็เข้าใจแล้วว่า ไม่เพียงอู๋เป่าจางที่ได้ยินเรื่องที่นางกับพี่ชายสนทนากันเท่านั้น แม้แต่โจวเสาจิ่นเองก็อาจจะได้ยินว่านางพูดอะไรกับพี่ชายไปแล้วบ้างก็เป็นได้
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม โจวเสาจิ่นก็คือคนของตนเอง
อย่างไรก็ต้องกำจัดอู๋เป่าจางออกไปก่อนแล้วค่อยมางัดข้อกับโจวเสาจิ่นทีหลัง
ดังนั้นนางจึงยืนอยู่ข้างเดียวกับโจวเสาจิ่นทันทีโดยไม่ต้องคิด
แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว การตัดสินใจในครั้งนี้อาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดไป โจวเสาจิ่นนั้นนิสัยอ่อนแอ ขี้ขลาด ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ถึงแม้ว่าจะไม่มีจุดที่นางสามารถช่วยเหลือโจวเสาจิ่นได้ แต่ก็ไม่ชอบให้ข้างกายมีคนที่นอกจากจะช่วยเหลืออะไรเจ้าไม่ได้แล้วยังเป็นตัวถ่วงคอยขัดขาของเจ้าอยู่บ่อยๆ อีก แต่อู๋เป่าจางนั้นไม่เหมือนกัน นางเป็นคนเจ้าวางแผน มีเล่ห์เหลี่ยม แม้แต่ปฏิกิริยาตอบสนอง ล้วนเก่งกาจเป็นที่หนึ่ง ถึงแม้ว่าไม่ควรเอาคนเช่นนี้มาเป็นสหาย แต่จะให้ดีที่สุดก็ไม่ควรเอามาเป็นศัตรูด้วยเช่นเดียวกัน
พานชิงจึงคิดวางแผนจะปล่อยอู๋เป่าจางไป
นางมองไปที่โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง ก้าวออกไปดึงเจียงซื่อเอาไว้ ริมฝีปากเม้มน้อยๆ กำลังเตรียมจะพูด ทว่าโจวเสาจิ่นที่ยืนอยู่ข้างๆ และไม่พูดอะไรเลยมาโดยตลอดนั้นอยู่ๆ ก็ก้าวออกไป ชี้ไปที่สาวใช้ผู้หนึ่งอย่างสบายๆ และกล่าวขึ้นว่า “ไปหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งมาช่วยคุณหนูใหญ่อู๋ซับน้ำตา” จากนั้นหมุนตัวไปพูดกับอู๋เป่าจางว่า “ข้าอาศัยอยู่ที่ตระกูลเฉิงมานานหลายปีขนาดนี้ ผู้ใหญ่ในตระกูลเฉิงล้วนไม่ใช่คนไร้เหตุผล เจ้ามีความคับข้องใจอะไรก็เพียงบอกกล่าวกับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ย่อมต้องช่วยเจ้าตัดสินใจได้ การร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่จบเช่นนี้ มันยากจะหลีกเลี่ยงที่คนอื่นจะเข้าใจผิดได้ว่าท่านป้าหลูรังแกเจ้า หรือว่านี่คือสิ่งที่คุณหนูใหญ่อู๋ต้องการเรียนรู้จากอวี้สื่อ[2] เป็นผู้น้อยที่สามารถทัดทานผู้เป็นใหญ่กว่าได้อย่างนั้นหรือ”
ในประโยคสุดท้าย นางกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม แม้แต่ในน้ำเสียงยังแฝงความรู้สึกเย้ยหยันเอาไว้อยู่หลายส่วน ทว่าเป็นเข็มที่ซ่อนอยู่ในสำลี ซึ่งบอกเป็นความนัยว่าอู๋เป่าจางนั้นชอบเอาชนะ หากมีความบาดหมางเกิดขึ้น ก็จะร้องไห้เสียงดังไม่หยุด ต้องการจะเอาชนะให้ได้เท่านั้น ไม่มีความอดทนอดกลั้นอย่างที่หญิงสาวจากตระกูลที่ดีพึงมีกัน
ผลักอู๋เป่าจางไปจนถึงขอบหน้าผา!
ดวงตาของพานชิงสว่างวาบขึ้น ถอยหลังออกมาเงียบๆ หลายก้าว ล้มเลิกความคิดที่จะช่วยเหลืออู๋เป่าจางไปในทันที
โจวเสาจิ่นเห็นเช่นนั้น ก็อดแสยะยิ้มออกมาไม่ได้
พานชิงไม่ใช่คนที่ควรค่าจะคบหาด้วยอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเรื่องนี้เริ่มขึ้นมาจากตนเอง ฉะนั้นนางคิดว่าอยากจะถอนตัวเมื่อไหร่ก็สามารถถอนตัวออกไปได้เลยอย่างนั้นหรือ
นางตะโกนเรียกพานชิง “พี่สาวชิง ท่านก็มาปลอบคุณหนูใหญ่อู๋สักหน่อยเถอะ!”
สายตาของทุกคนต่างตกไปอยู่บนร่างของพานชิง กล่าวคือ นางคือคนที่ทำให้อู๋เป่าจางต้องร้องไห้!
เส้นผมของพานชิงล้วนตั้งชันขึ้นมา
โจวเสาจิ่น นี่ยังเป็นโจวเสาจิ่นที่นางรู้จักผู้นั้นอยู่หรือไม่
ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว!
ไม่ ไม่ใช่ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ตนเองเป็นคนของจวนสาม ที่ถูกลากลงไปในน้ำนั้นไม่ต้องเอ่ยถึง เฉิงสวี่เป็นคนของจวนหลัก ส่วนตัวนางเองเป็นคนของจวนสี่ วันนี้เป็นจวนรองที่เป็นผู้เชิญแขก…นอกจากจวนห้าแล้ว ทั้งหมดต่างมายืนอยู่ตรงหน้าของอู๋เป่าจาง…อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาจวนห้าก็ไม่เคยมีประโยชน์อยู่แล้ว จึงสามารถมองข้ามไปได้
ทันใดนั้นพานชิงรู้สึกเห็นใจอู๋เป่าจางขึ้นมา
เรื่องราวในวันนี้ ไม่อาจจบลงได้ด้วยดีเป็นแน่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ต่อให้อู่เป่าจางสามารถข้ามผ่านความโชคร้ายในวันนี้ไปได้ ต่อไปเมื่อนางคิดจะสร้างตัวอยู่ที่จินหลิง และอยากจะหาตระกูลดีๆ เพื่อแต่งงานอยู่ที่จินหลิง เช่นนั้นก็คงทำได้เพียงสวดอ้อนวอนขอต่อองค์พระโพธิสัตว์ให้เมตตาเพียงเท่านั้นเสียแล้ว!
นางค่อยๆ เดินเข้าไป ทว่าในใจกลับไม่ได้มีความยินดีเหมือนกับตอนที่เผชิญหน้ากับโจวเสาจิ่นก่อนหน้านี้อีก
…………………………………………………………………
[1] ดอกถานฮวา ลักษณะดอกคล้ายดอกแก้วมังกร มีสีขาว ได้รับการขนานนามว่าเป็น ดอกไม้แห่งรัตติกาล เนื่องจากบานเฉพาะในเวลากลางคืน มีชื่อเรียกภาษาไทยว่า ดอกกิตติพิรุณ
[2] อวี้สื่อ เป็นผู้บันทึกประวัติศาสตร์และรับผิดชอบควบคุมดูแล ให้คำแนะนำเจ้าหน้าที่ในราชสำนัก