ตนเองพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นมองอาจูกับคุณหนูสิบเจ็ดด้วยสีหน้างุนงง
อาจูจึงหัวเราะหนักยิ่งขึ้น
คุณหนูสิบเจ็ดกลัวว่าโจวเสาจิ่นจะเสียหน้าจนทนไม่ไหว จึงรีบดึงแขนเสื้อของอาจูเอาไว้พลางกล่าว “เหตุใดเจ้าถึงหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่หยุดไม่หย่อนเช่นนี้ แค่ดูก็รู้แล้วว่าน้องเสาจิ่นไม่ใช่คนที่ออกไปข้างนอกบ่อยสักเท่าไหร่ คนของตระกูลเฉิงเองก็คงไม่เหมาะหากจะโอ้อวดคนของตัวเอง ฉะนั้นนางจะรู้เรื่องของท่านอาสี่ตระกูลเฉิงได้อย่างไร”
อาจูพยักหน้า ไม่ง่ายเลยกว่าจะหยุดหัวเราะได้ พลางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่หางตา พลางกล่าวไปด้วยว่า “ข้าได้ยินท่านแม่ของข้ากล่าวว่า ตอนที่ท่านน้าของเจ้ายังเล็กๆ นั้นกตัญญูและกล้าหาญยิ่งนัก มีอยู่ครั้งหนึ่ง อาจารย์เทวดาจางเทียนซือจากเขาหลงหู่ได้รับราชโองการให้ไปเข้าเฝ้าที่เมืองหลวง ในเวลานั้นนายท่านผู้เฒ่าจวนหลักของพวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ป่วยหนักเกินกว่าจะรักษาได้แล้ว ท่านน้าของเจ้าให้คนนำทางไปที่วัดซานชิงซึ่งเป็นวัดเต๋าที่อาจารย์เทวดาจางเทียนซือหยุดพักอยู่ แต่อาจารย์เทวดาจางเทียนซือผู้นั้นใช่ว่าจะเป็นคนที่เข้าพบได้ง่ายตามอำเภอใจ ท่านน้าของเจ้าจึงใช้คัมภีร์ ‘เหลาจื่อเสี่ยงเอ่อจู้’ ครึ่งเล่มที่ว่ากันว่าเป็นฉบับที่ปรมาจารย์จางเต้าหลิงผู้ก่อตั้งสำนักเต๋าเป็นผู้คัดลอกขึ้นมาด้วยตัวเองเพื่อเชิญอาจารย์เทวดาจางเทียนซือไปให้การรักษานายท่านผู้เฒ่าตระกูลเฉิง ด้วยเหตุนี้นายท่านผู้เฒ่าตระกูลเฉิงถึงได้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกกว่าครึ่งปี…
…ต่อมาเขารับช่วงต่อเป็นผู้ดูแลกิจการของตระกูลเฉิง กู๋จิ่งอวี้ผู้ว่าการจัดการแม่น้ำได้รับคำสั่งให้ไปจัดการแม่น้ำไหวเหอ ผลปรากฏว่ากรมครัวเรือนกับกรมโยธาธิการมีปากเสียงกัน ทำให้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจร่างงบประมาณออกมาได้ เห็นว่าใกล้จะถึงฤดูหว่านไถในช่วงฤดูใบไม้ผลิ คนงานแม่น้ำเหล่านั้นใกล้จะต้องกลับไปทำไร่ไถนาแล้ว กู๋จิ่งอวี้จึงรีบเดินทางไปรอบๆ อย่างรีบร้อน ในเวลานั้นท่านน้าของเจ้าเพิ่งจะเริ่มกิจการตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ขึ้นมา จึงกล้าให้กู๋จิ่งอวี้กู้ยืมเงิน กู๋จิ่งอวี้กู้ยืมเงินจากอวี้ไท่ ในปีที่สอง เขาร่างหนังสือถึงราชสำนัก องค์ฮ่องเต้จึงให้ผู้ว่าการจัดการเกลือในแม่น้ำไหวสองคนช่วยชำระหนี้ให้กับผู้ว่าการจัดการแม่น้ำ ในเวลาสองปีพอดิบพอดี ผู้ว่าการจัดการเกลือในแม่น้ำไหวทั้งสองก็ชำระหนี้ทั้งหมดคืนให้กับท่านน้าของเจ้า…กิจการตั๋วแลกเงินอวี้ไท่จึงเริ่มต้นดำเนินการขึ้นมาด้วยประการฉะนี้”
ช่างเก่งกาจยิ่งนัก!
หน้าผากของโจวเสาจิ่นซึมไปด้วยเหงื่อ
อาจูลดเสียงลงพลางกล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม พี่ชายของข้ากล่าวว่า สาเหตุที่องค์ฮ่องเต้ให้ผู้ว่าการจัดการเกลือในแม่น้ำไหวทั้งสองช่วยชำระหนี้ให้ผู้ว่าการจัดการแม่น้ำก็เพราะว่าท่านน้าของเจ้าเดินอยู่ในเส้นสายของว่านถง”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจเป็นอย่างมาก
จากสิ่งที่อาจูกล่าวมา แสดงว่าท่านน้าฉือก็รู้จักกับว่านถงมาตั้งนานแล้ว
เป็นไปได้หรือไม่ว่าด้วยสาเหตุนี้ ท่านน้าฉือถึงได้มอบเงินหนึ่งแสนเหลี่ยงให้กับว่านถง
นางรีบกล่าว “เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าอาจจะเข้าใจผิดไป ท่านลุงใหญ่จิงดำรงตำแหน่งอยู่ในราชสำนักที่จิงเฉิงไม่ใช่หรือ อาจเป็นท่านลุงใหญ่จิงที่ให้ความช่วยเหลือก็เป็นได้!”
อาจูหัวเราะขึ้นมาพลางกล่าว “เริ่มแรกตอนที่นายท่านใหญ่จากจวนหลักของพวกเจ้ากับหวงหลี่แย่งชิงตำแหน่งราชทูตฝ่ายซ้ายของศาลว่าการนั้น ท่านปู่ทวดและท่านปู่ของหวงหลี่ต่างก็เป็นราชบัณฑิตหลวงอยู่ในราชสำนัก แต่นายท่านใหญ่จากจวนหลักของพวกเจ้ากลับสามารถเขี่ยผู้อื่นจนกระเด็นได้ เพราะเหตุใดหรือ ก็เพราะว่าท่านน้าของเจ้ามีความสัมพันธ์อันดีกับว่านถง ว่านถงเปิดหน้าออกมาช่วยพูดให้นายท่านใหญ่จากจวนหลักของพวกเจ้าต่อหน้าราชบัณฑิตหลวงแห่งสำนักเหวินยวนเก๋ออย่างเซินหมิ่นจือผู้เป็นราชเลขากรมขุนนางด้วยตนเอง เซินหมิ่นจือไม่มีทางเลือก ประจวบเหมาะกับที่นายท่านใหญ่จากจวนหลักของพวกเจ้าเองก็มีคุณสมบัติที่เพียงพอ เซินหมิ่นจือจึงจำต้องให้หวงหลี่ไปเป็นราชเลขาฝ่ายกิจการทั่วไปแทน…จนกระทั่งทุกวันนี้ หวงหลี่ก็ยังไม่คุยกับนายท่านใหญ่จากจวนหลักของพวกเจ้าเลย…”
โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “ไม่ใช่ว่าที่ว่านถงถูกปลดมาอยู่ที่จินหลิง ก็เพราะหลิวหย่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขันทีปิ๋งปี่อยู่ในกรมพิธีการหรอกหรือ หากท่านน้าฉือมีความสัมพันธ์ส่วนตัวอันดีกับว่านถงมาตั้งนานแล้ว เช่นนั้นการที่เขาติดตามท่านพ่อกับพี่ชายของเจ้าเข้าเมืองหลวงในครั้งนี้ ไม่ถูกหลิวหย่งวางตนเป็นศัตรูก็ดีไป แต่จะให้ความช่วยเหลือท่านพ่อและพี่ชายของเจ้าได้อย่างไร”
เมื่อเห็นนางกล่าวได้อย่างมีสาระใจความ อาจูพลันรู้สึกว่าตนเองได้พบกับสหายที่เข้ากันได้ กล่าวคือ นางนั้นมีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องราชสำนักต่างๆ เหล่านี้เป็นอย่างมาก แต่ไม่ว่าจะเป็นคนที่รักและถนอมนางอย่างบิดาหรือว่าจะเป็นคนที่ตามใจนางอย่างมารดา รวมถึงพี่ชายผู้สง่างามต่างก็ไม่ชอบให้นางไปให้ความสนใจกับเรื่องพวกนี้มากนัก คิดไม่ถึงว่าการมาเป็นแขกที่จวนตระกูลกู้จะทำให้ได้ผูกมิตรกับสหายที่มีแนวคิดเดียวกันผู้หนึ่ง!
นางหัวเราะคิก พลางกล่าว “นี่เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าว่านถงผู้นั้นเป็นสหายคนสำคัญขององค์ฮ่องเต้ตอนที่อยู่ที่พระราชวังเฉียนตี่ และหลิวหย่งผู้นั้นก็เช่นเดียวกัน เนื่องจากท่านน้าของเจ้ามีความสัมพันธ์อันดีกับว่านถง เขาก็ย่อมมีความสัมพันธ์อันดีกับหลิวหย่งผู้นั้นด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ท่านพ่อและพี่ชายของข้าถึงได้เลื่อมใสท่านน้าของเจ้า กล่าวว่าเขาเป็นผู้ที่มีความสามารถล้นเหลือ เป็นผู้ที่สามารถทำการใหญ่ได้ผู้หนึ่ง ท่านพ่อของข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพี่ชายของข้าจะเปื้อนสีแดงมาบ้างเมื่ออยู่ใกล้ชาด หวังให้เขาสามารถเรียนรู้ทักษะความสามารถจากท่านน้าของเจ้ามาบ้าง สามารถดูแลจวนเหลียงกั๋วกงให้รุ่งโรจน์ มีชีวิตชีวา และมั่งคั่ง!”
จับปลาสองมือ?
เหยียบเรือสองแคม?
เป็นไปได้หรือไม่ว่าสาเหตุที่ตระกูลเฉิงถูกตรวจสอบในตอนต้นนั้นจะเป็นเพราะเรือทั้งสองแคมที่ท่านน้าฉือเหยียบนั้นได้พลิกคว่ำลง?
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่ายิ่งตนเองรู้เรื่องมากเท่าไหร่ ราวกับว่าก็ยิ่งรู้สึกสับสนมากขึ้นเท่านั้น
อาจูเห็นนางยังคงมึนๆ งงๆ อยู่ จึงร้อง “ไอหยา” เสียงหนึ่ง และกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าอย่าคิดมากไปเลย อย่างไรเสียท่านน้าฉือของเจ้าก็มีความสามารถมาก หากเจ้ามีเรื่องอะไรต้องขอร้องเขา ไม่ว่าจะเป็นขึ้นสวรรค์หรือลงนรก เขาย่อมสามารถช่วยเจ้ากระทำจนสำเร็จได้” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ นางก็ถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง และกล่าว “อย่างไรก็ตาม เขากับอาจารย์เทวดาจางเทียนซือผู้นั้นก็ไม่ต่างกัน หากเจ้าอยากได้คำมั่นสัญญาจากเขาสักประโยค นั่นยากเย็นยิ่งกว่าการปีนขึ้นฟ้าเสียอีก!”
ท่านน้าฉือเป็นผู้ที่เก่งกาจขนาดนี้เชียว!
ด้วยเหตุนี้ตอนที่ตระกูลเฉิงถูกตรวจสอบในชาติก่อน เขากลับสามารถหลบหนีไปได้ ในตอนท้ายยังสามารถขอให้โจรป่าเข้าบุกลานประหารได้อีก…ชีวิตก่อนตนเองมัวแต่ไปทำอะไรอยู่ ท่านน้าเป็นผู้มีความสามารถขนาดนี้ เหตุใดนางถึงไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับเขาเลยสักนิด หากรู้ให้เร็วกว่านี้สักหน่อย ชะตาชีวิตของนางในชาติก่อนจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่นะ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ โจวเสาจิ่นก็หัวเราะเย้ยหยันตัวเองขึ้นมา
ต่อให้ชาติก่อนนางรู้ว่ามีท่านน้าเช่นนี้อยู่ผู้หนึ่งแล้วอย่างไร ก็ยังคงหลบอยู่ไกลๆ อยู่ดี จะมีอะไรข้องเกี่ยวกับอนาคตของตระกูลเฉิงได้?
มีความคิดหนึ่งวาบผ่านเข้ามาจนโจวเสาจิ่นตะลึงงัน
เหตุใดนางถึงคิดไม่ถึงมาก่อน?
เนื่องจากต้องการคนที่สามารถพูดได้อย่างมีน้ำหนักต่อหน้านายท่านใหญ่จิง เช่นนั้นตนก็ยังพอมีโอกาส ไม่ใช่ว่ายังมีเฉิงฉืออยู่หรอกหรือ
หากว่าเฉิงฉือเป็นอย่างที่อาจูกล่าวเอาไว้เช่นนั้นจริง ขอเพียงให้ตนได้รับคำมั่นสัญญาจากเขาสักประโยค ต่อให้เขาจะเกิดความสงสัยตนก็ตาม แต่ตราบใดที่สามารถส่งข่าวไปให้นายท่านใหญ่จิง และนายท่านใหญ่จิงก็อาจจะเข้าใจผิดว่าข่าวนี้เป็นข่าวที่เฉิงฉือได้รับมา…เท่านั้นก็ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากแล้ว!
ส่วนเรื่องต่อจากนั้น ต่อให้ท่านน้าฉือต้องการฆ่าหรือต้องการเฉือนเลือดเนื้อ สิ่งที่ควรทำนางก็ได้ทำแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องเสียดาย เขาจะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่เขา!
โจวเสาจิ่นนึกถึงดวงตาที่อ่อนโยนของเฉิงฉือ ลอบรู้สึกอยู่ในใจรางๆ ว่า ต่อให้เขาจะเคืองโกรธ ก็คงไม่อาจทำเรื่องที่โหดเ**้ยมอำมหิตออกมาได้…จึงไม่รู้สึกหวาดกลัว
แต่นางจะทำอย่างไรถึงจะสามารถพูดให้ท่านน้าฉือเชื่อถือได้
นางจึงครุ่นคิดถึงปัญหาข้อนี้ตลอดทางที่กลับจวน
โจวชูจิ่นผู้เป็นพี่สาวเอ่ยถามนางอย่างเอาใจใส่ว่า “เป็นอะไรไป รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่ หรือว่ามีผู้ใดพูดอะไรที่ทำให้เจ้าไม่ชอบหรือเปล่า”
“ไม่มีเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกล่าว พลางนึกขึ้นมาได้ว่า หลังจากที่เล่นไพ่เสร็จตอนที่พวกนางกำลังจะออกมาจากตระกู้นั้น นายหญิงผู้เฒ่าตระกูลกู้จับมือของโจวชูจิ่นเอาไว้และกล่าวชมเชยโจวชูจิ่นไม่หยุดว่านางเป็นเด็กดี ต่อไปยามที่มีเวลาว่างให้มาเยี่ยมเยียนตระกูลกู้บ่อยๆ นางจึงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ เอ่ยถามพี่สาวเสียงเบาว่า “ท่านเสียเงินไปเป็นจำนวนเท่าไหร่หรือเจ้าคะ”
“ไพ่ของนายหญิงผู้เฒ่าวางเงินเดิมพันไม่มากนัก” โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ “เสียไปไม่เกินเจ็ดหรือแปดร้อยเหรียญทองแดงเท่านั้น”
โจวเสาจิ่นกลัวว่าพี่สาวจะเป็นกังวล จึงเล่าเรื่องที่อาจูชวนนางไปเที่ยวงานวัดด้วยกันในช่วงกลางเดือนเจ็ดให้พี่สาวฟัง “…บอกว่าหากพวกเราไม่รู้จะแจ้งต่อผู้ใหญ่ว่าอย่างไร นางจะให้ท่านแม่ของนางส่งเทียบเชิญมาให้พวกเราเจ้าค่ะ” ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับเฉิงฉือนั้น นางไม่ได้เอ่ยถึงเลยสักคำ
“แล้วเจ้าอยากไปหรือไม่” โจวชูจิ่นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่อยากไปเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นนั้นหวาดกลัวสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความอึกทึกครึกโครมยิ่งนัก “ข้ากำลังคิดว่าจะหลีกเลี่ยงอย่างไรไม่ให้อาจูผิดหวัง ข้าไม่อยากทำให้นางเสียใจเจ้าค่ะ”
“ให้ข้าเป็นคนตอบจดหมายให้อาจูก็แล้วกัน!” โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ “เพียงบอกไปว่าในช่วงกลางเดือนเจ็ดพวกเราอาจจะต้องกลับไปกราบไหว้บรรพชนที่จวนตระกูลโจว จึงไม่สามารถไปเที่ยวงานวัดกับนางได้”
โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยีพลางพยักหน้า
การยกเรื่องนี้ให้พี่สาวจัดการ ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
เมื่อกลับถึงซอยจิ่วหรู หยวนซื่อเอ่ยถามโจวชูจิ่นว่า “เหตุใดจู่ๆ นายหญิงผู้เฒ่าถึงได้เรียกพวกเจ้าสองพี่น้องไปเล่นไพ่เป็นเพื่อนนางหรือ หญิงสาวของตระกูลกู้มีมาก แต่ไหนแต่ไรมานางก็ชอบเรียกหาหญิงสาวของตระกูลกู้ไปเล่นไพ่ด้วย”
บางทีอาจเป็นเพราะว่าชาติก่อนต้องพัวพันกับหยวนซื่อด้วยเรื่องพวกนั้น โจวเสาจิ่นจึงมีความรู้สึกไม่ดีกับนางมาตั้งแต่ต้นอย่างช่วยไม่ได้ พอนางพูดเช่นนี้ นางฟังแล้วก็ได้แต่รู้สึกว่าน้ำเสียงของหยวนซื่อไม่เป็นมิตรนัก ราวกับกำลังสงสัยว่านางกับพี่สาวใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรบางอย่างถึงทำให้ได้รับความโปรดปรานจากนายหญิงผู้เฒ่าอย่างไรอย่างนั้น
นางจึงกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “บางทีเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับท่านน้าฉือก็เป็นได้เจ้าค่ะ!”
หยวนซื่อค่อนข้างจะประหลาดใจเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นก็เป็นเหมือนคนที่เป็นน้องสาวทั่วๆ ไป ตราบใดที่มีพี่สาวอยู่ด้วย น้อยครั้งนักที่นางจะพูดหรือแสดงความคิดเห็นของตนเอง
นางขมวดคิ้วขึ้น
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าได้ยินนายหญิงผู้เฒ่ากล่าวว่า ท่านน้าฉือหาคู่สมรสหลังความตายให้กับเหนียงที่สิบเก้าของตระกูลกู้เจ้าค่ะ…” นางเล่าเรื่องที่ผ่านมาอีกครั้ง พร้อมทั้งกล่าวอีกว่า “ท่านป้าใหญ่จิงไม่ได้พบกับท่านน้าฉือหรือเจ้าคะ ตอนที่พวกข้าไปถึงนั้นนายหญิงผู้เฒ่ากล่าวว่าท่านน้าฉือเพิ่งกลับออกไปไม่นานเจ้าค่ะ”
หยวนซื่อตะลึงงัน พลางกล่าว “ข้าไม่ได้พบกับน้องสี่…บางทีเขาอาจจะไปด้วยเรื่องนี้เป็นการเฉพาะเท่านั้นก็เป็นได้” จากนั้นนางก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนว่า “หากพวกข้าตัดสินใจได้แล้วว่าจะให้อะไรเป็นของขวัญวันมงคลสมรสแก่คุณหนูสิบหก จะคัดรายการของขวัญไปให้เจ้าสักหนึ่งแผ่น พวกเจ้าเพียงจัดเตรียมตามนั้นก็ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเหมือนกับพวกข้าก็ได้ ตระกูลกู้กับตระกูลกัวมีความสัมพันธ์อันดีกันมายาวนานหลายชั่วอายุคน เป็นธรรมดาที่จะไม่เหมือนกับผู้อื่นเท่าใดนัก”
เป็นท่าทางที่ไม่อยากจะสนทนาให้มากความอีก
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยิ้มพลางกล่าว “ข้าทราบแล้ว ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยไปที่ตรอกเหมยฮวาด้วยกันอีกครั้ง”
หยวนซื่อยิ้มพลางพยักหน้า พวกนางแยกจากกันตรงศาลาทิงอวี่ กลุ่มหนึ่งเดินตรงไปข้างหน้า ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งเดินไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
วันต่อมา โจวเสาจิ่นไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามนางว่า “ที่ตระกูลกู้สนุกหรือไม่”
“สนุกเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างน่ารัก “ข้ายังได้รู้จักกับคุณหนูสิบเจ็ดตระกูลกู้และคุณหนูอาจูจากจวนเหลียงกั๋วกงด้วยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า พลางกล่าว “ได้ยินว่าน้าฉือของเจ้าจัดหาคู่สมรสหลังความตายให้เหนียงที่สิบเก้าของตระกูลกู้อย่างนั้นหรือ อีกฝ่ายเป็นคุณชายจากตระกูลใด เสียชีวิตอย่างไร ตอนที่เสียชีวิตนั้นอายุเท่าไหร่ บิดามารดายังเป็นผู้จัดการดูแลเรื่องต่างๆ ภายในจวนอยู่หรือไม่”
สอบถามอย่างละเอียดถี่ถ้วน ราวกับกำลังหาคู่ให้กับคนธรรมดาทั่วไปอย่างไรอย่างนั้น
โจวเสาจิ่นลอบรู้สึกแปลกใจ
หยวนซื่อเป็นสะใภ้ใหญ่ของจวนหลัก สิ่งที่แม่สามีอาจจะสนใจ นางควรจะรู้อย่างละเอียดถึงจะถูก แต่เหตุใดตอนที่ได้ยินว่าเฉิงฉือจัดหาคู่สมรสหลังความตายให้เหนียงที่สิบเก้าของตระกูลกู้นั้นกลับไม่สอบถามถึงรายละเอียดกับนางกันนะ?
โจวเสาจิ่นเล่าเรื่องที่นางรู้ทั้งหมดให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง
หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟังแล้วก็มีท่าทางพึงพอใจเป็นอย่างมาก พลางกล่าว “ก็นับได้ว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันแล้ว”
เรื่องนี้ก็ต้องให้ความสนใจถึงความเหมาะสมด้วยหรือ
โจวเสาจิ่นเหงื่อตก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถอนหายใจพลางกล่าว “นี่เป็นเรื่องที่นายหญิงผู้เฒ่าทุกข์ใจมาตลอด วันนี้ชายสี่สามารถช่วยนายหญิงผู้เฒ่ากำจัดความทุกข์ใจนี้ไปได้ นายหญิงผู้เฒ่าย่อมต้องดีใจเป็นอย่างมาก ชายสี่สามารถแสดงความกตัญญูอย่างที่สุดต่อหน้านายหญิงผู้เฒ่าแทนพวกข้าได้ ข้าก็มีความสุขยิ่งนัก” จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็พูดถึงเรื่องในอดีตของตระกูลกู้ขึ้นมาให้โจวเสาจิ่นฟัง “…ที่นายหญิงผู้เฒ่าทุกข์ใจเกี่ยวกับเหนียงที่สิบเก้าขนาดนี้ก็เป็นเพราะ…ไม่เพียงเพราะนางฉลาดเฉลียวเท่านั้น นางยังเป็นคนที่กตัญญูรู้คุณเป็นที่สุด…เรื่องที่ผู้อื่นนึกไม่ถึง แต่นางกลับนึกถึง กล่าวถึงหลานชายจากตระกูลเดิมของนายหญิงผู้เฒ่า…”
โจวเสาจิ่นตั้งใจฟังอย่างสงบ
เฝ่ยชุ่ยเข้ามารายงานว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านสี่มาเจ้าค่ะ!”
…………………………………………………………………….