กลับถึงเรือนหว่านเซียง โจวเสาจิ่นไม่ได้หลับตาลงเลยตลอดทั้งคืน
นางเฝ้าสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของด้านนอกอย่างจดจ่อโดยตลอด ทว่าไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ราวกับว่าเรื่องที่นางประสบมาทั้งหมดนั้นเป็นเพียงความฝันหนึ่งเท่านั้น
เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นครั้งแรกที่ใต้ขอบตาทั้งสองข้างของนางดำคล้ำ
ซือเซียงและชุนหว่านที่ช่วยนางล้างหน้าล้างตาอยู่นั้นก็ไม่ได้มีสภาพที่ดีไปกว่ากัน ฝานหลิวซื่อที่ไม่ได้มีหน้าที่อะไรนั้นยิ่งแล้วใหญ่ ราวกับอยากเข้ามาร่วมด้วยอย่างไรอย่างนั้น ตั้งแต่เช้าตรู่ก็มาถึงแล้ว ช่วยซือเซียงและชุนหว่านยื่นผ้าเช็ดหน้าเอย กระจกเอย…ยุ่งกับเรื่องนี้บ้างเรื่องนั้นบ้าง ละสายตาไปตกที่ร่างของโจวเสาจิ่นอยู่หลายครั้ง และเดินหลบออกไปราวกับปรารถนาจะกล่าวอะไรแต่ก็ไม่กล่าว
ต่อให้โจวเสาจิ่นจะรู้สึกตัวช้าขนาดไหน ก็ดูออกว่าฝานหลิวซื่อมีเรื่องต้องการจะพูดกับนาง
นางส่งสัญญาณไล่คนอื่นๆ หลายคนที่รับใช้อยู่ในห้องนั้นออกไป ถามฝานหลิวซื่อว่า “มามามีเรื่องอะไรอยากจะพูดหรือ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฝานหลิวซื่อก็แลกเปลี่ยนสายตากับซือเซียงและชุนหว่านกันครั้งหนึ่ง ทั้งสามคนคุกเข่าอย่างพร้อมเพียงกันอยู่ตรงหน้าของโจวเสาจิ่น กระซิบเสียงเบาว่า “คุณหนูรอง เมื่อวานพวกข้ากลับไปคิดๆ ดูแล้ว เรื่องที่ได้พบกับนายท่านสี่ฉือนั้น จำต้องทำเสมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ให้มันย่อยสลายอยู่ในท้อง ต่อไปไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น หรือมีผู้ใดถามขึ้นมา ก็ไม่อาจพูดออกมาได้เจ้าค่ะ…”
ขณะที่นางพูด ก็มองไปที่โจวเสาจิ่นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและคาดหวัง ราวกับต้องการให้โจวเสาจิ่นให้คำตอบหนึ่งแก่นาง นางถึงจะวางใจได้อย่างไรอย่างนั้น
โจวเสาจิ่นเข้าใจในทันใด
พวกฝานหลิวซื่อที่เป็นบ่าวรับใช้ใกล้ชิดอยู่ในเรือนชั้นในเหล่านี้ การรักษาความลับให้คนที่ให้การรับใช้ถือเป็นหนทางรักษาชีวิตที่ธรรมดาสามัญที่สุด พวกนางกลัวว่าตนจะพูดเรื่องนี้ออกไป โดยเฉพาะเอาไปเล่าให้โจวชูจิ่นผู้เป็นพี่สาวฟัง
นางย่อมต้องรักษาความลับเอาไว้อย่างแน่นอน!
ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการดึงท่านน้าฉือเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย!
อย่างไรก็ตาม หากว่าท่านน้าฉือต้องการให้นางพูดออกมา นางก็ย่อมต้องพูดออกมาเช่นกัน
แต่ในเวลานี้ ยังไม่อยากให้พวกฝานหลิวซื่อเป็นกังวลใจ
โจวเสาจิ่นโบกมือเป็นสัญญาณให้ฝานหลิวซื่อและคนอื่นๆ รีบลุกขึ้นมา พลางกล่าว “เป็นพวกเจ้าที่พิจารณาได้รอบด้าน ข้าเองก็ลืมพูดกับพวกเจ้าไป พวกเจ้าคิดได้เช่นนี้ก็ดียิ่งนัก คำพูดของท่านน้าฉือเมื่อวานนั้น คาดว่าพวกเจ้าก็ได้ยินกันแล้ว ท่านได้ช่วยพวกเราเอาไว้จากความยุ่งเหยิงในครั้งนี้ หากว่าพวกเรายังจะดึงท่านเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยตัวเองเกินไปแล้ว ส่วนเรื่องนี้ ต่อไปก็ไม่ต้องเอ่ยขึ้นมาอีก!”
เมื่อทั้งสามคนได้ยินเช่นนั้นแล้วก็โล่งอกไปเปลาะหนึ่ง จึงลุกขึ้นมาอย่างยินดี
ฝานหลิวซื่อออกไปเตรียมมื้อเช้าให้โจวเสาจิ่น ชุนหว่านไปกำกับดูแลสาวใช้นำน้ำล้างหน้าไปเททิ้งและจัดเก็บเตียงนอน ส่วนซือเซียงช่วยโจวเสาจิ่นผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ภายในห้องกลับมามีบรรยากาศคึกคักและมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
โจวชูจิ่นใช้ให้ตงหว่านมาสอบถามโจวเสาจิ่น “เมื่อวานตอนกลางคืนเกิดเพลิงไหม้ที่จวนห้า คุณหนูใหญ่ให้มาสอบถามว่าทำให้คุณหนูรองหวาดผวาหรือไม่เจ้าค่ะ”
ยามนี้โจวเสาจิ่นเพิ่งจะรู้สึกหวาดกลัวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เดิมทีเมื่อจวนสี่เห็นเปลวไฟของทางฝั่งจวนห้าเริ่มลุกลามขึ้น เรือนหานชิวก็ได้รับข่าวแล้ว ด้วยกลัวว่าจะมีคนฉวยโอกาสหาประโยชน์จากช่วงชุลมุนวุ่นวายนี้ จึงออกคำสั่งห้ามลงมาในทันที ให้คนของทุกเรือนห้ามออกจากห้อง หากมีเรื่องเร่งด่วนอะไร ต้องไปด้วยกันสองคน ไม่เช่นนั้นจะจับไปโบยสั่งสอนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย
ตระกูลเฉิงเป็นตระกูลที่สั่งสมบารมีด้วยความเมตตา ไหนเลยจะสามารถทุบตีหรือดุด่าบ่าวไพร่ได้ตามใจชอบ
ซึ่งไม่มีการออกคำสั่งห้ามเช่นนี้มานานหลายปีแล้ว
ใครก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง
ด้วยเหตุนี้พวกนางถึงได้สามารถกลับมาถึงเรือนหว่านเซียงได้อย่างเงียบเชียบ
ไม่เช่นนั้นแล้ว ด้วยความเอาใจใส่ของพี่สาวที่มีต่อนาง เมื่อเห็นว่าทางฝั่งของจวนห้าเกิดเพลิงไหม้ขึ้นก็คงจะมาหานาง และในเวลานั้นนางก็คงจะถูกจับได้เสียแล้ว
เรื่องร้ายแรงประเภทนี้ ไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถทำได้!
โจวเสาจิ่นคิดอย่างขมขื่นเล็กน้อย ยิ้มพลางให้ตงหว่านนำคำกลับไปแจ้งว่า “เมื่อคืนได้ยินเสียงแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เกิดเพลิงไหม้ที่จวนห้าแล้วมีผู้บาดเจ็บหรือไม่”
ทุกคนในเรือนหว่านเซียงต่างก็รู้ว่าโจวเสาจิ่นนั้นเป็นคนที่ไม่กังวลใจต่ออะไรผู้หนึ่ง ตงหว่านจึงไม่ได้สงสัยอะไร ยิ้มพลางกล่าวว่า “จากที่ได้ยินมาคือคุณชายใหญ่นั่วของจวนห้าชวนคนมาเล่นการพนันในจวน และทำให้ต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ ศาลาริมน้ำถูกเผาด้วยความไม่ระวัง โชคดีที่จวนสี่ของพวกเราไปทันเวลาพอดี จึงดับไฟได้ในทันที ด้วยเหตุนี้ นายท่านใหญ่ของพวกเราจึงถูกท่านผู้นำตระกูลเรียกตัวไปตั้งแต่เช้าตรู่ กล่าวกันว่าเพราะต้องการสอบถามถึงเรื่องนี้เจ้าค่ะ!”
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
โจวเสาจิ่นกลับลอบรู้สึกยินดีอยู่ในใจ
ในเมื่อคำติเตียนของเพลิงไหม้นี้ถูกกล่าวถึงว่าเป็นเพราะ ‘เฉิงนั่วชวนคนมาเล่นการพนันในจวน’ เช่นนั้นก็อาจจะกล่าวได้ว่าคำติเตียนของเฉิงอี้ก็คงจะเบาบางลงมากแล้วกระมัง?
ถ้าหากว่าในท้ายที่สุดเรื่องราวได้รับการตัดสินให้เป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นจวนสี่ก็เป็นหนี้บุญคุณท่านน้าฉือครั้งใหญ่เสียแล้ว
อย่างไรก็ตาม หวังว่าเฉิงอี้จะสามารถเรียนรู้บทเรียนบ้างสักเล็กน้อยหลังจากที่ผ่านพ้นเรื่องนี้ไปแล้ว ไม่ทำเหมือนกับว่าคำพูดของผู้อื่นเป็นเพียงลมผ่านหูเท่านั้นอีก
รอจนกระทั่งถึงเวลาไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากวน ข่าวคราวทั้งหมดจึงเปิดเผยออกมา
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนโกรธจนตัวสั่นไปทั้งร่าง
ไม่รอให้เฉิงเหมี่ยนกลับมาจากไปพบท่านผู้นำตระกูลเฉิงซวี่ที่จวนรอง ก็ให้คนไปนำตัวเฉิงอี้กลับมาจากจวนห้า
“เจ้าช่างทำให้มารดาของเจ้าเสื่อมเกียรติเสียจริง!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนให้เฉิงอี้คุกเข่าอยู่ตรงกลางลานของเรือนเจียซู่ และสั่งให้หวังมามาถือไม้เรียวอยู่ข้างๆ เพื่อถามเอาความ
“ใครใช้ให้เจ้าไปเล่นการพนัน?”
“คำสั่งสอนของตระกูลเฉิงสะกดว่าอย่างไรบ้าง?”
“เจ้ายังเป็นบุตรหลานของตระกูลเฉิงอยู่หรือไม่?”
“เจ้าเรียนหนังสือถึงชั้นไหนกันแล้ว?”
ถามหนึ่งประโยค ก็ฟาดไม้เรียวด้วยหนึ่งครั้ง
ภายใต้แสงแดด บนหลังที่เนียนขาวและบอบบางของเฉิงอี้มีรอยเขียวบ้าง ม่วงบ้าง น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ทำให้คนไม่สามารถที่จะมองตรงๆ ได้
เฉิงอี้นอนพาดอยู่บนตั่งม้านั่ง และร้องครวญราวกับสุกรที่กำลังจะถูกเชือด
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนแอบอยู่ในห้องน้ำชา เอามือกุมหน้าและร่ำไห้เบาๆ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ได้เอ่ยขอร้องแทนบุตรชายเลยแม้สักประโยค
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้มองท่านป้าใหญ่ด้วยความเคารพที่มากยิ่งขึ้น
นางก้าวออกไปโอบกอดฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเอาไว้ กล่าวปลอบโยนนางไม่หยุดว่า “หยกนั้นหากไม่ถูกขัดเกลาก็ใช้การไม่ได้ ที่ท่านยายทำเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการดีต่อพี่ชายอี้ พี่สาวได้สั่งให้คนไปเชิญท่านหมอแล้ว ส่วนหวังมามาเองก็รู้จักขอบเขต ย่อมไม่อาจเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นเจ้าค่ะ”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนพนักหน้าด้วยดวงตาที่พร่ามัวไปด้วยน้ำตา และจับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้แน่น
แต่เฉิงเหมี่ยนกลับยังไม่พึงพอใจกับการลงโทษเช่นนี้ เขาเรียกเฉิงอี้ไปตำหนิถึงในห้องหนังสือของตัวเองครั้งหนึ่ง เท่านั้นยังไม่พอ ยังให้เฉิงเก้าคอยกำกับดูแลเขาให้คัด ‘พงศาวดารฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง’ อีกสิบจบ
เฉิงอี้คร่ำครวญไม่หยุด นับจากนี้ไปคงราวกับถูกขังอยู่ในแอ่งของภูเขาเหวินซาน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเรียกเฉิงเหมี่ยนไปคุยด้วย “ทางด้านของท่านผู้นำตระกูลว่าอย่างไรบ้าง”
เมื่อเปรียบเทียบเรื่องที่เฉิงอี้อายุยังน้อยทำให้ไม่สามารถต้านทานต่อสิ่งล่อลวงจากการพนันได้แล้ว การประเมินว่าเรื่องเพลิงไหม้ในครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของเฉิงอี้อย่างไรบ้างนั้นเป็นเรื่องที่ใหญ่ยิ่งกว่า
เฉิงเหมี่ยนยิ้มพลางกล่าว “ท่านไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลใจ! ท่านผู้นำตระกูลพึงพอใจกับความระมัดระวังอย่างรอบคอบของพวกเราในครั้งนี้เป็นอย่างมาก ชื่นชมข้าว่าดูแลจวนได้เป็นอย่างดี จึงเสนอขึ้นมาว่าให้ข้าช่วยจื่อชวนดูแลจัดการเรื่องภายในตระกูล…”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วก็กระวนกระวายขึ้นมาได้ทันใด รีบกล่าวขึ้นว่า “แล้วเจ้าตอบรับไปแล้วหรือ?”
“จะเป็นไปได้อย่างไรขอรับ” เฉิงเหมี่ยนยิ้มพลางกล่าว “จื่อชวนดูแลจัดการเรื่องต่างๆ ภายในตระกูลได้ดีอยู่แล้ว รู้จักใช้คนให้เหมาะสมกับงาน แม้แต่ตัวเองก็ไม่มีอะไรให้ต้องทำ ข้าไปแล้วจะสามารถทำอะไรได้? ไปเป็นผู้ช่วยให้จื่อชวนหรือไปแข่งขันท้าทายกับจื่อชวนหรือ? ข้ายังไม่ได้เลอะเลือนขนาดนั้น ท่านแม่วางใจเถิด”
“เจ้าเข้าใจดีก็ดีแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้ยินแล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เฉิงเหมี่ยนกล่าว “ส่วนเรื่องเพลิงไหม้ก็สอบสวนกระจ่างแล้วขอรับ เป็นเพราะพวกเขาไม่กี่คนนั้นที่จุดอะไรบางอย่างโดยไม่ระวัง ต่อจากนี้ไปก็ระมัดระวังพวกเทียนต่างๆ ก็พอแล้วขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพยักหน้า
หลังจากที่โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วถึงได้สามารถวางก้อนหินที่อยู่ในใจก้อนนี้ลงได้อย่างสิ้นเชิงจริงๆ
แต่การลงโทษเกี่ยวกับเรื่องการเล่นพนันของบุตรชายของจวนห้ากลับแตกต่างจนเห็นได้ชัด
เฉิงเวิ่นเพียงตีเฉิงนั่วไปครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ปล่อยไปไม่สนใจแล้ว ครอบครัวของเฉิงจวี่ยิ่งให้ท้ายเขายิ่งกว่า ได้ฮูหยินใหญ่อวี้ผู้เป็นมารดาของเขาพามากล่าวคำขอโทษต่อผู้ดูแลจัดการเรื่องภายในตระกูลอย่างเฉิงฉือ ยังกล่าวอะไรบางอย่างทำนองว่า บิดาของเขาไม่มีหน้ามาพบท่าน จึงให้ข้านำเขามา อยากจะตีหรือจะต่อว่า ก็ให้เป็นไปตามการลงโทษของนายท่านสี่เจ้าค่ะ
กล่าวกันว่าเฉิงฉือหัวเราะไปสองสามครั้ง ต่อว่าเฉิงจวี่อย่างผิวเผินไปเพียงสองสามประโยค ก็ให้ส่งเฉิงจวี่สองแม่ลูกออกไป
เรื่องที่ท่านผู้นำตระกูลจวนรองเฉิงซวี่ต้องการตรวจสอบก็คือมีเพลิงไหม้เกิดขึ้นที่จวนห้าแต่เหตุใดถึงไม่มีคนสังเกตเห็นและดับไฟได้ทันเวลา
หลังจากที่เฉิงเวิ่นถูกเฉิงซวี่สั่งลงโทษให้คุกเข่าไปนั้นยังปวดหัวเข่าอยู่ และกำลังคิดหาเรื่องให้ฮูหยินใหญ่เวิ่นไม่มีความสุข พอเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น รวมทั้งเชื้อไฟยังเกิดขึ้นมาจากเรือนชั้นใน เฉิงเวิ่นก็ลิงโลดขึ้นมาราวกับได้กินยาชูกำลังสือเฉวียนต้าปู่หวานเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น เขาเรียกญาติพี่น้องจากบ้านเดิมของฮูหยินใหญ่เวิ่นเข้ามา ต่อว่าฮูหยินใหญ่เวิ่นว่าไร้ความสามารถในการดูแลปกครองเรือน ต้องการหย่ากับฮูหยินใหญ่เวิ่น
ที่ผ่านมาตระกูลเฉิงไม่เคยมีการหย่าภรรยามาก่อน
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง
เพียงต้องการให้ฮูหยินใหญ่เวิ่นมีเรื่องให้ต้องขายหน้าเท่านั้น
ฮูหยินใหญ่เวิ่นถูกจับจนอยู่หมัด แม้แต่คำแก้ตัวให้ตัวเองสักประโยคก็ไม่มี หยวนซื่อจากจวนหลักนั้นมีสถานะที่มั่นคง ที่ผ่านมาก็จึงไม่สุงสิงกับบรรดาสะใภ้เหล่านี้สักเท่าไหร่ ฮูหยินใหญ่หงจากจวนรองก็เป็นคนเงียบขรึม ส่วนฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจากจวนสี่ก็เป็นคนที่ประนีประนอมผู้หนึ่ง นางจึงลากเจียงซื่อไปสะอื้นไห้ด้วย ทำให้เจียงซื่อรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่อาจละเลยได้ ตลอดทั้งซอยจิ่วหรูจึงค่อนข้างมีบรรยากาศวุ่นวายราวกับไก่ที่บินกันว่อนและสุนัขที่กระโดดโลดเต้น
การทะเลาะวิวาทกันของผู้ใหญ่ในสายตาของเด็กๆ แล้วก็เหมือนกับละครใหญ่ฉากหนึ่ง
เฉิงเจียที่กำลังดื่มน้ำบ๊วยเย็นอยู่นั้นก็กระซิบที่ข้างหูของโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าว่า ท่านอาเวิ่นห้าจะใช้โอกาสนี้พูดถึงเรื่องให้รับตัวภรรยาน้อยผู้นั้นกลับมาหรือไม่”
โจวเสาจิ่นยังไม่ทันได้กล่าวอะไร พานชิงก็พูดขึ้นมาก่อนอย่างเคร่งขรึมว่า “ถ้าหากว่าเขาพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกในเวลานี้ เช่นนั้นสมองของเขาก็คงจะใช้การไม่ได้แล้วจริงๆ ต่อให้ภายในตระกูลจะอนุญาตให้เขาหย่ากับฮูหยินใหญ่เวิ่น แต่ก็ไม่อาจยอมให้เขารับภรรยาน้อยผู้นั้นกลับมาได้ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับกฎระเบียบภายในตระกูล หากทำลายแล้วซึ่งความเป็นผู้อาวุโสและผู้น้อย ต่อไปก็จะวุ่นวายจนเป็นปัญหาได้”
เฉิงเจียไม่พอใจการสอดแทรกขึ้นมาของพานชิงเป็นอย่างมาก บุ้ยปากกล่าวขึ้นว่า “เจ้าก็รู้อีกแล้วหรือ!”
พานชิงไม่ใส่ใจนาง ก้มหน้าฝึกคัดลายมืออย่างเงียบๆ
เฉิงเจียถามโจวเสาจิ่น “หากว่าเจ้าเป็นท่านอาสะใภ้เวิ่นห้า เจ้าจะทำอย่างไร”
“ข้า” โจวเสาจิ่นตะลึงงันไปครู่หนึ่ง กล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้าคงจะไม่เดินไปจนถึงจุดนี้หรอกกระมัง? หากว่าผู้ชายชื่นชอบ ก็ให้เขารับเข้ามาก็พอ ทะเลาะกันไปมาเช่นนี้ จะมีประโยชน์อะไร?”
หากว่ารับไม่ได้จริงๆ นางก็แค่ไปอาศัยอยู่ที่บ้านสวนเสียก็พอแล้ว
ไม่ใช่ว่านางไม่เคยอยู่มาก่อน
เฉิงเจียไม่เห็นด้วยกับคำตอบของโจวเสาจิ่น แต่พอครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว โจวเสาจิ่นก็เป็นคนเช่นนี้จริงๆ
นางกระซิบเสียงเบาที่ข้างหูโจวเสาจิ่นว่า “ท่านแม่ของข้าบอกว่า หากเผชิญกับเรื่องเช่นนี้ ให้ดีที่สุดคืออย่าทะเลาะและอย่าโวยวาย ให้จัดหาคนที่งดงามและน่าหลงใหลยิ่งกว่าภรรยาน้อยผู้นั้นมาให้ท่านอาเวิ่นห้าสักสองสามคน หากว่ายังคงไม่สามารถกำจัดความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายได้ เช่นนั้นก็ให้รับคนเข้ามา ดังที่เขาว่า อยู่ไกลนั้นหอมหวาน อยู่ใกล้นั้นเหม็นเบื่อ กลัวว่าจะไม่มีวิธีจัดการกับคนเสียมากกว่า ทะเลาะกันโหวกเหวกเช่นนี้ มีแต่ทำให้ตัวเองเสียหน้าจนหน้าแห้งหมดแล้ว”
เรื่องเช่นนี้ ไม่เจอด้วยตัวเอง ใครก็ไม่กล้าพูดได้ว่าตนเองจะสามารถจัดการได้เป็นอย่างดี
โจวเสาจิ่นทำเพียงพยักหน้า
พานชิงที่อยู่ข้างๆ เหลือบมองมาด้วยสายตารังเกียจสายหนึ่ง
เฉิงอี้กลับไม่พอใจอีกเรื่องหนึ่ง
เขาเดินกระเผลกๆ มาหาโจวเสาจิ่น “ข้าถามมาแล้ว ความจริงพวกข้าไม่ได้เป็นคนจุดไฟนั้น แต่ตอนที่เกิดเพลิงไหม้จวนห้ากลับไม่มีคนมาดับไฟ ฉินเหมี่ยนผู้นั้นราวกับเทพเจ้าหน้าดำอย่างไรอย่างนั้น สอบถามเพียงไม่กี่ประโยค ก็ไม่รู้ว่าอย่างไร ก็กลายเป็นว่าพวกข้าเป็นคนจุดไฟ…เจ้าว่าอยุติธรรมหรือไม่”
เฉิงอี้นอนพาดอยู่บนตั่งทางปีกตะวันตกในห้องหนังสือของโจวเสาจิ่น และดึงพู่กันขนพังพอนของโจวเสาจิ่นไปด้วยราวกับเป็นที่ระบาย
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วดวงตากลับเป็นประกายวาว กล่าวขึ้นว่า “ฉินเหมี่ยน? ผู้ใดกัน? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“อ้อ!” เฉิงอี้กล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “เป็นหลานของพ่อบ้านใหญ่ฉิน รับใช้อยู่ข้างกายท่านน้าฉือมาตั้งแต่เด็ก ต่อมาเมื่อท่านน้าฉือมาดูแลจัดการเรื่องภายในตระกูล เขาก็เริ่มติดตามมาเป็นผู้ดูแลเรื่องต่างๆ ภายในจวนด้วย…ก็เป็นครั้งแรกของข้าที่ได้พบกับเขาเช่นกัน…คิดไม่ถึงว่าคนข้างกายของท่านน้าฉือจะมีแต่คนเก่งกาจเช่นนี้! อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องนี้ พวกเขาอยุติธรรมกับพวกข้าจริงๆ…”
โจวเสาจิ่นไม่ได้สนใจอีกต่อไปว่าเขาพูดอะไรหลังจากนั้นอีกบ้าง
พอนางทราบว่าพ่อบ้านฉินเป็นคนของเฉิงฉือ เฉิงฉือจะไม่มีปัญหาอะไร แค่นี้ก็พอแล้ว
แต่…ฉินเหมี่ยนผู้นั้นจะเป็นคนเช่นไรนะ?
………………………………………………………………………………