โจวชูจิ่นพยักหน้าพลางยิ้มร่า กอดแขนโจวเสาจิ่นเอาไว้ด้วยความภาคภูมิใจ น้อยครั้งนักที่จะถามฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอย่างหยอกเย้าว่า “งดงามหรือไม่เจ้าคะ”
“งดงามยิ่งๆ!” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนมองดูเด็กสาวสองคนที่อยู่เบื้องหน้าราวไข่มุกแวววาวและหยาดน้ำค้างอรุณ เผยรอยยิ้มปลาบปลื้มใจออกมาให้เห็นอย่างอดไม่ได้ “จริงดังที่กล่าวว่าหญิงสาวนั้นยิ่งเติบโตก็ยิ่งเปลี่ยนแปลง ชูจิ่นกับเสาจิ่นของพวกเรายิ่งโตก็ยิ่งงดงาม!”
โจวชูจิ่นถามถึงเสื้อผ้า ทว่าฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกลับพูดชมพวกนางแทน โจวชูจิ่นกับโจวเสาจิ่นจึงได้แต่ยิ้มอย่างเขินอาย
หวังมามาเลิกผ้าม่านขึ้น ยิ้มพลางกวักมือเรียกพวกเขา เอ่ยขึ้นว่า “นายหญิงผู้เฒ่าได้ยินเสียงคุยกันเจื้อยแจ้ว จึงเชิญฮูหยิน คุณหนู และคุณชายทั้งสองท่านเข้าไปคุยเจ้าค่ะ”
เนื่องจากเป็นหญิงหม้าย ทั้งยังมีผู้อาวุโสอยู่ด้วย ถึงแม้จะเป็นงานเลี้ยงฉลองวันเกิด แต่ก็ค่อนข้างเรียบง่าย ฮูหยินผู้เฒ่ากวนสวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหางโจวสีน้ำเงินไพลินลายแจกันทรงน้ำเต้า ผมสีดอกเลาราวเส้นไหมเงินถูกเกล้าขึ้นเป็นมวยกลม ปักเอาไว้ด้วยปิ่นเงินฝังหยกมงคล นั่งอยู่บนตั่งหลัวฮั่นในห้องเยี่ยนซีอย่างยิ้มแย้ม มีสาวใช้สองคนคอยโบกพัดอยู่ข้างๆ
เมื่อเห็นบุตรสะใภ้ หลานชายและหลานสาว รอยยิ้มของฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็ยิ่งเบิกบาน รีบถามพวกเขาว่ารับมื้อเช้ามาแล้วหรือยัง เมื่อทราบแล้วว่าพวกเขาต่างก็รับมื้อเช้ากันแล้ว จึงเรียกสาวใช้ให้นำผลไม้มาขึ้นโต๊ะสักเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “วันเกิดของข้านี้ไม่ดีสักเท่าใด อยู่ในช่วงฤดูร้อน ทำให้พวกเจ้าต้องพลอยลำบากไปด้วย ไม่เหมือนกับฮูหยินผู้เฒ่าของจวนหลัก ที่อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ทั้งสามารถชมดอกไม้และยังได้ทานปูด้วย”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนรีบกล่าวแย้งขึ้นว่า “ดูท่านพูดสิเจ้าคะ วันเกิดนั้นถือเป็นดวงชะตาของคนๆ หนึ่ง ท่านดูสิว่านายท่านทั้งสองกตัญญูรู้คุณมากเพียงใด ข้าคิดว่าวันเกิดของท่านถือเป็นวันดีเจ้าค่ะ”
นายท่านรองเฉิงหยวนกำลังอยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ตามตำแหน่ง แต่ก็ได้ส่งของขวัญวันเกิดมาให้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ในจำนวนนั้นเป็นโอสถสมุนไพรบำรุงร่างกายเสียเป็นส่วนใหญ่ และยังมีเสื้อผ้า ถุงเท้า รองเท้าที่ฮูหยินรองหยวนตัดเย็บด้วยตนเองอยู่ด้วยเป็นบางส่วน สำหรับเฉิงเหมี่ยนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนั้นยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเลย เสาะหาทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งโมราชิ้นหนึ่ง สำหรับแกะสลักเป็นรูปองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมเพื่อมอบให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวน
ลูกๆ ต่างก็กตัญญูรู้คุณ ด้วยประการฉะนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจึงเห็นพ้องด้วย
นางพยักหน้าหงึกๆ พร้อมกับยิ้มจนตาหยี
ฮูหยินจากบ้านสวนสองสามท่านเดินเข้ามาจากทางด้านห้องรับรองแขก
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนและแขกคนอื่นๆ จึงย้ายไปนั่งในโถงนั่งเล่น
นั่งลงได้ครู่เดียว ตระกูลที่มีความสัมพันธ์อันดีกับจวนสี่หลายตระกูลก็เดินทางมาถึง
ผู้คนหลั่งไหลกันมาไม่ขาดสาย
ทั้งโจวชูจิ่นเละโจวเสาจิ่นต่างก็ช่วยฮูหยินใหญ่เหมี่ยนต้อนรับแขก
ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจัดงานเลี้ยงวันเกิดในกาลก่อนนั้น โจวเสาจิ่นล้วนอยู่แต่ในเรือนหว่านเซียง รอจนกระทั่งเริ่มกล่าวอวยพรถึงได้มาเข้าร่วมด้วย ปีนี้นางติดตามอยู่ด้านหลังของพี่สาว คอยดูพวกสาวใช้นำน้ำชาและของว่างต่างๆ มาขึ้นโต๊ะอยู่ตลอด จนมีคนถามว่านางเป็นใครขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนดันนางออกมาอยู่ต่อหน้าแขกอย่างยิ้มแย้ม และแนะนำนางให้แขกรู้จัก
เมื่อผู้คนเห็นโจวเสาจิ่นแล้วต่างก็ชมว่านางงดงาม แขกที่เตรียมของขวัญเอาไว้ก็มอบของขวัญการพบหน้ากันให้แก่นาง ส่วนแขกที่ไม่ได้เตรียมมาก็จับมือนางแล้วชวนคุยถึงเรื่องสัพเพเหระ มีบางคนสังเกตเห็นชุดของโจวชูจิ่น กล่าวชมว่าชุดของนางนั้นงดงามยิ่ง และสอบถามว่าใครเป็นคนเย็บปักให้ โจวชูจิ่นรีบดันโจวเสาจิ่นออกมาข้างหน้าโดยไม่ต้องคิด นางจึงได้รับเสียงชมเชยอีกครั้ง มีบางคนถามนางว่าเอาแบบดอกไม้มาจากที่ไหน และมีบางคนที่กระซิบถามว่าโจวเสาจิ่นอายุเท่าไหร่ พูดคุยเรื่องหมั้นหมายบ้างแล้วหรือยัง
ชั่วขณะหนึ่งนั้นโจวเสาจิ่นจึงยุ่งจนหัวหมุนไปเล็กน้อย
ต่งซื่อมารดาของเฉิงลู่กับฮูหยินใหญ่อวี้มารดาของเฉิงจวี่ก็เดินเข้ามา
ต่งซื่อลดความสนิทสนมชิดใกล้ที่มีอยู่ก่อนหน้าลง และดูเหนียมอายเล็กน้อยขณะที่ก้าวออกมาคำนับฮูหยินผู้เฒ่ากวน ทว่าฮูหยินใหญ่อวี้ยังคงเอาแต่ยิ้มไม่พูดจาอยู่เช่นเคย วางตัวได้เหมาะสมรอบคอบ หลังจากที่คำนับฮูหยินผู้เฒ่ากวนเสร็จ ก็แยกตัวออกไปกับสตรีที่สนิทสนมกัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยังคงปฏิบัติต่อพวกนางเช่นเดิม เรียกฮูหยินใหญ่เหมี่ยนให้มาต้อนรับพวกนาง
โจวเสาจิ่นทำเสมือนว่ามองไม่เห็น ยังคงสนทนาอยู่กับแขกที่มาเยือน กลับเป็นโจวชูจิ่นที่ออกไปคำนับทำความเคารพ
ไม่นานนัก จวนหลัก จวนรอง และจวนสามก็เข้ามาถึงแล้วทั้งหมด
หลังจากที่ทำความเคารพผู้อาวุโสทั้งหลายแล้ว โจวเสาจิ่นก็ถูกเฉิงเจียดึงตัวไปข้างๆ พลางชี้ไปที่พานชิง กล่าวขึ้นว่า “เจ้าดูนางสิ!”
ผมสีดำขลับของพานชิงเกล้าขึ้นเป็นมวยโบตั๋นซึ่งเป็นทรงที่ทำได้ยากอย่างยิ่ง คาดเอาไว้ด้วยที่คาดผมไข่มุก ประดับไว้ด้วยดอกไม้สีเขียวมรกตดอกใหญ่ สวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหางโจวสีฟ้าอมเขียวลายดอกหงอนไก่กับกระโปรงจีบสีขาวพระจันทร์ ผิวขาวเนียนยิ่งกว่าหิมะ ใบหน้าดุจดั่งดอกเสาเย่า ช่างงดงามยิ่ง
โจวเสาจิ่นรู้จักชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหางโจวตัวนั้น เป็นเนื้อผ้าชนิดใหม่จากเมืองเจียซิงในปีนี้ ราคาสิบสองเหลี่ยงเงิน ในชาติที่แล้ว โจวเสาจิ่นเองก็มีชุดเพ่ยจื่อเช่นนี้ตัวหนึ่ง เพียงแต่ว่านางซื้อมาในปีถัดไป เกรงว่าราคาในตอนนี้คงจะแพงกว่า
พานชิงช่างทุ่มเทเวลาให้กับการแต่งองค์ทรงเครื่องเสียจริง
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “รอสักครู่ให้มีโอกาสแล้วลงมือกัน!”
เฉิงเจียพยักหน้า สายตาพลันตกไปอยู่บนตัวของโจวชูจิ่น ลอบถามว่า “ชุดที่ท่านพี่ชูจิ่นสวมใส่วันนี้สวยงามยิ่งนัก! ดูกระโปรงตัวนั้นสิ ข้าไม่เคยเห็นแถบกระโปรงที่วิจิตรและประณีต ขณะเดียวกันก็ไม่ขาดความสง่างามขนาดนี้มาก่อน…เสาจิ่น ทำไมเจ้าไม่ลองทำตามสักชุดล่ะ”
ตอนที่พี่สาวเพิ่งจะแต่งงานเข้าตระกูลเลี่ยว เหตุเพราะเป็นบุตรสาวคนโตที่กำพร้ามารดา ซ้ำยังเป็นฮูหยินเอกในภายภาคหน้า จึงลำบากมากนัก โจวเสาจิ่นหวังว่าชื่อเสียงอันดีของพี่สาวจะแพร่ไปในหมู่เครือญาติก่อนที่จะออกเรือนไป เช่นนี้ภายหลังเมื่อพี่สาวแต่งเข้าตระกูลเลี่ยวแล้ว จะสามารถมีวันเวลาที่ดีมากยิ่งขึ้น ทว่าสิ่งที่นางไม่คาดคิดมาก่อนก็คือ ทุกคนกลับสนใจชุดที่นางทำ และพี่สาวจึงฉวยโอกาสนี้ผลักดันนางออกมาแทน
นี่ไม่ใช่เจตนาที่แท้จริงของนางเลย
โจวเสาจิ่นตัดสินใจว่าจะรั้งอยู่กับเฉิงเจีย และพยายามออกไปปรากฏตัวท่ามกลางญาติพี่น้องให้น้อยที่สุด
“พวกเราพี่น้องสวมเสื้อผ้าเหมือนกันอยู่เรื่อยไปไม่ได้หรอก!” นางกล่าวยิ้มๆ “ข้าคิดว่าชุดของข้าชุดนี้ก็ไม่เลวนัก”
เฉิงเจียหัวเราะคิกคักไปสองครั้ง กล่าวขึ้นว่า “ก็ไม่เลว แต่อย่างไรก็สวยสู้ชุดที่อยู่บนตัวของท่านพี่ชูจิ่นไม่ได้”
ความจริงแล้วนี่คือจุดประสงค์ของโจวเสาจิ่น
ให้พี่สาวกลายเป็นจุดสนใจที่สุดท่ามกลางผู้คน
น่าเสียดายที่นางยังไม่ทันได้รู้สึกภูมิใจ ก็ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยขึ้นว่า “กระโปรงตัวนี้ของคุณหนูใหญ่ช่างงดงามจริงๆ! เป็นฝีมือเย็บปักของท่านใด และได้รับแบบดอกไม้มาจากที่ใดหรือ ดูเหมือนจะไม่ใช่รูปแบบของพวกเราทางนี้…”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ร้อนรน รีบฉุดเฉิงเจียออกจากห้องโถงรับแขกไป
เฉิงเจียไม่เข้าใจ ถามขึ้นว่า “เจ้าลนลานทำไมกัน”
“ไม่มีอะไร” โจวเสาจิ่นอธิบายไปว่า “ในห้องโถงรับแขกถ้าไม่ใช่ผู้อาวุโสก็เป็นแขกที่มาร่วมงาน ข้ารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย”
“ข้าก็รู้สึกอึดอัด” เฉิงเจียได้ยินแล้วก็ดีใจใหญ่ เอ่ยถามว่า “เช่นนั้นพวกเราไปให้อาหารปลาที่ข้างศาลาริมน้ำกันเถอะ ครั้งก่อนที่ข้ามาเยี่ยม พบว่าจวนของพวกเจ้ามีปลาจิ๋นหลี่ตัวใหญ่ แต่ชุ่ยหวนบอกว่านั่นไม่ใช่ปลาจิ๋นหลี่ แต่อาจจะเป็นปลาดุก น่าเสียดายที่ตอนนั้นฝนเพิ่งจะตก น้ำขุ่นมัวเล็กน้อย เห็นได้ไม่ชัดเจนนัก…”
ศาลาริมน้ำตั้งอยู่ข้างห้องโถงรับแขก มีเก้าอี้เหม่ยเหริน สามารถนั่งชมปลาและคุยเล่นกันได้
โจวเสาจิ่นคิดว่าไปหลบอยู่ที่นั่นก็ไม่เลว จึงรั้งให้สาวใช้อยู่ที่นี่คอยรายงานสถานการณ์ให้ แล้วพาซือเซียง ชุ่ยหวนและคนอื่นๆ มุ่งไปยังศาลาริมน้ำ
พระอาทิตย์เพิ่งจะขึ้น ยังมีแสงแดดส่องเข้ามาในศาลาริมน้ำเล็กน้อย โชคดีที่พวกป้าบ่าวรับใช้ได้นำมู่ลี่ไม้ไผ่มาแขวนรอบศาลาริมน้ำเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ซือเซียงและคนอื่นๆ ปล่อยมู่ลี่ไม้ไผ่ลง ลมที่พัดผ่านเหนือผิวน้ำช่างเย็นชื่นใจยิ่ง โจวเสาจิ่นและเฉิงเจียนั่งอยู่ในศาลาริมน้ำ มองดูพวกสาวใช้เตรียมอาหารปลา น่ารื่นรมย์ยิ่ง
ห่างออกไปไม่ไกลนักมีเสียงฝีเท้ากับเสียงพูดคุยสนุกสนานร่าเริงของบุรุษดังขึ้นมา
คนในศาลาริมน้ำหันไปมองตามทิศทางของเสียง ก็เห็นบุรุษกลุ่มหนึ่งเดินผ่านทางเดินที่อยู่เบื้องหน้า
มีเฉิงสือ เฉิงเจิ้ง ทั้งยังมีเฉิงสวี่ พานจ้าว เฉิงลู่…
เฉิงเจียอุทานขึ้นว่า “พวกเขามาทำอะไรหรือ ยังไม่ถึงเวลากล่าวคำอวยพรมิใช่หรือ”
โจวเสาจิ่นจำกำหนดการได้ว่างานเลี้ยงจะเริ่มยามอู๋เจิ้ง ส่วนพิธีอวยพรวันเกิดจะเริ่มยามซื่อเจิ้ง เฉิงเหมี่ยนจะนำบรรดาบุรุษ หลานชายและพวกบ่าวรับใช้ไปอวยพรก่อน จากนั้นฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจะนำพวกสตรีไปอวยพรต่อจากนั้น ตอนนี้เพิ่งจะเป็นยามเฉินเจิ้ง แล้วเหตุใดพวกเฉิงสือถึงมากันแล้ว?
นางรีบให้ซือเซียงไปสอบถาม “…มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่”
ซือเซียงกลับมาตอบว่า “ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเจ้าค่ะ พวกคุณชายใหญ่สือเพียงมาถึงเร็วกว่าปกติ นายท่านใหญ่จึงให้คนนำคุณชายทั้งหลายไปนั่งเล่นที่ห้องหนังสือทางด้านนั้นเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง แต่ก็กลัวว่าพวกเฉิงสือจะรอจนเบื่อแล้วจะวิ่งมาทางศาลาริมน้ำด้านนี้ นางจึงปรึกษากับเฉิงเจียว่า “พวกเรากลับไปที่ห้องโถงรับแขกน่าจะดีกว่า จะได้หลีกเลี่ยงการพบหน้ากับพวกพี่ชายสือ”
หลังจากการประลองพิณในครั้งก่อน เฉิงเจียขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเกลียดชังพวกเฉิงสือยิ่งนัก พอได้ยินโจวเสาจิ่นเสนอขึ้นมา นางจึงตอบตกลงทันที ทั้งสองคนจึงมุ่งหน้ากลับไปยังห้องโถงรับแขกด้วยกัน
เดินได้ครึ่งทาง ก็มีเสียงเอิกเกริกดังขึ้นมาจากข้างหลังของพวกนาง
โจวเสาจิ่นหันศีรษะกลับไปมอง เห็นพวกเฉิงสือมุ่งหน้าไปยังศาลาริมน้ำ
“ขอบคุณสวรรค์จริงๆ” นางกล่าวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “ไม่เช่นนั้นพวกเราคงต้องพบหน้ากันเสียแล้ว”
เฉิงเจียบ่นขึ้นว่า “ทำไมพวกเขาถึงชอบมาเที่ยวเล่นอยู่ในลานชั้นในอยู่เรื่อย ในลานชั้นนอกไม่มีที่ให้พวกเขารั้งอยู่หรืออย่างไร แย่จริงๆ พวกเขาเป็นบุรุษ จะไปวัดพุทธหรือวัดเต๋าอะไรก็ได้ จะมาแก่งแย่งชิงที่กับพวกเราไปทำไม”
โจวเสาจิ่นหลุดหัวเราะ กล่าวปลอบว่า “นี่ก็ไม่กล่าวโทษพวกเขา ถ้าหากวันนี้เป็นวันเกิดของท่านลุงใหญ่เหมี่ยน พวกเขาก็จะไม่สามารถเข้ามาได้เลย”
เฉิงเจียได้ยินแล้วก็พลันดึงนางเอาไว้อย่างกะทันหัน กระซิบกล่าวว่า “เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ จนกระทั่งตอนนี้ท่านอาสะใภ้ห้าเวิ่นก็ยังไม่มา เจ้าว่าวันนี้นางจะมาหรือไม่”
โจวเสาจิ่นเอาไม่ออก
ถ้าหากเป็นตัวนางเอง รู้แจ่มแจ้งว่าแม้จะแพ้คนแต่ก็ไม่แพ้ศึก ก็น่าจะมา แต่ทว่าหากขาดความมั่นใจในตนเอง นางอาจจะไม่มาก็เป็นได้
เฉิงเจียกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ข้าเดาว่าวันนี้นางจะมา ถ้าหากนางไม่แบกหน้ามาพบฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินอื่นๆ ล่ะก็ เกรงว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินอื่นๆ คงจะจำนางไม่ได้เสียแล้ว”
“ไม่ถึงขนาดนั้นกระมัง” โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าว “อย่างไรเสียนางก็เป็นฮูหยินของจวนห้า!”
เฉิงเจียแย้งขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “ข้าจะกล่าวเกินจริงเสียหน่อยก็ไม่ได้!”
โจวเสาจิ่นยิ้มกริ่มอย่างช่วยไม่ได้
อยู่ๆ เฉิงเจียก็ฉุดโจวเสาจิ่นไปใต้ต้นทับทิมที่อยู่ข้างๆ กล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า “เจ้าดูพานชิงสิ!”
โจวเสาจิ่นหันไปมอง ก็เห็นพานชิงยืนอยู่บนขั้นบันไดของห้องโถงรับแขก ดูเหมือนมีสาวใช้เด็กที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาคนหนึ่งกำลังกระซิบกับนางอยู่
นางพยักหน้าเล็กน้อย แล้วยืดตัวขึ้น สาวใช้เด็กคนนั้นก็วิ่งพรวดจากไปแล้ว
พานชิงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นชั่วครู่ราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ จากนั้นก็ยืดตัวขึ้นตรงกลับเข้าไปยังห้องโถงรับแขก
เฉิงเจียเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าว่านางจะทำอะไร”
“ไม่ว่านางจะทำอะไร” โจวเสาจิ่นตอบ “ให้คนจับตาดูนางเอาไว้ก็พอแล้ว”
นางสั่งซือเซียง “หาสาวใช้เด็กที่หัวแหลมสักคนหนึ่ง อายุราวแปดถึงเก้าปีจะดีมาก ให้ไปจับตาดูพานชิงเอาไว้”
ซือเซียงตอบรับแล้วจากไป
โจวเสาจิ่นกับเฉิงเจียจึงกลับเข้าไปที่ห้องโถงรับแขก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั่งอยู่ข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากวน ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าถังก็นั่งอยู่เบื้องขวาของฮูหยินผู้เฒ่ากวน พวกสตรีคนอื่นๆ กำลังสนทนากันรอบๆ พวกนางสามคน
โจวเสาจิ่นกับเฉิงเจียแอบย่องมาถึงข้างหลังของสตรีเหล่านี้อย่างเงียบๆ แล้วยืนอยู่ข้างผ้าม่านที่อยู่ข้างฉากกั้นห้อง
ฮูหยินใหญ่เวิ่นของจวนห้าเดินเข้ามา
บนใบหน้าของนางประแป้งหนาเตอะ ปัดชาดบนแก้ม และทาชาดบนริมฝีปาก สวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหังโจวสีกลีบบัวลวดลายวิจิตร บริเวณจอนผมทั้งสองข้างแปะแผ่นกอเอี๊ยะสีดำ สีหน้าขมวดเกร็ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าถังของจวนสองกลับยิ้มแป้นราวกับพระสังกัจจายน์โพธิสัตว์
เจียงซื่อและฮูหยินคนอื่นๆ ที่รู้จักกันก็พากันไปทักทายนาง
ฮูหยินใหญ่เวิ่นทักทายตอบอย่างเงียบๆ
โจวเสาจิ่นสังเกตเห็นพานชิงแยกตัวออกจากเฉิงเสียน แอบออกไปจากห้องโถงรับแขกไปอย่างเงียบๆ
นางนิ่งเงียบรออยู่ครู่หนึ่ง
ซือเซียงเดินเข้ามา
“คุณหนูรอง ดูเหมือนว่าคุณหนูพานชิงจะไปศาลาริมน้ำเจ้าค่ะ!”
………………………………………………………………….