ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 68 เดือดดาล

โจวเสาจิ่นเรียกฝานฉีเข้ามา สั่งการเขาว่า “ต่อไปนี้ให้เจ้าไปเยี่ยมอวี๋มามาทุก ๆ สองถึงสามวัน ตอนที่ไปก็อาจจะซื้อผลสาลี่เอย พุทธาจีนเอยไปด้วยสักหน่อย ไปพูดคุยเป็นเพื่อนนาง หากมีคนถามขึ้นมา เจ้าก็บอกไปว่าเป็นข้าที่สำนึกในความเมตตาของมารดา จึงต้องการเลี้ยงดูอวี๋มามา!”

 

 

ฝานฉีไม่เข้าใจ เอ่ยถามขึ้นว่า “ทุกวันนี้นางก็ได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในจวนตระกูลโจวอยู่แล้ว ทำไมคุณหนูรองยังต้องทำอีกหรือขอรับ หรือว่าอยากจะให้รางวัลเป็นบ้านอีกหลัง แล้วจ้างบ่าวไปรับใช้นางอย่างนั้นหรือ นางนั้นคุ้นเคยกับการทำงานอยู่ข้างนอกลานบ้าน หากถูกคนยกย่องให้เป็นฮูหยินผู้เฒ่า เกรงว่าจะไม่มีคนพูดด้วยสักคน ไม่สู้ให้เป็นเหมือนกับตอนนี้ยังจะดีเสียกว่า ทุกคนต่างเคารพนางทั้งต่อหน้าและลับหลัง นางอยากทำอะไรก็ทำ ไม่อยากทำก็สามารถพักผ่อนได้ตามใจ”

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “แล้วเจ้าเคยได้ยินเรื่องเล่า ‘ซื้อกระดูกด้วยทองพันชิ้น’ หรือไม่”

 

 

ฝานฉีส่ายศีรษะ

 

 

โจวเสาจิ่นกลั้นยิ้มพลางกล่าว “กลับไปก็ไปหาคนมาถามดูด้วยตัวเองก็แล้วกัน! แต่เรื่องที่ข้าสั่ง เจ้าต้องไปทำให้ข้าก็พอ ไม่อย่างนั้นระวังเถอะข้าจะบอกแม่ของเจ้า” จากนั้นก็หยิบเงินออกมาอีกสองเส้น “นี่สำหรับให้เจ้าเอาไว้ใช้ซื้อของ ถ้าหมดแล้วก็ค่อยบอกข้าอีกที”

 

 

สิ่งที่คุณหนูรองกล่าวมานั้นเขาฟังแล้วไม่เข้าใจเลย

 

 

ฝานฉีก้มศีรษะลงออกจากประตูไป

 

 

ขณะที่มุ่งหน้าไปนั้นก็ได้พบกับซือเซียง

 

 

ฝานฉีกลอกตาไปมาไม่หยุด ดึงซือเซียงไปในที่ลับตาคน แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “พี่ซือเซียง ท่านรู้จักเรื่องเล่า ‘ซื้อกระดูกด้วยทองพันชิ้น’ หรือไม่”

 

 

“รู้” ซือเซียงไม่รู้วัตถุประสงค์ของฝานฉี เล่าเรื่องตามที่อยู่ในหนังสือให้ฝานฉีฟัง

 

 

ตอนนี้ฝานฉีถึงได้เข้าใจเรื่องราว

 

 

ที่แท้คุณหนูรองต้องการใช้อวี๋มามาเป็นตัวเบิกทาง เพื่อดึงคนที่เคยรับใช้มารดาของนางมาก่อนออกมา…แต่ดึงออกมาเพื่ออะไรกันล่ะ? เพื่อเลี้ยงดู? เพื่อให้ความช่วยเหลือ?

 

 

ฝานฉีก็ไม่เข้าใจแล้ว

 

 

แต่เขายังคงถือลูกสาลี่สองสามลูกและพุทราจีนอีกครึ่งจิน ไปยังจวนตระกูลโจวที่ถนนผิงเฉียวอย่างเป็นการเป็นงาน

 

 

เฉิงเจียมาหาโจวเสาจิ่นด้วยอารมณ์เดือดดาล ไล่บ่าวรับใช้ของโจวเสาจิ่นให้ออกจากห้องไปทั้งหมดราวกับเป็นเรือนของตัวเอง

 

 

“ช่างไร้ยางอายจริง ๆ!” เมื่อเห็นว่าในห้องไม่มีคนแล้ว นางก็แสดงอาการขยะแขยงออกมาในทันที “เจ้ารู้หรือไม่ พานชิง นางถึงกับแล่นไปเดินเล่นถึงทะเลสาบชิงซี และได้พบกับพี่ชายสวี่ด้วยความบังเอิญมาก ทั้งยังพูดคุยหยอกล้อกับพี่ชายสวี่อย่างสนุกสนาน พูดอะไรทำนองว่านับถือพี่ชายสวี่เรื่องการเรียนและการวางตัว อยากจะขอคำแนะนำเกี่ยวกับการดีดพิณจากพี่ชายสวี่…เจ้าไม่ได้เห็น ท่าทางอ่อนหวานเช่นนั้นของนาง แบบนี้…” นางแสดงสีหน้ารักใคร่หนึ่งออกมา “ช่างน่าคลื่นไส้จริง ๆ…ข้ารู้ว่านางนั้นไร้ยางอาย แต่ก็คิดไม่ถึงว่านางจะไร้ยางอายได้มากขนาดนี้! โชคดีที่พี่ชายสวี่ ยังคงยิ้มน้อย ๆ กับนางอย่างมีสุภาพ และพูดคุยกับนางอย่างนุ่มนวล…ข้าเกือบจะสำลอกทุกอย่างที่กินเข้าไปเมื่อคืนออกมาแล้ว…ที่ผ่านมานางไม่เคยแสดงอาการอ่อนโยนขนาดนี้ต่อหน้าพวกเรามาก่อน…”

 

 

โจวเสาจิ่นตะลึงงัน กล่าว “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร”

 

 

เฉิงเจียที่กำลังพ่นคำพูดออกมาไม่หยุดนั้นพลันชะงักลง อึกอักอยู่ครู่ใหญ่ ถึงได้พึมพำกล่าวขึ้นมาว่า “ข้า..ข้าให้คนสะกดรอยตามนาง…” พอคำพูดออกจากปากแล้ว นางก็รู้สึกว่าตนเองแสดงออกมาอย่างขาดความมั่นใจเกินไป ทันใดนั้นก็ยืดหลังให้ตรงขึ้น และพูดห้วน ๆ เสียงดังว่า “นี่ก็โทษข้าไม่ได้หรอกนะ! ใครใช้ให้นางแสดงออกไม่เหมือนกันเช่นนี้ กับข้ามักจะเสแสร้งแกล้งทำ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะต้องเปิดโปงใบหน้าที่แท้จริงของนางออกมา…เพื่อไม่ให้ท่านแม่ของข้ายกเอานางมาสั่งสอนข้าทุกครั้งที่พบหน้าข้า…”

 

 

เฉิงเจียเหมือนกับเด็กคนหนึ่งก็ไม่ปาน

 

 

ทว่าโจวเสาจิ่นกลับหัวเราะไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

ถ้าหากไม่มีเฉิงเจีย นางก็อาจจะยังไม่รู้ว่าเพื่อให้ได้แต่งกับเฉิงสวี่แล้ว พานชิงจะวางตัวได้ต่ำขนาดนี้

 

 

แต่นี่ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องของพานชิงเอง

 

 

นางไม่ควรใช้โจวชูจิ่นผู้เป็นพี่สาวมาช่วยสร้างชื่อเสียงให้นาง

 

 

โจวเสาจิ่นนึกถึงบทสนทนาของสาวบ่าวรับใช้พวกนั้น

 

 

พี่สาวคือผู้ที่ใกล้จะออกเรือนอยู่แล้ว เพื่อความเห็นแก่ตัวของตนเองแล้ว พวกนางกลับลากนางเข้าไปอยู่ในวังวนแห่งปัญหา

 

 

โจวเสาจิ่นแสยะยิ้มอยู่ในใจ เอ่ยถามเฉิงเจียว่า “นอกจากเจ้าแล้ว มีใครรู้เรื่องนี้อีกบ้าง”

 

 

โจวเสาจิ่นไม่ได้ยกเอาเหตุผลหรือคำพูดที่จริงจังมาอบรมสั่งสอนนางเหมือนกับอาจารย์แก่ ๆ เฉิงเจียพลันรู้สึกอิ่มเอมใจ แต่ก็ไม่วายกลอกตาให้นางครั้งหนึ่ง กล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้าคิดว่าข้าโง่หรืออย่างไร! ไม่ใช่ว่าข้าดีกับเจ้าที่สุดหรอกหรือ นอกจากเจ้าแล้ว ข้าก็ไม่ได้บอกใครเลย” พูดจบ นางก็กล่าวขึ้นอย่างเป็นกังวลอีกว่า “แต่ว่าควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี ปล่อยให้นางทำอย่างนี้ต่อไปอย่างนั้นหรือ ถ้าหากถูกคนอื่นพบเห็นเข้า ไม่ใช่ว่าต้องอับอายขายหน้าผู้คนแย่เลยหรือ! ทำไมข้าถึงได้ดวงซวยขนาดนี้ ต้องมาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพานชิง!”

 

 

โจวเสาจิ่นมองเฉิงเจียที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวนั้นแล้ว ในใจก็พลันเกิดความเศร้าสายหนึ่งขึ้นมา

 

 

ทะเลสาบชิงซีนั้นตั้งอยู่ที่ลานด้านหลังของซอยจิ่วหรู สร้างอยู่ติดกับสวนดอกไม้ของตระกูลเฉิง ด้านตะวันตกคือจวนหลัก ด้านตะวันออกคือจวนรอง หากคนจากจวนสามอยากจะไปเดินเล่นที่นั่น ก็ต้องเดินผ่านจวนรองก่อน…

 

 

ถ้าหากไม่มีใครช่วยเหลือพานชิง พานชิงจะสามารถไปเดินเล่นยังสถานที่ที่ไกลขนาดนั้นได้อย่างไร นอกจากนี้จะได้พบกับเฉิงสวี่โดยบังเอิญขนาดนั้นได้อย่างไร

 

 

เฉิงเจียนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง

 

 

เรื่องที่ทำให้นางได้รับความเสื่อมเสียในครั้งนั้น นางจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดได้จริง ๆ หรือ

 

 

โจวเสาจิ่นเอ่ยถามเฉิงเจียเสียงเข้มว่า “วันนั้นตอนที่อยู่ที่ศาลาอี้ชุ่ยนั้น ทำไมพี่ชายเจิ้งถึงไม่หยุดยั้งการประลองพิณของพวกเขา?”

 

 

“เจ้ายังจะพูดอีก” เฉิงเจียไม่ได้รับรู้ถึงอารมณ์ของโจวเสาจิ่น นางกล่าวขึ้นอย่างขุ่นเคืองว่า “วันนั้นเจ้าหนีไปคนเดียว ทิ้งให้ข้าอยู่ที่นั่นอย่างโง่งม ข้าจะนั่งก็ไม่ใช่ จะยืนก็ไม่ใช่ พอกลับไปก็เลยด่าไปพี่ชายใหญ่ของข้าไปชุดหนึ่ง เขาบอกว่าเป็นเพราะพี่ชายสืออนุญาตแล้ว ก็เลยไม่เหมาะที่เขาจะไปห้ามปราม อย่างไรเสีย พี่ชายสือก็เป็นพี่ชายคนโตที่สุด!”

 

 

จริงหรือ?

 

 

ถ้าเฉิงเจิ้งคัดค้าน เฉิงสือจะยอมให้เรื่องที่ไม่สลักสำคัญอย่างเช่นเรื่องนี้ทำให้ลูกพี่ลูกน้องต้องอับอายเลยอย่างนั้นหรือ

 

 

ที่ผ่านมามีเรื่องมากมายที่สิ่งที่มองเห็นกับสิ่งที่มันเป็นจริง ๆ นั้นแตกต่างกัน

 

 

ก็เหมือนกับเฉิงเจีย ตนเองนั้นคิดมาตลอดว่านางคือบุตรสาวที่โชคดีมาก มีบิดามารดาที่ถนอมนางเอาไว้ในอุ้งมือ มีท่านปู่ท่านย่าที่คอยตามใจนาง มีพี่ชายที่ดูแลนางทุกอย่าง…

 

 

แต่ในความเป็นจริงแล้ว นางกลับถูกแต่งงานออกไปอยู่อย่างห่างไกล

 

 

ขณะที่โจวเสาจิ่นมองเฉิงเจียนั้น ก็ราวกับว่าได้มองเห็นตนเองในชาติก่อน

 

 

เพียงแต่ว่าเฉิงเจียนั้นจนกระทั่งเสียชีวิตก็ไม่มีโอกาสได้รับรู้ความจริง แต่นางนั้นโชคดีที่ได้รับความเมตตาขององค์พระโพธิสัตว์ ได้กลับมามีชีวิตใหม่!

 

 

นางเอ่ยถามเฉิงเจีย “เจ้าอยากให้พานชิงกลับไปเร็วหน่อยหรือไม่”

 

 

เฉิงเจียมองโจวเสาจิ่นอย่างรีรอ

 

 

นางไม่เคยเห็นโจวเสาจิ่นเป็นเช่นนี้มาก่อน นางที่น้ำเสียงทุ้มต่ำ แววตาเอาจริงเอาจัง และการแสดงออกที่เคร่งขรึมเป็นอย่างมาก

 

 

“เจ้า..เจ้าจะทำอะไรหรือ” เฉิงเจียรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย กล่าวอย่างติด ๆ ขัด ๆ ว่า “ข้าเองก็เกลียดนางเป็นที่สุด แต่ก็ไม่อาจให้นางต้องขายหน้าจริง ๆ ได้…ไม่อย่างนั้นท่านย่าของข้าต้องเสียใจมากเป็นแน่…”

 

 

การมองเห็นของโจวเสาจิ่นพร่ามัวขึ้นมาโดยพลัน

 

 

ท้ายที่สุดแล้วเฉิงเจียก็คำนึงถึงประโยชน์ของคนในครอบครัว…

 

 

“เจ้าพูดราวกับว่าข้าจะไปฆ่าและจุดไฟเผาคนอย่างไรอย่างนั้น” นางกล่าวยิ้ม ๆ “เพียงอยากให้พานชิงอับอายครั้งหนึ่งเท่านั้น ให้นางอย่าได้ทะนงตนขนาดนี้ในอนาคตอีก”

 

 

“ไอโหยว!” เฉิงเจียตบหน้าอก “เจ้าทำให้ข้ากลัวแทบตาย เพียงให้นางอับอายเท่านั้น เช่นนั้นย่อมได้!”

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าว “แต่ว่า เจ้าต้องช่วยข้าทำอะไรบางอย่าง”

 

 

เฉิงเจียรีบกล่าว “เจ้าว่ามาๆ”

 

 

“เจ้าต้องช่วยข้าไปสืบให้แน่ชัดว่าใครที่เป็นผู้เสนอให้ไปประลองพิณที่ศาลาอี้ชุ่ย” โจวเสาจิ่นกล่าว

 

 

“ทำไมหรือ” เฉิงเจียผิดหวังยิ่งนัก

 

 

“ข้าต้องรู้เหตุและผลก่อน ถึงจะสามารถคิดหาทางแก้ไขได้ไม่ใช่หรือ” โจวเสาจิ่นอยากรู้จุดยืนของเฉิงสือในเรื่องนี้

 

 

แต่ไม่ว่าจะเป็นเฉิงสือก็ดี เฉิงเจิ้งก็ดี หรือจวนสามก็ดี ณ ตอนนี้นางล้วนไม่มีวิธีเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยได้

 

 

เฉิงเจียเห็นด้วยในทันที ขยิบตาถามนางว่า “เจ้ามีความคิดดี ๆ อะไรบ้าง เล่าให้ข้าฟังหน่อย!”

 

 

โจวเสาจิ่นยังไม่ได้คิดถึงมันในตอนนี้ นางจึงเพียงตั้งข้อสันนิษฐานอย่างคร่าว ๆ ช่วงวันเกิดของท่านยาย อาจจะเป็นโอกาสที่ดีอันหนึ่ง

 

 

“รอให้เจ้าไปสืบให้แน่ชัดเสียก่อนว่าใครที่เป็นผู้เสนอให้ไปประลองพิณที่ศาลาอี้ชุ่ย จากนั้นพวกเราค่อยมาคุยรายละเอียดกัน”

 

 

เฉิงเจียนั้นสะเพร่ายิ่งกว่าโจวเสาจิ่น

 

 

นางเพียงคิดคร่าว ๆ ว่าเมื่อถึงเวลานั้นก็เพียงทำให้พานชิงอับอายก็พอแล้ว เรื่องที่ว่าต้องทำอะไรก่อนหน้า หรือหลังจากนี้จะมีผลตามมาอย่างไรนั้น ทั้งหมดล้วนไม่เกี่ยวข้องกับนาง

 

 

ก็เหมือนกับโจวเสาจิ่นที่ไปวางเพลิงที่จวนห้า

 

 

นางกับโจวเสาจิ่นพูดคุยกันกว่าครึ่งค่อนวัน ย้ำให้โจวเสาจิ่นรับปากครั้งแล้วครั้งเล่าว่าจะไม่เอาเรื่องของพานชิงไปเล่าให้คนอื่นฟัง ถึงได้ออกจากเรือนหว่านเซียงไปอย่างพึงพอใจ

 

 

โจวชูจิ่นกลับกลัวว่าโจวเสาจิ่นกับเฉิงเจียจะไปสร้างปัญหาอะไรอีก จึงกล่าวว่า “ในงานวันเกิดของท่านยายนั้น จะมีคนมาอวยพรมากมาย ถึงแม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับงานของผู้อาวุโสจากจวนหลักและจวนรอง แต่ทั้งหมดต่างก็เป็นญาติสนิทของจวนสี่ ที่เห็นเจ้าและข้าเติบโตมา ช่วงนี้เจ้าก็อย่าวิ่งไปทั่วทุกที่ ระวังจะโดนแดดเผา คนอื่นเห็นแล้วจะคิดว่าเจ้านั้นนิสัยดื้อรั้น รอให้ผ่านวันเกิดของท่านยายไปก่อน จากนั้นเจ้าอยากไปเที่ยวเล่นที่ไหนก็ไปได้ทุกที่”

 

 

ไม่ว่าตอนไหนพี่สาวก็ล้วนเป็นกังวลใจแทนนางเสมอ!

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าจากนิสัยและการกระทำของพี่สาวในชาติก่อน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้เกี่ยวกับความนึกคิดของจวนสาม

 

 

นางเล่าเรื่องของพานชิงให้พี่สาวฟัง

 

 

เป็นไปตามที่คาด โจวชูจิ่นไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ นางเพียงไม่กล่าวอะไรอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นย้ำเตือนโจวเสาจิ่นว่า “เรื่องนี้เจ้ารู้เอาไว้ก็พอ ต่อไปก็ไปมาหาสู่กับทางจวนสามให้น้อยลง พี่สาวเองก็ไม่ได้เสียใจอะไร เป็นเจ้าที่วันนั้นโชคดียิ่งนัก ถูกคนเรียกออกไป ไม่เช่นนั้นหากรั้งอยู่ที่นั่น เฉิงเจียมีพี่ชายเจิ้งคอยปกป้อง ข้า…กลัวแต่ว่าจะปกป้องเจ้าไม่ได้”

 

 

โจวเสาจิ่นกอดพี่สาวเอาไว้แน่น

 

 

หลังจากที่นางฟังคำพูดของพี่สาวแล้ว นอกจากไปเรียนหนังสือที่ห้องศึกษาจิ้งอันและไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานแล้ว ก็เพียงอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากวนหรือไม่ก็ทำงานเย็บปักอยู่ในห้องเท่านั้น

 

 

ระหว่างนั้นเฉิงเจียให้ชุ่ยหวนมารายงานนางว่า “กูไท่ไท่ กล่าวว่า คุณชายใหญ่จ้าวมีตำแหน่งแล้ว จึงไม่ใช่เด็กผู้หนึ่งเช่นเมื่อก่อนอีกต่อไป ควรจะมีสหายสนิทเป็นของตัวเอง นอกจากจัดงานเลี้ยงที่ศาลาฝูหรงแล้ว ยังจัดงานเลี้ยงที่ศาลาทิงอวี่ของจวนชั้นนอก โดยเชิญคุณชายใหญ่สือ คุณชายใหญ่เจิ้งและคนอื่น ๆ ไปร่วมงาน เป็นคุณชายใหญ่เจิ้งของพวกข้ากล่าวว่า เนื่องจากทุกคนต่างมาแสดงความยินดีแก่คุณชายใหญ่จ้าว จึงควรใช้น้ำชาแทนเหล้า ใช้พิณสร้างมิตรสหาย จัดงานน้ำชาขึ้นมางานหนึ่ง คุณชายใหญ่สือนั้นชื่นชอบกิจกรรมเหล่านี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จึงตอบรับในทันที จากนั้นทุกคนจึงปรึกษากัน และกำหนดให้ศาลาอี้ชุ่ยเป็นสถานที่จัดงานเจ้าค่ะ…”

 

 

คนหนึ่งก็สร้างปัญหาตามใจชอบ อีกคนหนึ่งก็คอยกระพือคลื่นให้โหมกระพือยิ่งขึ้น…

 

 

โจวเสาจิ่นนึกถึงความสัมพันธ์อันเปราะบางระหว่างเฉิงสือและเฉิงเจิ้งหลังจากที่นางออกจากตระกูลเฉิงไปแล้ว

 

 

ถ้าบอกว่าเฉิงสือไม่รู้เจตนาของเฉิงเจิ้ง ไม่รู้แผนการของจวนสามล่ะก็…นางยอมไปกระโดดทะเลสาบโม่โฉว

 

 

ไม่แน่ว่า ในชาติก่อนพวกเขาก็อาจจะร่วมมือกันเช่นนี้และผลักนางลงไปในหุบเหวแห่งขุมนรกก็เป็นได้!

 

 

โจวเสาจิ่นเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง

 

 

ฝานฉีมาบอกนางว่า “คุณหนูรอง มีขอทานชราผู้หนึ่ง บอกว่าเมื่อก่อนเคยขับรถม้าให้นายท่านผู้เฒ่าจวงมาก่อน…เขายืนยันว่าต้องการพบท่านสักครั้งให้ได้…ข้าฟังเขาแล้วเขาอธิบายเรื่องราวได้ละเอียดนักขอรับ…” เขามองโจวเสาจิ่นอย่างระมัดระวัง “ท่านคิดว่า ท่านจะพบเขาหรือไม่ขอรับ”

 

 

ไม่ทันไรก็มีข่าวคราวมารวดเร็วขนาดนี้แล้ว!

 

 

โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “พบ ทำไมจะไม่พบเล่า! ตอนนี้คนผู้นั้นอยู่ที่ไหนหรือ”

 

 

ฝานฉีกล่าว “ข้ากลัวว่าคนผู้นี้จะเป็นเพียงนักต้มตุ๋นผู้หนึ่ง ไม่กล้านำเขาเข้ามา จึงพาไปให้พ่อบ้านหม่า พ่อบ้านหม่าจัดการให้เขาพักอยู่ในโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ แห่งหนึ่งบนถนนผิงเฉียว เลี้ยงดูด้วยอาหารการกินเป็นอย่างดีขอรับ…”

 

 

นี่นับว่าเป็นข่าวดีข่าวหนึ่งจริง ๆ

 

 

โจวเสาจิ่นเผยร้อยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมานานแล้วออกมา

 

 

………………………………………………………………….

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset