“เรื่องของพวกเด็กๆ มักจะเดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มพลางกล่าวปลอบโยนฮูหยินผู้เฒ่ากัว “ท่านก็อย่าตำหนิตัวเองเลย คิดเสียว่าเป็นบทเรียนก็แล้วกัน!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดที่จะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ กล่าวว่า “อายุข้าก็ขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าได้รับบทเรียนมาแล้วตั้งเท่าไหร่ บทเรียนเยี่ยงนี้ ไม่รับก็ไม่เป็นไร!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเองก็หัวเราะขึ้นมาด้วย
ในดวงตาของหยวนซื่อที่อยู่ข้างหลังฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นกลับมีแสงคมเฉียบวาบผ่านอยู่สายหนึ่ง เอ่ยถามโจวเสาจิ่นด้วยเสียงดั่งสายลมเบาว่า “คุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ผู้นั้น คุณหนูรองรู้จักดีหรือไม่”
โจวเสาจิ่นเกือบจะส่งเสียงหัวเราะออกมา
นางลืมหยวนซื่อไปได้อย่างไร!
อู๋เป่าจางกล้าที่จะทำลายชื่อเสียงของเฉิงสวี่ หยวนซื่อก็สามารถกำจัดนางได้
แต่โจวเสาจิ่นไม่อยากเข้าไปพัวพันด้วย จึงยิ้มพลางกล่าว “ข้ากับอู๋เป่าจางเมื่อคิดรวมกับวันนี้แล้ว ก็เพิ่งจะพบกันได้เพียงสองครั้ง ไม่ได้รู้จักลักษณะนิสัยของนางมากนักเจ้าค่ะ”
หยวนซื่อพยักหน้า ดูจมอยู่ในห้วงความคิด
โจวเสาจิ่นเพิ่งจะสังเกตในตอนนี้เองว่าฮูหยินอู๋กับเฉิงเสียนไม่ได้อยู่ในลานเปิดโล่ง
ไม่รู้ว่าพวกนางไปทำอะไรกันอยู่
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ฮูหยินผู้เฒ่าถังก็เดินเข้ามาโดยมีเจียงซื่อช่วยประคองเอาไว้
พานชิงติดตามอยู่ที่ด้านหลังของพวกนาง
ฮูหยินของเหลียงกั๋วกงกับฮูหยินของใต้เท้าซุนอดีตรองเจ้ากรมขุนนางที่เกษียณกลับมาอยู่บ้านเดิมที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวทั้งสองก็พากันหันหน้ามา ฮูหยินของเหลียงกั๋วกงถึงกับเอ่ยถามขึ้นว่า “เรื่องเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
ผู้คนในลานเปิดโล่งต่างก็หันไปมองพวกนาง
ภายใต้ทุกสายตาที่จับจ้อง พานชิงมองโจวเสาจิ่นที่ยืนสงบนิ่งอยู่ข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว ในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก
เรื่องนี้เห็นชัดว่าเป็นเรื่องที่โจวเสาจิ่นก่อขึ้นมา แต่ตอนนี้ทำประหนึ่งว่านางเป็นผู้ที่ก่อเรื่องขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น ไม่แปลกเลยที่มารดาเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากวนของจวนสี่เป็นอย่างมาก กล่าวว่านางนั้นฉลาดหลักแหลมแต่กลับไม่บีบคั้นผู้คน ใจกว้างแต่กลับไม่ขี้ขลาด นางถึงขนาดส่งสาวใช้ให้ล่วงหน้าไปเรียกโจวเสาจิ่นก่อน และก็พาโจวเสาจิ่นออกไปอย่างไร้ซุ่มเสียง
ฮูหยินผู้เฒ่าถังเหลือบมองไปที่พานชิงครั้งหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ไม่มีอะไร แค่เด็กสาวทะเลาะกันเท่านั้น เมื่อตกลงกันได้ชัดเจนก็ไม่มีอะไรแล้ว!”
พานชิงอึ้ง
เจียงซื่อแทบจะกระอักเลือด
การที่ฮูหยินผู้เฒ่าถังสวมหมวกใบใหญ่เป็นข้อกล่าวหานี้ลงมาให้ต่อให้พานชิงไม่ผิดก็อาจจะทิ้งภาพจำแก่พวกฮูหยินที่นั่งอยู่ว่าเป็นคนใจแคบ ไม่รู้จักยอมลงให้ ไม่ยอมอดทนอดกลั้น และชอบยั่วเย้าให้เกิดข้อพิพาท และสองปีนี้ก็เป็นช่วงที่พานชิงต้องพูดคุยเรื่องแต่งงานพอดี
แต่เจียงซื่อไม่ใช่คนประเภทที่จะกล้ำกลืนความขุ่นเคืองเอาไว้กับตัวเอง
นางถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่งในทันที กล่าวอย่างจนใจขึ้นว่า “เด็กสาวสมัยนี้ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันไปแล้ว ฟังเสียงลมเป็นเสียงฝน เรื่องเล็กเท่ารูเข็มก็สามารถโหวกเหวกโวยวายจนเกิดความโกลาหลขึ้นมาได้” นางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง เรื่องที่โจวเสาจิ่นได้รับคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้ไปช่วยเฉิงสวี่ดึงของ เรื่องที่อู๋เป่าจางไม่เคยวิงเวียนศีรษะเลยตลอดทั้งเช้าและสาย แต่ตอนที่โจวเสาจิ่นกับเฉิงสวี่เดินไปด้วยกันนั้นนางกลับบังเอิญออกไปรับลม จึงเห็นเข้าพอดี และเรื่องที่อู๋เป่าจางตำหนิโจวเสาจิ่นอย่างมีเหตุผลว่าเหตุใดจึงไปเดินอยู่ตามลำพังกับเฉิงสวี่ โจวเสาจิ่นถูกทำให้โกรธจนไม่รู้จะทำอย่างไร จำต้องวิ่งมาหาพานชิงให้เป็นพยาน… เล่าได้ราวกับว่านางมองดูอยู่ข้างๆ อย่างไรอย่างนั้น โจวเสาจิ่นกลายเป็นผู้ที่ถูกรังแกผู้นั้น ส่วนพานชิงเป็นผู้มาช่วยเหลือด้วยความยุติธรรม หากจะกล่าวว่าใครผิด ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของอู๋เป่าจาง
อู๋เป่าจางไม่อยู่ที่นี่ ต่อให้นางอยู่ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่านางเป็นใคร แต่โจวเสาจิ่นกับพานชิงนั้น คนหนึ่งอ่อนแอและว่านอนสอนง่าย ส่วนอีกคนก็สง่าผ่าเผยและจิตใจกว้างขวาง ซึ่งสอดคล้องกับที่เจียงซื่อเล่ามาเป็นอย่างมาก ต่อให้มีบางคนสงสัยในคำกล่าวของเจียงซื่อ แต่เมื่อเห็นเด็กสาวทั้งสองแล้ว ก็ยากที่จะสงสัยต่อไปได้อีก
ฮูหยินผู้เฒ่าเหลียงกั๋วกงได้ยินแล้วถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ส่ายศีรษะพลางกล่าวขึ้นว่า “นับวันโลกยิ่งเสื่อมถอยลงไปจริงๆ! นับวันโลกยิ่งเสื่อมถอย!”
เฉิงเจียราวกับได้ฟังจดหมายจากสรวงสวรรค์ ดวงตาเบิกกว้างจนเหมือนกับระฆังทองแดง และมองไปที่โจวเสาจิ่นอย่างฉงน
โจวเสาจิ่นชื่นชมเจียงซื่อยิ่งนัก
นี่เป็นการพูดให้คนเป็นกลายเป็นคนตาย และคนตายให้กลายเป็นคนเป็นจริงๆ
เมื่อกาลก่อนนางค่อนข้าวจะกลัวเจียงซื่อ ทว่าดูจากตอนนี้แล้วตนก็คิดไม่ผิด
เจียงซื่อสามารถควบคุมจัดการงานต่างๆ ในจวนสามได้ เห็นได้ชัดว่าก็ไม่ใช่เป็นการได้มาด้วยความบังเอิญ
แน่นอนว่าย่อมมีคนที่รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องของโจวเสาจิ่นกับเฉิงสวี่อยู่บ้างเช่นกัน
“ชายหญิงเมื่อครบอายุเจ็ดขวบก็ไม่นั่งด้วยกันแล้ว” ฮูหยินของใต้เท้าซุนอดีตรองเจ้ากรมขุนนางที่เกษียณอายุกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว “ยังดีที่เกิดขึ้นภายในจวนตนเอง และยังมีบ่าวรับใช้ตามไปด้วย หากเรื่องนี้เกิดขึ้นที่อื่นล่ะก็ คงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้ว”
สีหน้าของหยวนซื่อเคร่งขึ้น เลิกคิ้วขึ้นกำลังจะก้าวออกมา กลับถูกสายตาอันเย็นเยือกของฮูหยินผู้เฒ่ากัวยับยั้งเอาไว้
“นี่นับเป็นเรื่องใหญ่อันใดกัน” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยกถ้วยชาขึ้นเป่าใบชาที่ลอยเหนือผิวน้ำ จิบหนึ่งคำอย่างนุ่มนวล แล้วจึงกล่าวว่า “เมื่อพระพุทธองค์เห็นสาวงามก็เป็นเพียงกองกระดูกแห้งกองหนึ่ง แต่บุตรชายตระกูลร่ำรวยเมื่อเห็นสาวงามกลับคิดว่าเป็นนางฟ้านางสวรรค์ ข้าสามารถควบคุมได้แต่เรื่องของตนเองเท่านั้น ข้านั้นสามารถควบคุมว่าใครจะเป็นพระพุทธองค์ หรือใครจะเข้าสู่นรกขุมที่สิบแปดได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ”
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าซุนดูไม่ค่อยดีนัก
ฮูหยินของหลินเจี้ยวอวี้ผู้นั้นรีบยิ้มพลางกล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวเยี่ยงนี้แล้ว ข้ากลับนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา” นางเจื้อยแจ้วกล่าว “หลายปีก่อนนายท่านของพวกข้ามีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่ง โดยละแวกใกล้ๆ บ้านมีร้านขายธูปเทียนอยู่ร้านหนึ่ง เขามักจะเห็นนักพรตสาวสวยผู้หนึ่ง เลือกธูปเทียนอยู่ในร้านขายธูปเทียนนั้น อยู่มาวันหนึ่ง บุตรชายของเจ้าของร้านนั้นมาเฝ้าร้านอยู่ที่นั่น เมื่อนักพรตสาวมาอีกครั้ง ทั้งสองพูดคุยกันได้ครู่หนึ่ง ก็เปลี่ยนให้เด็กชายคนหนึ่งในบ้านมาเฝ้าร้านแทน ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม บุตรชายของเจ้าของร้านผู้นั้นถึงได้ส่งนักพรตสาวออกมา…
…เขาก็เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ ทุกครั้งที่ผ่านร้านธูปเทียนนั้นก็ต้องมองดูซ้ำอีก…
…การเฝ้าดูอยู่เช่นนี้ ก็ทำให้เขาพบว่าความจริงแล้วบุตรชายของเจ้าของร้านนั้นจะมาเฝ้าร้านทุกวันที่หนึ่งและสิบห้าของเดือน เมื่อถึงตอนบ่าย นักพรตสาวจะมาถึงที่ร้านของพวกเขาและเลือกธูปเทียน จากนั้นทั้งสองจะเข้าไปด้านในของร้าน หนึ่งชั่วยามให้หลัง บุตรชายของเจ้าของร้านก็จะส่งนักพรตสาวผู้นั้นออกมา…
…เขาจึงไปฟ้องทางการ…
…กล่าวหาว่าบุตรชายของเจ้าของร้านกับนักพรตสาวผู้นั้นมีความสัมพันธ์กัน…
…ใครจะรู้ว่าเมื่อทางการสืบสวนแล้ว ก็พบความจริงว่านักพรตสาวผู้นั้นอายุสี่สิบปีแล้ว แต่เพราะเป็นศิษย์สำนักบู๊ตึ๊ง ฝึกฝนกงฟูกำลังภายใน ฉะนั้นท่าทางจึงดูเหมือนอายุยี่สิบต้นๆ ภรรยาของเถ้าแก่ร้านธูปเทียนเป็นพี่สาวร่วมสายเลือดของนักพรตหญิงท่านนั้น นอนป่วยติดเตียงมาหลายปีแล้ว นักพรตหญิงผู้นี้เดินทางร่อนเร่จนมาถึงเมืองจินหลิง พอรู้ว่าพี่สาวนอนป่วยติดเตียง จึงมานวดให้พี่สาวทุกวันที่หนึ่งและสิบห้าของเดือน บุตรชายของเจ้าของร้านผู้นั้นก็คือหลานชายร่วมสายเลือดของนาง”
อยู่ๆ ภายในลานเปิดโล่งก็เสียงดังอื้ออึงขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นคำพูดแบบใดก็มีทั้งหมด
แม้กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าของเหลียงกั๋วกงที่สูงวัยแล้วและเคยได้ยินเรื่องราวแปลกๆ ที่น่าสนใจมาไม่น้อยก็ยังเกิดความสนใจขึ้นมา ถามฮูหยินหลินว่า “เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นหรือ”
“จะเป็นอย่างไรได้อีกเจ้าคะ” ฮูหยินหลินทอดถอนใจพลางกล่าว “เขาเป็นผู้ที่มียศศักดิ์ เพียงคำว่า ‘เข้าใจผิด’ หนึ่งคำจากทางการก็ลบล้างคดีได้แล้ว ทว่าบัณฑิตผู้นั้น กลับยังไม่ยอมรับความผิด ตำหนิว่าเป็นความผิดของบุตรชายของเจ้าของร้านผู้นั้น ชายหญิงที่ยังไม่แต่งงาน แม้จะกล่าวว่าเป็นน้าร่วมสายเลือด ก็ควรจะหลีกเลี่ยงเช่นกัน!”
ฮูหยินผู้เฒ่าซุนกล่าวขึ้นว่า “คำกล่าวนี้ก็มีเหตุผลอยู่หลายส่วน”
“มีเหตุผลอันใดกัน” ฮูหยินสาวที่สวมชุดเพ่ยจื่อสีแดงสดปักลายผีเสื้อตอมดอกไม้ผู้ที่ไม่ค่อยพูดอะไรมาโดยตลอดคนนั้น ตอนนี้กลับกล่าวขึ้นอย่างกะทันหันว่า “ผู้ที่เปิดร้านขายธูปเทียนนั้นเป็นเพียงครอบครัวสมถะเล็กๆ ไม่รู้ว่ารู้หนังสือหรือไม่ เจ้าให้เขาปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านี้ เขาจะเข้าใจหรือ ไม่เช่นนั้นราชสำนักในปัจจุบันจะนำเอา ‘ศาสตร์แห่งความมีอารยธรรม’ มาเป็นหนึ่งในเนื้อหาของการสอบประจำปีของขุนนางได้อย่างไร”
ฮูหยินผู้เฒ่าซุนอดเคอะเขินไม่ได้อยู่บ้าง กล่าวขึ้นว่า “ไต้เท้าหลิวคู่ควรกับการถูกยกย่องให้เป็น ‘ข้าราชการผู้มีความสามารถ’ แม้แต่ฮูหยินหลิวก็มีความรอบรู้เกี่ยวกับเรื่องในราชการเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน”
ที่แท้ฮูหยินสาวผู้นี้คือฮูหยินของหลิวหมิงจวี่ผู้เป็นนายอำเภอเจียงหนิง
ได้ยินน้ำเสียงการพูดจาของนางแล้ว เกรงว่าทางบ้านเดิมก็มีผู้ที่รับราชการเช่นกัน
ขณะที่โจวเสาจิ่นสำรวจนางอยู่นั้น ก็เห็นฮูหยินอู๋กับเฉิงเสียนกระซิบพูดคุยกันพลางเดินเข้ามาอย่างยิ้มแย้ม แต่ยังคงสามารถได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง “…ข้าก็รู้สึกว่าชาดของอวี๋จี้นั้นดีกว่าของเซี่ยฟู่เซียง แต่ว่าแป้งทาหน้าของเซี่ยฟู่เซียงกลับดีกว่าของอวี๋จี้”
เฉิงเสียนกล่าวว่า “ใช่แล้ว ฉะนั้นข้าจึงให้คนจากเมืองจินหลิงนำแป้งทาหน้าของเซี่ยฟู่เซียงมาให้ข้าสิบกว่ากล่องทุกปี เอาไว้ใช้เองก็ได้ หรือจะมอบให้ผู้อื่นก็ได้” นางกล่าวพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมา ราวกับเพิ่งจะสังเกตว่าภายในลานเปิดโล่งมีโจวเสาจิ่นและพานชิงเพิ่มเข้ามา จึงกล่าวกับพานชิงอย่างเอาอกเอาใจว่า “เจ้าเด็กคนนี้ วิ่งไปถึงไหนกัน ทำให้ข้าต้องตามหาเจ้าอยู่พักใหญ่!” จากนั้นเอ่ยถามโจวเสาจิ่นว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้ากับคุณหนูใหญ่อู๋อยู่ด้วยกันหรอกหรือ ไฉนจึงไม่เห็นคุณหนูใหญ่อู๋”
แววตาของโจวเสาจิ่นส่องประกายเล็กน้อย รับรู้ถึงจิตมุ่งร้ายของเฉิงเสียนโดยสัญชาตญาณ
เพียงแต่ว่ายังไม่ทันที่นางจะเอ่ยปาก ฮูหยินอู๋ยิ้มกล่าวขึ้นมาก่อนว่า “ข้าให้นางกลับไปก่อน มีแขกมาจากทางบ้านเดิมของนายท่านของข้า กล่าวกันว่าเป็นผู้ที่ดูแลคุณหนูใหญ่มาตั้งแต่เล็กๆ จึงมาเยี่ยมคุณหนูใหญ่โดยเฉพาะ”
ไม่ว่าคำกล่าวนี้จะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ก็ไม่มีใครอยากตามไปสอบสวนจนถึงแก่นให้เสียบรรยากาศ ทุกคนต่างหัวเราะ และปัดเรื่องนี้ให้ตกไป
จนกระทั่งเมื่องานเลี้ยงเริ่มขึ้น โจวเสาจิ่นก็นั่งประจำอยู่ที่ที่นั่งของอู๋เป่าจาง
พานซิงที่ไม่มีเรื่องจะพูดก็พยายามหาเรื่องมาคุยกับโจวเสาจิ่นเพื่อคลายสถานการณ์ที่อึดอัด
โจวเสาจิ่นไม่พูดไม่จาโดยตลอด พานชิงกล่าวมาสิบประโยค นางถึงจะตอบสักหนึ่งประโยค พานชิงเหนื่อยอ่อนเป็นอย่างมาก แต่เฉิงเจียกลับโกรธเป็นอย่างมาก ไม่รอให้ถึงเวลางานเลี้ยงเลิกก็ดึงโจวเสาจิ่นมากระซิบถามว่า “ทำไมพานชิงกับเจ้าถึงสนิทสนมกันขนาดนี้ เมื่อกี้เจ้าช่วยพูดแทนพานชิงหรือ”
“ทำไมถึงไม่เป็นว่าพานชิงช่วยพูดแทนข้าบ้างล่ะ” โจวเสาจิ่นถาม “เจ้าจะสนใจว่านางคิดอะไรไปทำไมกัน อย่างไรเสียอีกไม่กี่วันนางก็จะไปแล้วไม่ใช่หรือ”
เฉิงเจียเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
แต่ไหนแต่ไรมาโจวเสาจิ่นก็ไม่เคยมีเรื่องไปยุ่งเกี่ยวกับผู้อื่นเช่นนี้มาก่อน เวลานี้เรือล่องผ่านคลื่นน้ำที่สงบแล้ว ได้เห็นอู๋เป่าจางถูกพวกผู้ใหญ่รังเกียจ แต่นางกลับไม่ได้รู้สึกยินดีในชัยชนะ เพียงรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ลึกๆ เท่านั้น
นางดื่มน้ำแกงปลาสือไปสองถ้วยติดต่อกัน เหงื่อออกเล็กน้อย ถึงได้รู้สึกมีแรงขึ้นมา
หลังจากดูดอกไม้ไฟ และช่วยจวนรองส่งแขกเสร็จ เมื่อโจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ กลับมาถึงจวนสี่ ก็ตีกลองบอกเวลาสองยามแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนสีหน้าเหนื่อยล้า สั่งโจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ว่า “ทุกคนไปพักเถิด! มีเรื่องอะไร ก็ค่อยพูดกันพรุ่งนี้”
ทุกคนย่อเข่าลงคำนับ แล้วถอยออกไป
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนย้ำกำชับกับพวกนางสองพี่น้องเรื่องให้ ‘ระวังเทียนและไฟ’ อยู่หลายประโยค จากนั้นก็แยกย้ายกับโจวเสาจิ่นสองพี่น้องไป
โจวเสาจิ่นมองไปรอบๆ แล้วว่าไม่มีคน จึงให้ซือเซียง ฉือเซียงและคนอื่นๆ ตามอยู่ห่างๆ จากนั้นกระซิบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่ไปกลับถึงเรือนซื่ออี๋ให้โจวชูจิ่นฟัง
โจวชูจิ่นตกใจเป็นอย่างมาก ต่อมาก็รู้สึกทั้งน่าขบขันและน่าร้องไห้ไปด้วยเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “เจ้ายังพอใจมากอยู่อีก! ไม่รู้จักเกรงกลัว คนนั่งอยู่ในห้องโถงมากมายขนาดนั้น คนที่ดวงตาดูไม่มีแผนการคือคนที่มีแผนการ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าใช้แผนการกับอู๋เป่าจาง หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยขึ้นมา เจ้าเตรียมจะรับมืออย่างไร”
ขณะที่กล่าว ทั้งสองก็เข้าเรือนหว่านเซียงไป
โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นว่า “ตอนนั้นข้าก็โมโหมาก จึงไม่ได้ไตร่ตรองมากขนาดนั้น”
ตอนนี้มองดูแล้ว ก็อันตรายมากจริงๆ
หากเรื่องนี้เกิดขึ้นในชาติก่อน คนที่ขี้ขลาดเช่นนาง ก็คงอดกลั้นเอาไว้แปดถึงเก้าในสิบส่วน
อู๋เป่าจางนั้นหากไม่ใช่ว่าจะนำเอาเรื่องนี้มาข่มขู่ตนก็คือจะนำเอาเรื่องนี้มาประจบประแจงตน แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง เรื่องทั้งหมดล้วนจะเป็นเหมือนกับชาติก่อน ภายใต้ความขลาดกลัวของตนเองจึงจำต้องไปมาหาสู่กับอู๋เป่าจางอยู่บ่อยๆ อู๋เป่าจางจะได้รู้จักกับเฉิงเจีย และได้รู้จักกับเจิ้งซื่อผู้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและเหนียวแน่นกับเฉิงเจีย
แต่วันนี้ ทุกอย่างล้วนไม่เหมือนเดิมแล้ว
อู๋เป่าจางถูกฮูหยินผู้เฒ่าของจวนเหลียงกั๋วกง ‘วิพากษ์วิจารณ์’ เยี่ยงนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงการเข้าสู่วงสังคมหญิงสาวของเมืองจินหลิง แม้แต่ผู้ที่มีสถานะทางบ้านเพียงเล็กน้อยก็คงจะไม่ยอมอนุญาตให้หญิงสาวในจวนของตนเข้าใกล้นางมากเกินไป
ตนกับนาง ต่อจากนี้ไปคงจะไม่ค่อยได้เจอกันมากเท่าไหร่แล้วกระมัง?
………………………………………………………………….