ใบหน้าของซานเป่าเต็มไปด้วยความยุ่งยากใจ ค่อยๆ กล่าวออกมาอย่างช้าๆ ว่า “คุณหนูรอง” ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่ขยับ
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตากว้างขึ้น ถึงแม้ว่าจะยังอ่อนโยนเหมือนน้ำอยู่เช่นเดิม และไม่มีวี่แววของการทำลายล้างเลยแม้แต่น้อย ถึงกับทำให้ซานเป่ารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยไปชั่วขณะ ทว่าจริงๆ นั้นนางโกรธแล้ว ซานเป่าจึงไม่กล้าขัดคำสั่งอย่างเปิดเผย รีบขานตอบ ‘ขอรับ’ แล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
โจวเสาจิ่นโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
ทั้งสองสามคนจึงยืนรออยู่ข้างๆ ต้นหลิว
แต่ผ่านไปสองเค่อแล้ว แม้แต่เงาของเฉิงอี้ก็ยังไม่เห็น ยิ่งอยู่ยุงก็ยิ่งเยอะขึ้น พัดผูซ่านของซือเซียงก็พัดจนมีเสียงหึ่งๆ อยู่ตลอด
โจวเสาจิ่นโกรธจนเม้มริมฝีปากแน่น บิดผ้าเช็ดหน้าแน่นด้วยแรงทั้งหมดที่มี
ซือเซียงยิ้มพลางกล่าวชักชวนว่า “คุณหนูรอง จากจวนห้ามาที่นี่ นับว่าเป็นทางที่ใกล้แล้วก็ยังต้องใช้เวลาถึงสองเค่อ นี่ทั้งไปและกลับ อย่างน้อยที่สุดก็ยังต้องใช้เวลาถึงครึ่งชั่วยาม เช่นนั้น ทิ้งให้ชุนหว่านรออยู่ที่นี่ แล้วข้าไปเดินเล่นรอบๆ เป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่เจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นคิดๆ แล้วก็เห็นว่าที่นางพูดมาก็มีเหตุผลยิ่ง จึงทิ้งชุนหว่านให้รออยู่ข้างๆ ต้นหลิว ส่วนตนเองกับซือเซียงไปเดินเล่นในสวน
ชาติก่อน เฉิงสวี่ก็เข้ามาจากทางฝั่งสวนดอกไม้เล็กของจวนห้า ชาตินี้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องอุดช่องโหว่นี้ให้ได้ ไม่เช่นนั้นต่อให้ไม่มีเฉิงสวี่แล้ว ใครจะรู้ว่าอาจจะมีเฉิงจวี่ออกมาอีกคนก็เป็นได้
ทั้งสองคนเดินอยู่ในสวนดอกไม้อย่างเงียบๆ เป็นเวลาประมาณสองเค่อ เฉิงอี้ก็ยังไม่มา
คาดว่าคงจะไม่มาแล้ว!
โจวเสาจิ่นมีความรู้สึกผิดหวังอย่างอธิบายไม่ได้อยู่ในใจ นางบอกซือเซียงว่า “พวกเรากลับไปกันเถอะ!”
ซือเซียงปลอบใจนางว่า “ไม่ต้องพูดถึงบรรดาคุณชายที่ได้ออกไปข้างนอก แม้แต่บรรดาคุณหนูทั้งหลายเมื่อได้รวมตัวอยู่ด้วยกัน ก็ยังต้องรักษาหน้าตากันเลยเจ้าค่ะ คงเป็นไม่ได้ที่คุณชายรองจะออกมาจากวงโต๊ะได้เลยทันทีหลังจากที่ถูกซานเป่าเรียกกระมัง คาดว่าคนที่รั้งอยู่ที่นั่น หากไม่ใช่สหายร่วมชั้นของคุณชายรองก็เป็นพี่น้องกันทั้งนั้น คุณชายรองจึงต้องเห็นแก่หน้าของทุกคนเจ้าค่ะ ตอนนี้ก็ค่อนข้างดึกแล้ว พวกเรากลับไปพักผ่อนกันก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยพูดคุยกันก็ดีเหมือนกัน หากคุณชายรองลอบเข้ามาจากทางนี้แล้วเกิดถูกพวกมามาที่เฝ้าเวรยามอยู่พบเห็นขึ้นมาพอดี เกรงว่าอาจจะเกิดเรื่องขึ้นมาได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนักเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นไม่ได้กล่าวอะไร เรียกชุนหว่าน จากนั้นก็เดินกลับเรือนหว่านเซียงไปพร้อมกับซือเซียง
แต่เมื่อกลับไปถึงแล้ว นางก็เรียกป้าที่เป็นบ่าวเฝ้าเวรยามตอนกลางคืนเข้ามาในทันที กล่าวย้ำเตือนพวกนางครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “ต้องเฝ้าประตูเอาไว้ให้ดี หากพบเห็นว่าไม่ได้ปฏิบัติตามกฎ ก็อย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่หน้านาง จะส่งไปให้พ่อบ้านใหญ่ฉินจัดการทั้งหมด”
คนที่คอยรับใช้อยู่ใกล้ชิดโจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นในเรือนหว่านเซียงล้วนแล้วแต่เป็นบ่าวรับใช้ของตระกูลโจว ส่วนบ่าวรับใช้ทั่วไปจะเป็นคนของตระกูลเฉิง ช่วงหลายวันมานี้โจวเสาจิ่นไปคัดพระธรรมอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน และพอนางพูดก็ข้ามจวนสี่ไปเอ่ยถึงฉินโสวหลี่ผู้เป็นพ่อบ้านใหญ่ของซอยจิ่วหรูเลย จึงเข้าใจว่าโจวเสาจิ่นนั้นได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ากัว คำพูดของนางต่อหน้าฉินโสวหลี่ก็คงจะมีน้ำหนักเสียแล้ว ทุกคนจึงตกใจจนสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก ต่างก็รีบแสดงความจงรักภักดีด้วยกลัวจะช้ากว่าผู้อื่น แม้แต่คำสาบานประเภท ‘ให้สวรรค์ลงโทษ’ ก็ยังกล่าวออกมา โจวเสาจิ่นถึงได้สงบใจลงได้ และไปเข้านอนโดยมีซือเซียงคอยให้การปรนนิบัติ
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น โจวเสาจิ่นยังไม่ทันจะตื่นนอน เฉิงอี้ก็มาหาแล้ว
ในใจของโจวเสาจิ่นยังคงเป็นกังวลถึงเรื่องสวนดอกไม้เล็กของจวนห้า ทำให้ตอนกลางคืนนอนหลับไม่สนิทนัก เมื่อได้ยินว่าเขามาหา จึงให้ซือเซียงไปเชิญเขาให้ไปดื่มน้ำชาที่ห้องหนังสือ ยังกำชับไปด้วยว่า “เจ้าถือโอกาสถามคุณชายรองด้วยว่ารับมื้อเช้ามาแล้วหรือยัง หากว่ายัง ก็ให้ห้องครัวตั้งมื้อเช้าให้คุณชายรองก่อน ส่วนข้าเมื่อล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วจะตามไป”
ซือเซียงเดินไปที่ห้องหนังสือ
โจวเสาจิ่นโกรธที่เมื่อคืนเขาให้นางรอโดยเปล่าประโยชน์ จึงค่อยๆ ล้างหน้าและแต่งตัวอย่างช้าๆ ไปครู่ใหญ่ ถึงได้ออกไปที่ห้องข้าง
เฉิงอี้ทานมื้อเช้าเสร็จแล้ว ทว่าโจวเสาจิ่นกลับยังไม่มา เขารู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก จึงพลิกดูหนังสือไปสองสามเล่ม ทั้งหมดล้วนเป็นหนังสือประเภทการปลูกและเลี้ยงดูดอกไม้ต้นไม้ ซึ่งเขาไม่ค่อยสนใจนัก เห็นมีเด็กรับใช้เข้ามาให้อาหารปลา จึงรับจานรองกระเบื้องลายครามนั้นมา แล้วให้อาหารปลาแทน
ปรากฏว่าเมื่อโจวเสาจิ่นเข้ามาก็เห็นว่าเขานั้นกำลังอยู่ในท่าทีที่สำราญใจอย่างไร้ความกังวล
นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขุ่นเคือง กล่าวขึ้นว่า “เมื่อวานเสียเงินไปเท่าไหร่หรือ”
“ฮ่าๆๆ” เฉิงอี้หมุนกายกลับมา หยิบอาหารปลาไปด้วยอย่างสบายอารมณ์ กล่าวขึ้นว่า “ก็แค่เงินค่ามื้ออาหารมื้อหนึ่งเท่านั้น เจ้าจะกังวลไปทำไม”
โจวเสาจิ่นแย่งอาหารปลาในมือของเขามา พลางกล่าว “ปลาพวกนี้ล้วนปัญญาทึบยิ่งนัก ท่านให้อาหารพวกมันมากเท่าไหร่ พวกมันก็จะกินมากเท่านั้น ท่านระวังจะทำให้ปลาของข้าตายได้” ขณะที่พูด นางก็นำจานรองกระเบื้องนั้นไปวางบนโต๊ะหนังสือที่อยู่ข้างๆ จากนั้นถึงกล่าวขึ้นว่า “เมื่อคืนข้าให้ซานเป่าไปหาท่าน ทำไมท่านถึงไม่มาหรือ”
เฉิงอี้หาทางหนีทีไล่ กล่าวขึ้นว่า “ข้าก็มานี่แล้วไม่ใช่หรือ แล้วเจ้ามีเรื่องอะไร เช้าวันนี้ท่านอาจารย์ยังจะทดสอบบทเรียน ‘การเรียนรู้อันยิ่งใหญ่’[1] ที่สอนไปเมื่อวานอีก ข้าต้องไปให้ไวหน่อย”
“ท่านก็รู้ด้วยหรือว่าท่านยังต้องเรียนหนังสืออยู่!” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างไม่เกรงใจว่า “หากว่าเมื่อคืนท่านไม่ไปเล่นกับพวกเขา ไหนเลยจะต้องมาสวดอ้อนวอนแทบเท้าพระพุทธองค์ในเวลาสุดท้ายเช่นนี้ ข้าต้องการพบท่าน ก็เพื่อว่าต่อไป อยากให้ท่านไปมาหาสู่กับพวกเขาให้น้อยลงหน่อย ทำไมไม่เห็นพี่ชายสือ พี่ชายเจิ้งเล่นกับพวกท่านด้วยเล่า ท่านยายยังคาดหวังให้ท่านตั้งใจเรียนหนังสือให้ดี และได้รับหมวกเฟิ่งกวนสยาเพ่ย[2]อันหนึ่งกลับมาให้นาง!”
“ข้ารู้แล้วๆ” เฉิงอี้ยิ้มอย่างยอมรับผิด ทว่าน้ำเสียงกลับไม่ค่อยจะยอมรับสักเท่าไหร่ “ข้าสัญญาว่าต่อไปจะไม่ไปเล่นกับพวกเขาอีก เช่นนี้เจ้าคงพอใจแล้วกระมัง!”
เนื่องจากเฉิงอี้นั้นเป็นญาติผู้พี่ของโจวเสาจิ่น กล่าวหนักไป ก็จะเป็นการทำลายความภาคภูมิใจในตนเองของเขา แต่ถ้ากล่าวเบาไป เขาก็จะไม่ฟังอีก
นางจึงไม่รู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไรดี จำต้องกล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ให้พวกท่านรวมตัวสังสรรค์กัน เพียงแต่ว่าท่านลุงเวิ่นกับท่านป้าเวิ่นเพิ่งจะมีเรื่องกันไป การที่พวกท่านเล่นสนุกกันที่สวนดอกไม้เล็กของจวนห้าจึงไม่ค่อยดีนัก นอกจากนี้การเล่นกันจนถึงยามสามของครึ่งค่อนคืนเช่นนี้ก็ยังกระทบต่อการเรียนให้ล่าช้า จึงควรจะสังสรรค์ให้น้อยจะเป็นการดีกว่า”
“วางใจเถอะๆ” เฉิงอี้กล่าวอย่างยิ้มแย้ม “เมื่อทุกคนเห็นซานเป่าไปเรียกข้า ต่างก็รู้ว่าเจ้ารู้เรื่องแล้ว จึงตัดสินใจว่าต่อไปจะไม่ไปเล่นที่สวนดอกไม้เล็กของจวนห้าอีก”
จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสถานที่อื่นสักที่แทนอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นไม่ใช่คนประเภทที่จะต้อนคนให้จนมุม จึงกลืนคำพูดที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากประโยคนี้ลงไป และกล่าวอย่างติดตลกขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ดีแล้ว ข้าจะได้ไม่ต้องไปฟ้องท่านยาย” นางนึกถึงเฉิงอี้ที่ยากจนข้นแค้นในชาติก่อนแล้ว ในใจก็รู้สึกสงสารเขา กล่าวขึ้นว่า “เมื่อวานท่านหมดเงินไปเท่าไหร่กันแน่ ข้าพอจะมีเงินอยู่บ้าง หากว่าขาดมือจริงๆ เอาของข้าไปก่อนก็ได้ ดีกว่าต้องไปยืมจากสหายร่วมชั้นของท่านอย่างพวกเฉิงนั่วและเฉิงจวี่”
จวนสี่นั้นเลี้ยงดูทายาทชายอย่างเข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้เฉิงอี้จะเป็นถึงคุณชายรอง ค่าใช้จ่ายเรื่องอาหาร เครื่องนุ่งห่มล้วนไม่ธรรมดา แต่เงินเดือนสำหรับใช้จ่ายตามใจชอบที่มีอยู่ในมือกลับมีไม่มากเท่าโจวเสาจิ่น
อย่างที่คนเขากล่าวเอาไว้ว่า รับการสนับสนุนจากผู้อื่นแล้วก็ยากที่จะปฏิบัติตัวเป็นกลางได้ นับประสาอะไรกับการยืมเงินของผู้อื่นมาเป็นเวลานานโดยที่ไม่สามารถคืนได้กัน?
เฉิงอี้รู้ว่าญาติผู้น้องของตนเป็นคนที่จิตใจดีงาม อ่อนโยนและปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างจริงใจผู้หนึ่ง เห็นนางอาสาขึ้นมาเอง จึงไม่เกรงใจอีก กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้ามีสักยี่สิบเหลี่ยงหรือไม่”
โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมากไปครั้งหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าเขาจะเสียเงินไปมากขนาดนี้
นางไม่อยากให้เฉิงอี้ไม่สามารถเงยหน้าขึ้นยามอยู่ต่อหน้าเฉิงจวี่
“มี!” นางตอบอย่างไม่ลังเล ตะโกนบอกซือเซียงให้ไปหยิบเงิน และพูดเกลี้ยกล่อมเขาอีกครั้งว่า “ต่อไปท่านก็ควรจะเล่นกับพวกเขาให้น้อยลงจะเป็นการดีกว่า”
เฉิงอี้พยักหน้า กล่าวอย่างขัดเขินว่า “ล้วนเป็นเรื่องของหน้าตา จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่พอบอกจะกลับก็กลับได้เลย”
นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องจริง
โจวเสาจิ่นจึงไม่กล่าวอะไรอีก
เฉิงอี้หยิบเงินแล้วก็กล่าวอำลา
โจวเสาจิ่นไปส่งเขาที่ประตูด้วยตัวเอง จากนั้นค่อยกลับไปที่ห้องโถง
ไม่นานหลังจากนั้น โจวชูจิ่นก็มา นางถามโจวเสาจิ่นว่า “น้องชายอี้มาหาเจ้าแต่เช้าตรู่ทำไมหรือ”
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างเป็นทุกข์ว่า “อย่าพูดถึงเลยเจ้าค่ะ เมื่อวานพี่ชายอี้กับเฉิงนั่วและเฉิงจวี่พวกเขาเล่นการพนันกัน…”
นางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พี่สาวฟัง
ถึงแม้ว่าโจวชูจิ่นจะค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าไม่ได้กังวลใจเหมือนกับโจวเสาจิ่น กลับกล่าวยิ้มๆ ขึ้นมาแทนว่า “ต่อไปเจ้าก็จู้จี้ต่อหน้าน้องชายอี้ให้น้อยเข้าไว้เถอะ ไม่ว่าใครก็ไม่ชอบให้…น้องสาวผู้หนึ่งคอยมาดูถูกดูแคลนตนเองนักหรอก”
“ข้าก็ไม่อยาก” โจวเสาจิ่นกล่าวพึมพำ “เพียงแต่ว่าบางครั้งก็ควบคุมตัวเองไม่ได้เจ้าค่ะ”
และนางก็ไม่ได้สะดุดใจกับอาการหยุดชะงักไปชั่วขณะหนึ่งของพี่สาวขณะที่เอ่ยถึงคำพูดที่ว่าไม่ชอบให้ดูถูกดูแคลนนั้น
โจวเสาจิ่นเป็นกังวลว่าเฉิงอี้นั้นจะทำเพียงเพื่อให้นางพอใจเท่านั้น
นางเรียกฝานฉีเข้ามาหา ให้เขาเฝ้าสังเกตเฉิงอี้เอาไว้สักหน่อย “โดยเฉพาะหลังจากที่เขาเลิกเรียนแล้วในแต่ละวัน ถ้าหากไม่กลับเรือนพักของตัวเอง ล้วนไปทำอะไรบ้าง”
ฝานฉียิ้มพลางถอยกลับออกไป
วันถัดมา เขามาเล่าให้โจวเสาจิ่นฟังอย่างมีเลศนัย “คุณชายรองกับคุณชายใหญ่นั่ว คุณชายใหญ่จวี่และสหายร่วมชั้นอีกหลายคนเล่นการพนันกันอยู่ที่ศาลาริมน้ำในสวนดอกไม้เล็กของสวนห้าขอรับ”
โจวเสาจิ่นโกรธจนเลือดขึ้นหน้า
เฉิงอี้ ไม่ใส่ใจในคำพูดของนางเลยตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
จากนั้นนางก็นึกแปลกใจขึ้นมาอีกครั้งในทันที
แล้วเฉิงอี้เอาเงินที่ไหนไปเล่นการพนันอีก
นางคิดแล้วคิดอีก จากนั้นเรียกซานเป่ามาสอบถาม เอ่ยถามเขาว่า “ตกลงว่าเมื่อวันก่อนคุณชายรองเสียเงินไปเป็นจำนวนเท่าไหร่กันแน่”
ซานเป่านั้นรู้เรื่องที่โจวเสาจิ่นให้เฉิงอี้ยืมเงิน เขาคิด เนื่องจากคุณหนูรองให้คุณชายรองยืมเงิน แสดงว่าต้องดีกับคุณชายรองมากเป็นแน่ เรื่องที่คุณชายรองเสียเงินไปเป็นจำนวนเท่าไหร่นั้น ต่อให้เขาไม่พูดตอนนี้ เพียงคุณหนูรองไปสอบถามกับผู้อื่น ก็ย่อมสามารถสอบถามออกมาจนได้ นอกจากนี้ก็ไม่ใช่จำนวนที่มากอะไร ดังนั้นจึงไม่ปิดบังโจวเสาจิ่น กล่าวยิ้มๆ ว่า “เสียไปหกเหลี่ยงขอรับ”
โจวเสาจิ่นแทบจะกระโดดโหยงขึ้นมา
ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเฉิงอี้ถึงสามารถไปเล่นการพนันกับคนพวกนั้นต่อได้อยู่อีก ความจริงแล้วเป็นเพราะเงินยี่สิบเหลี่ยงที่ตนให้เขายืมไปนี่เอง
ซานเป่าเห็นสีหน้าของนางเอาเจือไว้ด้วยความโกรธ จึงรีบกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง เมื่อวานคุณชายรองเล่นชนะได้เงินมาสองเหลี่ยงกับอีกสามเหรียญทองแดง อีกไม่นานก็คงจะเอาชนะจนสามารถถอนทุนคืนได้ทั้งหมดแล้วขอรับ”
โจวเสาจิ่นฟังแล้ว อีกครู่ใหญ่กว่าจะดึงสติกลับมาได้ พลางกล่าว “แสดงว่าคุณชายรองยังจะไปเล่นพนันกับพวกเขาอีกอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่ขอรับๆ” ซานเป่าถึงได้รู้สึกตัวว่าตนเองได้พูดบางอย่างผิดไป และกล่าวต่อว่า “บ่าวพูดผิดไป คุณชายรองกล่าวว่า ไม่อาจยอมให้พวกเขาหัวเราะเยาะเช่นนี้ได้ รอให้ชนะจนถอนทุนคืนได้แล้ว จะชวนพวกเขาไปทานข้าวที่หอจิ่วเซียงสักมื้อ จากนั้นก็จะไม่ไปเล่นกับพวกเขาอีกแล้วขอรับ”
ด้านหนึ่งก็พูดไปด้วย อีกด้านหนึ่งก็เฝ้าสังเกตสีหน้าของโจวเสาจิ่นอย่างระมัดระวังไปด้วย
โจวเสาจิ่นไม่อยากแม้แต่จะกล่าวอะไรอีก จึงให้ซือเซียงส่งซานเป่าออกไป
ตอนที่ไปคารวะยามเย็น นางจึงตั้งใจเดินช้าลงมาหลายก้าว ทำให้ได้พบกับเฉิงเก้าและเฉิงอี้
โจวเสาจิ่นกล่าวทักทายเฉิงเก้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นลากเฉิงอี้ไปคุยกันข้างๆ “ถ้าหากว่าในครั้งก็ยังไม่สามารถเอาเงินทั้งหมดกลับคืนมาได้ ท่านก็จะเล่นพนันกับพวกเขาต่อไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่”
“นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร!” เฉิงอี้เหลือบมองไปที่เฉิงเก้าครั้งหนึ่ง กระซิบเสียงเบาว่า “ข้าแพ้ติดต่อกันหลายครั้งแล้ว แต่พอเจ้าให้ข้ายืมเงิน ข้าก็เปลี่ยนเป็นมือขึ้น เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะความโชคดีของเจ้า ครั้งนี้ข้าจะต้องชนะและสามารถถอนเงินที่แพ้ไปกลับมาได้ทั้งหมดเป็นแน่”
โจวเสาจิ่นเห็นเฉิงเก้ามองมาที่พวกเขาด้วยสีหน้าคาดไม่ถึง จึงไม่อาจคุยอะไรกับเฉิงอี้ได้มากนัก และแยกย้ายกับเฉิงอี้ไปด้วยรอยยิ้ม
ตกกลางคืน นางให้ฝานฉีจับตามองเฉิงอี้ต่อไป
เฉิงอี้และเฉิงจวี่อีกสองสามคนยังคงเล่นกันจนถึงตีกลองบอกเวลายามสามถึงได้แยกย้าย สหายร่วมชั้นสองสามคนของพวกเขาถึงกับค้างคืนอยู่ที่จวนห้า
โจวเสาจิ่นจึงตระหนักได้ว่าการที่นางพูดเกลี้ยกล่อมเฉิงอี้เช่นนี้นั้นไม่มีประโยชน์อะไร
แต่นอกเหนือจากการพูดเกลี้ยกล่อมแล้ว นางยังจะทำอะไรได้อีกหรือ
โจวเสาจิ่นเดินไปเดินมาอยู่ที่ป่าไผ่ของห้องศึกษาจิ้งอัน มองเหม่อไปที่ศาลาริมน้ำของจวนห้าเบื้องหน้า แม้กระทั่งว่าพานชิงมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่นางก็ไม่ทันได้สังเกต หากไม่ใช่ว่าพานชิงเอ่ยถามนางยิ้มๆ ว่า “น้องเสาจิ่นทำอะไรอยู่ที่นี่หรือ” แล้วล่ะก็ เกรงว่านางคงยังไม่รู้สึกตัวและพานชิงก็คงจะมายืนอยู่ข้างๆ นางแล้วก็เป็นได้
………………………………………………………………………………
[1] ‘การเรียนรู้อันยิ่งใหญ่’ หรือ 《大学》เป็นหนึ่งในหนังสือสี่เล่มในลัทธิขงจื๊อ
[2] หมวกเฟิ่งกวนสยาเพ่ย คือหมวกที่สวมใส่โดยหญิงสูงศักดิ์ในพิธีแต่งงาน ในทีนี้หมายถึงนำชื่อเสียงจากการสอบขุนนางมาให้