เจ้าเด็กคนนี้ คาดไม่ถึงว่าจะฉลาดหลักแหลมขนาดนี้!
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ก็สามารถรับผิดชอบกิจการงานต่างๆ คนเดียวได้แล้ว
โจวเสาจิ่นชื่นชมยินดีอยู่ในใจ คิดอยากจะพาฝานมามากับฝานฉีติดตามอยู่ข้างกายไปชั่วชีวิต แม้กระทั่งหลังจากที่นางออกเรือนไป ก็ยังสามารถแต่งตั้งฝานฉีเป็นพ่อบ้านใหญ่ของนาง ส่วนฝานมามาก็สามารถช่วยนางดูแลกิจการภายในเรือน…แต่ว่า ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาคิดถึงเรื่องเหล่านี้
อยู่ๆ นางก็รู้สึกว่าต้องเร่งฝีเท้า กล่าวขึ้นว่า “ไปกันเถอะ พวกเราเดินไปด้วยพูดคุยไปด้วย”
ที่นี่เป็นอาณาบริเวณของจวนหลัก ใครจะรู้ว่าจะมีคนอยู่หลังกำแพงหรือไม่
ฝานฉีตอบรับว่า ‘ขอรับ’ อย่างดีใจ เดินกลับไปยังเรือนหว่านเซียงพร้อมกับโจวเสาจิ่นอย่างมีความสุข
โจวเสาจิ่นให้ซือเซียงคอยอยู่นอกห้อง แล้วกระซิบสั่งการกับฝานฉี จากนั้นฝานฉีเดินจากไปอย่างตื่นเต้นดีใจ โจวเสาจิ่นกล่าวกับซือเซียงว่า “คืนนี้พวกเราเข้านอนกันเร็วหน่อย”
ซือเซียงมองดูพระอาทิตย์สีแดงสว่างเจิดจ้าอยู่ข้างนอก ก็ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวตอบว่าอย่างไรดี
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับเรียกชุนหว่านให้เข้ามาโดยไม่สนใจ สั่งให้นางไปบอกที่ห้องครัวว่าจะรับมื้อเย็นเร็วขึ้นสักหน่อย จากนั้นล่วงหน้าไปคาราวะยามเย็นฮูหยินผู้เฒ่ากวน และกล่าวทักทายโจวชูจิ่น เมื่อกลับถึงเรือนหว่านเซียงก็รับมื้อเย็นแล้วเข้านอนทันที
ทว่าเข้านอนแต่หัวค่ำเยี่ยงนี้ ซือเซียงกลับนอนไม่หลับพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงอยู่นาน ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะงีบหลับอยู่ในภวังค์ แต่กลับถูกชุนหว่านปลุกให้ตื่น “คุณหนูรองกล่าวว่า มีธุระต้องออกไปข้างนอก บอกให้พวกเราตามนางไปด้วย”
ซือเซียงขยี้ตา นานอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะหายงัวเงีย
นางนึกได้ว่าก่อนหน้านี้โจวเสาจิ่นได้สั่งฝานฉีไปทำธุระให้ ก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย กระซิบถามชุนหว่านว่า “รู้หรือไม่ว่าจะไปทำเรื่องอะไร”
“ไม่รู้หรอก” ชุนหว่านรีบเก็บมวยผม ในปากยังคาบเชือกผูกสีแดงอยู่เส้นหนึ่ง กล่าวอย่างคลุมเครือไปว่า “คุณหนูรองเพียงบอกให้ข้าสวมเสื้อผ้าสีเข้ม รวบผมขึ้นให้หมด และสวมรองเท้าส้นเตี้ย”
หรือว่าจะไปขัดขวางคุณชายรอง
ความง่วงเหงาหาวนอนของซือเซียงพลันสลายกลายเป็นเถ้าถ่านในทันใด นางรีบลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินเข้าไปในห้องของโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นสวมชุดเพ่ยจื่อสีเขียวแก่ตัวหนึ่งที่ไม่รู้ว่าหามาจากที่ไหน พันผ้าคาดเอวสีเดียวกันตรงกลางลำตัวเส้นหนึ่งเหมือนบุรุษ เนื่องจากเสื้อผ้าไม่พอดีกับตัว ผ้าคาดเอวที่พันรอบตัวนางนั้นยิ่งทำให้ร่างกายดูบอบบางราวกับจะแบกรับไม่ไหว
ฝานหลิวซื่อกำลังเปียผมให้นางอยู่
“ท่าน…” ซือเซียงสายตางุนงง
โจวเสาจิ่นกลับไม่สนใจ กล่าวไปตามตรงว่า “เจ้ารีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พวกเราต้องไปข้างนอก”
“ไม่ได้นะเจ้าคะ!” ซือเซียงรีบห้าม “ต่อให้คุณชายรองจะกระทำเรื่องไม่ดี พวกเราควรจะไปแจ้งนายหญิงผู้เฒ่าให้ทราบถึงจะถูก ไปห้ามปรามคุณชายรองด้วยตนเองได้อย่างไรเจ้าคะ ท่านจะทำให้คุณชายรองวางหน้าไว้ที่ไหน จะทำให้ผู้อาวุโสของตระกูลเฉิงมองท่านว่าอย่างไร ยังมีคุณหนูใหญ่อีก…”
“ไอ้หยา!” โจวเสาจิ่นแทรกขึ้นอย่างรำคาญ “จะพูดจาเหลวไหลมากมายขนาดนั้นไปทำไม เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่ ถ้าหากเจ้าจะไปกับข้า ก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้ ถ้าเจ้าไม่อยากไปกับข้า ก็คอยอยู่ในห้องดีๆ อย่ากล่าวอะไรเป็นอันขาด แสร้งทำเป็นว่าไม่รู้อะไร เจ้าอย่าลืมว่า เจ้าเป็นบ่าวรับใช้ในห้องของข้า ข้าไม่อยากให้เรื่องขี้ปะติ๋วในห้องของตัวเองกลายเป็นพายุฝนทั่วทั้งเมืองหรอกนะ!”
นี่ยังเป็นคุณหนูรองที่อ่อนแอและไม่มีความคิดเป็นของตนเองผู้นั้นอยู่หรือไม่
ซือเซียงเบิกตากว้างมองไปยังโจวเสาจิ่น ตะลึงงันจนทำอะไรไม่ถูก
ฝานหลิวซื่อยิ้มพลางดึงซือเซียงออกไป รอจนกระทั่งพ้นห้องโถงไปจึงเกลี้ยกล่อมนางด้วยเสียงเบา “พวกเราติดตามไปด้วยย่อมดีกว่าปล่อยให้คุณหนูรองไปคนเดียว! เจ้าอย่าลืมว่า คุณหนูรองโตขึ้นแล้ว ต่อจากนี้ไปนางจะมีความคิดแน่วแน่เป็นของตนเองมากยิ่งขึ้น อยากจะอยู่รับใช้ข้างกายคุณหนูรอง หรือถูกปล่อยตัวไปก่อนกำหนด เจ้าก็ตัดสินใจเองเถอะ เมื่อถึงเวลานั้นประสงค์ดีจะกลับกลายเป็นร้าย นอกจากจะทำให้คุณหนูรองเย็นชาเหินห่างไป ยังจะทำให้คุณหนูใหญ่ไม่พอใจ สุดท้ายแล้วคุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองก็เป็นพี่เป็นน้องกัน”
ถ้อยคำของนางเปรียบเหมือนคำเตือนสติ ปลุกซือเซียงให้ตาสว่าง
ตนเองก็อายุครบสิบแปดปีแล้ว ตามกฎเกณฑ์ของจวน ในอีกสองปีข้างหน้าไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องหาคู่แต่งงานให้นาง แต่ไหนแต่ไรมาคุณหนูใหญ่ให้ความสำคัญกับคุณหนูรองมาโดยตลอด ถ้าหากเป็นแต่ก่อน คุณหนูรองไม่อาจขัดความคิดเห็นของคุณหนูใหญ่เป็นแน่ แต่ทว่าในตอนนี้…หากว่าคุณหนูรองไม่ชอบใจขึ้นมา และยืนกรานจับตนเองแต่งงานให้ใครแล้วล่ะก็ คุณหนูใหญ่ยังจะยอมฉีกหน้าคุณหนูรองเพื่อตนเองอยู่หรือ
ซือเซียงสั่นเทิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ คว้ามือของฝานหลิวซื่อไว้แน่น “มามา ขอบคุณท่านที่ตักเตือนข้า ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้ามัดผมเผ้าและตามคุณหนูรองออกไปข้างนอก”
“เช่นนี้ค่อยนับว่าเป็นคนฉลาด!” ฝานหลิวซื่อยิ้มพลางตบมือของนางเบาๆ กลับเข้าห้องไปช่วยโจวเสาจิ่นแต่งตัว
ทุกคนต่างเกรงกลัวพี่สาวมาแต่ไหนแต่ไร โจวเสาจิ่นจึงไม่ค่อยแน่ใจว่าซือเซียงจะยอมฟังตนเองหรือไม่ ครั้นเห็นฝานหลิวซื่อเดินกลับเข้ามา ก็เอ่ยถามว่า “ซือเซียงว่าอย่างไร”
ฝานหลิวซื่อยิ้มพลางกล่าวขึ้นว่า “นางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเจ้าค่ะ และยังบอกอีกว่าจะตามคุณหนูรองไปข้างนอกด้วยเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งใจ
ผ่านไปชั่วครู่ ฝานหลิวซื่อช่วยนางเปียผมจนเสร็จเรียบร้อย ซือเซียงกับชุนหว่านเองต่างก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเช่นกัน
พวกนางทั้งสองสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีกรมท่า โพกศีรษะ และไม่สวมใส่เครื่องประดับใดๆ
โจวเสาจิ่นพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ฝานฉีเดินเข้ามา
เขาสวมชุดต่วนเฮ่อสีน้ำตาล สะพายถุงผ้าเนื้อหยาบสีน้ำเงินบนหลัง หยิบของบางอย่างออกจากแขนเสื้อเป็นอย่างแรก “นี่คือกระบอกจุดไฟขอรับ ซื้อมาในราคาสองเหลี่ยงเงิน กล่าวกันว่าเป็นวัตถุระเบิดอะไรสักอย่างของเจียงหนาน เป็นสินค้ามีคุณภาพดีที่สุด หันหน้าเข้าหาลมแล้วเขย่าก็จะสว่างขึ้นมา ยามที่จุดไฟติดแล้วแม้นท่านยืนอยู่ท่ามกลางพายุลมคลั่งสายฝนกระหน่ำก็จะไม่ดับ ตอนที่ข้าอาศัยอยู่แถบชนบทก็เคยได้ยินพวกนักเลงเหล่านั้นคุยโวมาก่อน ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ซื้อมาจริงๆ ขอรับ…” จากนั้นก็หยิบของบางอย่างในถุงผ้าออกมาให้โจวเสาจิ่นดู “ข้าเลือกมากับมือขอรับ ทั้งหมดแห้งดี รับรองว่าจุดไฟติดเป็นแน่…”
ซือเซียงได้ยินแล้วก็อกสั่นขวัญแขวน
คุณหนูรองจะทำอะไรกันหรือ
นางอยากจะถามเสียจริง แต่ทว่าเมื่อหวนนึกถึงถ้อยคำที่ฝานหลิวซื่อเตือนไปเมื่อครู่ ก็ไม่ถามอะไรอีกเลย ตามคุณหนูรองออกไปข้างนอกแต่โดยดี
กลางเดือนแล้ว แม้นดวงจันทร์จะสว่างไสว ทว่ากลับมืดสลัวมองเห็นได้ไม่ชัดเจน
พวกนางไม่ได้จุดโคมไฟ แต่ย่องตามหลังฝานชีไปอย่างเงียบเชียบ ย่องผ่านเรือนชั้นในอย่างแผ่วเบา ยามที่พบเห็นป้าผู้เป็นบ่าวเฝ้าเวรยามตอนกลางคืน ก็พยายามหลีกเลี่ยงและหลบซ่อน
ซือเซียงยิ่งเดินไปก็ยิ่งหวั่นกลัว
ไม่คาดคิดว่าพวกนางจะเดินผ่านจวนสี่ไปถึงจวนห้า โดยไม่มีผู้ใดจับได้
นางเหลียวมองน้ำในทะเลสาบอันเย็นเฉียบที่สะท้อนเป็นประกายระยิบระยับอยู่ข้างหลัง ในวันที่ร้อนระอุเยี่ยงนี้ มือเท้ากลับเย็นเยียบ
ฝานฉีที่เดินอยู่ข้างหน้ากระซิบเสียงเบาว่า “ถึงแล้วขอรับ” แล้วหันมองรอบๆ ทั่วสี่ทิศอย่างระแวดระวัง
คนของจวนสี่ไม่ค่อยไปมาหาสู่กับจวนห้าบ่อยนัก ซือเซียงไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน มองเห็นเพียงแต่ต้นไม้ดอกไม้อุดมสมบูรณ์ ช่อพวงเถิงหลัวห้อยย้อยลงมา ตรงกันข้ามคือศาลาริมน้ำที่ครึ่งหนึ่งอยู่บนบกอีกครึ่งหนึ่งอยู่ในน้ำ ทัศนียภาพสวยงามน่ารื่นรมย์เป็นอย่างยิ่ง
โจวเสาจิ่นสั่งให้พวกนางนั่งยองๆ อยู่ใต้ต้นอิ๋นเยี่ยหลิวที่พุ่มต้นไม้แผ่ออกราวกับร่ม กิ่งก้านสาขาราวกับเส้นไหม ฝานชีย่องไปแอบอยู่ข้างฐานของศาลาริมน้ำอย่างเงียบๆ
เขาหยิบของออกจากถุงผ้ามากองไว้ข้างฐานศาลา แล้วเขย่ากระบอกจุดไฟในมือ ซือเซียงถึงได้พบว่าของที่ใส่อยู่ในถุงผ้าของฝานชีนั้นแท้จริงแล้วคือฟางแห้ง
คุณหนูรองต้องการวางเพลิงหรือนี่!
สิ่งที่ซือเซียงคาดเดาไว้นั้นก็ได้รับการยืนยันแล้ว ทันใดนั้นทั้งฝ่ามือและหน้าผากต่างชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น
นางอยากจะห้ามปราม ทว่าพอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นโจวเสาจิ่นที่นั่งยองๆ อยู่ข้างตนเองจ้องมองฝานฉีตาไม่กะพริบ ลูกตาสีดำที่ตัดกับตาขาวอย่างชัดเจนนั้นเหมือนกับผลึกแก้วสีดำที่ลอยอยู่ในน้ำปรอทสีเงิน สุกใสแวววาว ทำให้ทั้งตัวของนางราวกับอัญมณีล้ำค่าใต้แสงจันทร์ เปล่งประกายแพรวพราย
ซือเซียงอึ้ง ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยอะไร ทางด้านฝานฉีก็มีเสียงดัง ปัง จุดไฟเผาฝางแห้งแล้ว
เปลวไฟเผาผลาญท่ามกลางความมืดอย่างรวดเร็ว แสงสว่างจ้าในยามค่ำคืนทำผู้คนหวาดหวั่นอยู่ในใจ
ฝานฉีก้มตัววิ่งออกมา กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “คุณหนูรอง เสร็จแล้วขอรับ พวกเราไปกันได้แล้วขอรับ!”
“ยังไปไม่ได้!” โจวเสาจิ่นเพ่งมองกองไฟกองนั้น บีบนิ้วมือเข้าด้วยกันไว้แน่น “พวกเราต้องรอจนกว่าจะมีคนเห็นไฟไหม้อยู่ตรงนั้น และตะโกนร้องเรียกคนให้มาดับเพลิงถึงจะกลับไปได้ ปล่อยให้เกิดไฟไหม้จริงๆ ไม่ได้หรอก ไม่เช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ข้าจะรู้สึกสงบใจเป็นสุขได้อย่างไร”
ทุกคนเข้าใจดี
ฝานหลิวซื่อกล่าวขึ้นในทันทีว่า “คุณหนูรองพูดถูก พวกเราจะรอจนกว่าจะมีคนมาดับเพลิงแล้วค่อยกลับไป”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
มองดูเปลวเพลิงลุกโชนรุนแรงยิ่งขึ้น ปล่อยเสียง พึ่บๆ กลางอากาศที่แห้งผาก ฉับพลันลุกลามไปถึงกลางกอหญ้าข้างๆ
เวลาที่คอยอยู่นั้นช่างยาวนานเหลือเกิน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว มีคนตะโกนร้องขึ้นจากทางด้านจวนสี่ที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามแม่น้ำ “เร็วเข้า! ไฟไหม้จวนห้าทางด้านนั้น! รีบเรียกพวกบ่าวมาดับไฟ!”
โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ถึงได้รู้สึกโล่งอกพร้อมกัน
ซือเซียงกล่าวอย่างกระวนกระวายว่า “คุณหนูรอง พวกเรากลับไปได้หรือยังเจ้าคะ”
“รออีกสักครู่” โจวเสาจิ่นขมวดคิ้วเป็นปม พึมพำว่า “ทำไมในศาลาไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย พวกเขาไม่ได้เล่นพนันกันหรอกหรือ หรือว่าเล่นสนุกจนลืมตัว และไม่ได้ยินเสียงเอะอะข้างนอก” นางสั่งซือเซียงและคนอื่นๆ ว่า “รออีกสักหน่อย รอจนกว่าจะมีคนวิ่งออกมาจากศาลาริมน้ำก็ยังไม่สายเกินไป”
ซือเซียงใจร้อนรุ่มดั่งไฟแผดเผา
คุณหนูรองไปถึงจวนห้าเพื่อวางเพลิง…ถ้าหากผู้อาวุโสของตระกูลเฉิงรู้เข้าล่ะก็ ไม่ว่าจะลงโทษคุณหนูรองไปอย่างไร พวกนางผู้เป็นบ่าวรับใช้ข้างกายเหล่านี้ยากนักจะพ้นความผิดนี้ไปได้ ไม่มีทางจบลงด้วยดีเป็นแน่
ทว่าโจวเสาจิ่นเอ่ยปากออกไปแล้ว พวกนางก็ได้แต่ติดตามโจวเสาจิ่นและรอคอย
ต้นไม้ใหญ่ข้างศาลาริมน้ำต้นหนึ่งลุกไหม้แล้ว
ทางด้านจวนสี่นั้นก็มีคนตีฆ้องตีกลองพลางวิ่งมายังฝั่งนี้แล้ว ทางด้านจวนหลักทางฝั่งตะวันออกเองก็เหมือนว่าจุดโคมไฟขึ้นแล้วอย่างเลือนราง แต่ทางด้านจวนห้านั้นกลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
โจวเสาจิ่นรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันใด
นางคาดไม่ถึงว่าไฟจะลุกลามออกไปเป็นวงกว้างเยี่ยงนี้เลย
นี่จะสร้างความแตกตื่นให้กับจวนสี่และจวนหลัก แต่ทว่าจวนห้ากลับยังคงไร้ซุ่มเสียง นางควรจะทำอย่างไรดี
หรือว่าควรจะกระโดดออกมาตะโกนเสียงดังว่า ไฟไหม้ ดี?
ระหว่างที่โจวเสาจิ่นกำลังลังเลอยู่นั้น บรรดาบ่าวไพร่ของจวนสี่ก็วิ่งกรูเข้ามาทางด้านนี้แล้ว ภายในนั้นมีเสียงหนึ่งเสียงที่ไม่คุ้นเคยแต่น่าเกรงขามมากเลยทีเดียวดังปะปนขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้น ทำไมจวนห้าถึงเกิดไฟไหม้ขึ้นได้ พวกบ่าวผู้เฝ้าเวรยามตอนกลางคืนของจวนห้าหายไปที่ไหนกันหมด”
มีบ่าวคนหนึ่งของจวนสี่ที่ตะโกนเรียก พ่อบ้านฉิน กล่าวขึ้นว่า “พวกข้าก็ไม่ทราบเหมือนกันขอรับ พวกข้าเห็นว่าไฟไหม้จวนห้าแถวตลิ่งฝั่งตรงข้าม จึงมาดับไฟขอรับ”
“ตีฆ้องซะ” ผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘พ่อบ้านฉิน’ สั่งการไป “ไปปลุกพวกบ่าวของจวนห้า” และกล่าวอีกว่า “ไฟไม่ใหญ่มาก ส่งคนไปแจ้งบ่าวไพร่ของจวนอื่นๆ ให้พวกเขาเฝ้าประตูของจวนตนเองให้ดีก็พอแล้ว ไม่ต้องแตกตื่นให้วุ่นวาย ไปรายงานนายหญิงผู้เฒ่ากวนทางด้านนั้นด้วย”
มีบ่าวคนหนึ่งตอบรับ แล้ววิ่งจากไป
พ่อบ้านฉินคนนั้นเดินมายังทางด้านนี้ กล่าวขึ้นว่า “ยังไม่รีบดับไฟอีกหรือ!”
พวกบ่าวของจวนสี่ขานเสียง “ขอรับ” เสียงหนึ่ง แล้วตีฆ้องดัง โมงๆ
ในที่สุดคนในศาลาริมน้ำก็ตื่นตระหนกแล้ว มีคนเปิดม่านแล้วมองออกไปข้างนอก โจวเสาจิ่นเห็นโคมไฟภายในห้องสว่างไสวได้อย่างชัดเจน ชายหนุ่มวัยเยาว์หลายคนกำลังนั่งโงนเงนกันอยู่รอบโต๊ะทรงกลมตัวหนึ่ง
“ไฟไหม้!” ในที่สุดคนในศาลาริมน้ำก็ตะโกนขึ้นแล้ว
ภายในห้องแตกตื่นอลหม่าน
ผู้คนแห่กันมาอยู่ข้างหน้าต่าง
พ่อบ้านฉินที่ดูไม่คุ้นหน้าคนนั้นตะโกนถามไปว่า “ใครน่ะ ดึกดื่นสามยามเยี่ยงนี้ยังไม่หลับไม่นอน แต่กลับมารวมตัวกันในศาลาริมน้ำ?”
ตอนนี้เองใจที่แขวนอยู่นั้นของโจวเสาจิ่นก็วางลงได้เสียที
หากว่าพวกเขาไม่ได้มาเล่นพนันกันในศาลาริมน้ำ นางคงจะไม่กล้าวางเพลิงเยี่ยงนี้เป็นแน่
ถ้าหากไฟไหม้ลุกลามขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร
โจวเสาจิ่นเก็บอาการดีอกดีใจไม่อยู่ ยิ้มกล่าวกับฝานชีและคนอื่นๆ ว่า “พวกเราไปกันเถอะ!”
ทว่าไม่รอให้นางผ่านพ้นออกไป นางก็ค้นพบว่า ตำแหน่งที่พวกนางอยู่นั้น เปลี่ยนเป็นเปราะบางอย่างยิ่ง พวกบ่าวของจวนสี่ที่มาดับเพลิงก็แห่มาล้อมพวกนางหมดแล้ว หากพวกนางคิดจะกลับไป ก็ต้องฝ่าฝูงคนเหล่านี้ออกไป!
จะทำได้อย่างไรกันเล่า
โจวเสาจิ่นตะลึงงันอย่างโง่งม
………………………………………………………………….