มื้อเย็นถูกจัดเอาไว้ในห้องรับแขก บางทีอาจเป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่ากัวและเฉิงฉือมีความเคยชินที่แตกต่างกัน อาหารบนโต๊ะจึงมีทั้งเนื้อและปลา ทั้งหมดล้วนถูกจัดใส่เอาไว้ในจานเคลือบสีขนาดเล็ก วางเอาไว้จนเต็มโต๊ะ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกวักมือเรียกโจวเสาจิ่น “มา มานั่งข้างๆ ข้า!”
พอเป็นเช่นนี้ นางจึงได้นั่งอยู่ตรงข้ามกับเฉิงฉือ
โจวเสาจิ่นใจเต้นไม่หยุด นางกำหมัดแน่นเพื่อสร้างกำลังใจให้ตัวเอง จากนั้นถึงได้มีความกล้าที่จะนั่งลง
สาวใช้วางตะเกียบและนำอาหารขึ้นโต๊ะ
เวลาทานอาหารไร้ซึ่งเสียงพูดคุย ทุกคนต่างทานอาหารของตัวเอง
ภายในห้องเงียบกริบ มีเพียงเสียงกังวานใสของถ้วยชามและช้อนยามกระทบกันเท่านั้น แต่กลับยิ่งทำให้ความเงียบภายในห้องดูเด่นชัดยิ่งขึ้น
โจวเสาจิ่นรู้สึกประหม่ายิ่งนัก นางไม่กล้าที่จะมองไปเรื่อยได้อย่างตามใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าจะลอบสำรวจท่าทีของเฉิงฉือ
นางรู้ว่าให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ดีแน่
เพื่อลดความประหม่าของตนเอง นางจำต้องวางความสนใจทั้งหมดลงไปที่อาหาร
ต้มแม่เป็ดรสเข้มข้น ปลาเสี่ยวหวงรสเลิศ เนื้อไก่รสนุ่มลิ้น เนื้อผัดผลอิงเถาฉ่ำเปรี้ยว และผักใบเขียวรสอ่อน…โจวเสาจิ่นค่อยๆ ลิ้มรสของอาหาร ชั่วขณะหนึ่งจึงลืมไปว่าตนเองนั่งอยู่ข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและตรงข้ามกับเฉิงฉือ เพ่งความสนใจอยู่กับการทานอาหาร
เฉิงฉือที่นั่งอยู่ตรงข้ามรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างเล็กน้อย
เด็กสาวตรงหน้าทานอาหารได้อย่างสง่างามและไร้กังวล ดูเพลิดเพลินยิ่งนัก ราวกับว่าอาหารที่นางทานไม่ใช่มื้ออาหารธรรมดาแต่เป็นอาหารอันโอชะจากหุบเขาลึกและทะเลอันไกลโพ้นอย่างไรอย่างนั้น
รสชาติอร่อยขนาดนั้นเลยเชียวหรือ
เขารำพึงอยู่ในใจ อดไม่ได้คีบเนื้อผัดผลอิงเถามาตะเกียบหนึ่ง
รสเปรี้ยวหวานกำลังดี ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ
เขาคีบเนื้อไก่มาอีกตะเกียบหนึ่ง
เนื้อสัมผัสนุ่มลิ้น แต่ก็แค่นุ่มลิ้นเท่านั้น
เขาจิบน้ำแกงต้มแม่เป็ดไปคำหนึ่ง…จากนั้นเขาก็ต้องยอมรับอย่างช่วยไม่ได้ว่า เด็กสาวตรงหน้านี้ดูท่าทางอ่อนแอและบอบบาง แต่กลับเจริญอาหารดียิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หาได้ยากยิ่งกว่าคือเป็นผู้ที่มีลักษณะดียิ่ง ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำท่วงท่าให้ดูน่ารัก อะไรที่สามารถทานได้ก็ทาน…คาดว่าน่าจะเป็นผู้ที่หากสามารถนอนหลับได้ก็นอนผู้หนึ่งด้วยเช่นเดียวกัน!
เฉิงฉือยิ้มพลางวางตะเกียบลง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นกังวลว่า “อาหารไม่ถูกปากเจ้าหรือ”
“ไม่ใช่ขอรับ” เฉิงฉือกล่าว “ครั้งก่อนข้าได้ฟังคำของท่านแล้ว รู้สึกว่ามื้อเย็นควรจะทานให้น้อยลงสักหน่อย”
“โทษข้าอีกแล้วหรือ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวโวยวายขึ้น “ข้าเพียงขอให้เจ้าออกไปร่ำสุราตอนกลางคืนให้น้อยลงหน่อยก็ถือว่าอมิตาแล้ว…”
“ที่ไหนกันขอรับ!” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “หลังจากที่ท่านบอกมาตั้งแต่ครั้งที่แล้ว กลางคืนข้าก็ไม่ได้ออกไปร่ำสุราข้างนอกอีกเลย ท่านก็ทราบดี แต่ไหนแต่ไรมาข้าล้วนเชื่อฟังคำของท่านมาโดยตลอด”
คำพูดอันแสนธรรมดาเพียงหนึ่งประโยค แต่กลับทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูซึมลงอย่างคาดไม่ถึง และเงียบขรึมลงในทันใด
เฉิงฉือเองก็ไม่ได้กล่าวอะไร
ภายในห้องจึงเงียบกริบจนสามารถได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มหล่น
โจวเสาจิ่นวางมือและเท้าลงเบาๆ
ไม่ควรจะรั้งอยู่ทานข้าวที่เรือนหานปี้ซานเลยจริงๆ…อาหารมื้อนี้ผ่านไปอย่างยากเย็นยิ่งนัก…เวลาทานข้าวก็ไม่อาจพูดคุยกันได้ รอให้ท่านน้าฉือทานข้าวเสร็จ แล้วไปดักเจอเขาด้านนอกก็เหมือนกัน…เช่นนั้นก็จะดูเหมือนกับจงใจไปหน่อย…หรือว่าควรจะอยู่ทานข้าวต่อไป…
ขณะที่โจวเสาจิ่นกำลังคิดว้าวุ่นอยู่ในหัว รู้สึกได้ว่าเฉิงฉือที่อยู่ตรงข้ามนั้นเหลือบมองมาที่นางครั้งหนึ่ง
นางเหลือบมองเฉิงฉือผ่านหางตาอย่างรวดเร็วไปครั้งหนึ่ง
พบว่าเฉิงฉือกำลังยิ้มพลางสั่งการให้สาวใช้ไปต้มน้ำชาให้เขา ซึ่งก็ไม่ได้มองมาที่ตนเอง
บางทีอาจเป็นตนที่เข้าใจผิดไปเอง?
โจวเสาจิ่นครุ่นคิด ขณะที่รีบทานข้าวที่เหลืออยู่ก้นถ้วยให้หมด ไม่กล้าที่จะเติมอีก
โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็วางตะเกียบลงแล้วเช่นกัน สาวใช้เก็บโต๊ะ และยกน้ำชาเข้ามา
เฉิงฉือกลับลุกยืนขึ้น กล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ข้าคงต้องกลับก่อน หากท่านมีเรื่องอะไร ให้พวกสาวใช้ไปแจ้งข่าวให้ข้าสักหน่อยก็ได้แล้วขอรับ”
เอ๋!
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
นี่เขาจะไปเช่นนี้เลยหรือ!
ไม่อยู่ดื่มชาและพูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวสักหน่อยก่อนหรือ
โจวเสาจิ่นจำต้องลุกยืนขึ้นมาด้วย
“เจ้าเด็กคนนี้” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถอนหายใจพลางกล่าว “บางทีข้าไม่ได้เจอเจ้ามาหลายวัน ให้เจ้ามาหา ก็ไม่ใช่ว่าเพราะมีเรื่องเสมอไป ก็เพียงอยากจะดูว่าเจ้าสบายดีหรือไม่เท่านั้น”
เฉิงฉือยิ้มพลางกล่าว “เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยมีสาวใช้ ป้าแม่บ้าน และบ่าวชายตั้งมากมาย ข้ามีอะไรให้ไม่สบายกันขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นว่ารั้งเขาเอาไว้ไม่อยู่ จึงสั่งให้สื่อมามาออกไปส่งเฉิงฉือ
โจวเสาจิ่นพลันนึกขึ้นมาได้ว่า ไม่ใช่ว่าตนมีเรื่องอยากพูดกับท่านน้าฉือหรอกหรือ
หากทั้งสองคนร่วมทางกันออกไป ก็น่าจะสามารถพูดคุยกันได้อย่างเป็นธรรมชาติสักสองประโยคกระมัง?
“ฮูหยินผู้เฒ่า” นางกล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ข้าเองก็ขอตัวลาไปก่อนนะเจ้าคะ…ท่านก็จะได้พักผ่อนแต่หัวค่ำสักหน่อยเจ้าค่ะ!”
ไม่ใช่ฤดูหนาวเสียหน่อย จะรีบพักผ่อนแต่หัวค่ำไปเพื่ออะไร
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้อยู่เล็กน้อย แต่เนื่องจากทั้งสองคนได้ใช้เวลาร่วมกันมาช่วงหนึ่ง นางจึงรู้ว่าโจวเสาจิ่นไม่ใช่คนประเภทที่มีนิสัยชอบประจบประแจง และยังชื่นชอบนางที่เชื่อฟังและมีมารยาท จึงไม่ได้กล่าวแย้งอะไร พยักหน้าให้ยิ้มๆ พลางกล่าว “ข้าจะให้เฝ่ยชุ่ยไปส่งเจ้า ระหว่างทางเจ้าก็ระมัดระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน!”
ไม่ว่าอย่างไรเรือนหานปี้ซานก็อยู่ห่างจากเรือนเจียซู่ด้วยระยะทางประมาณครึ่งก้านธูป ท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดลงแล้ว อย่างไรนางก็ต้องกล่าวย้ำเตือนเอาไว้สักหน่อย
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางขานรับเจ้าค่ะ แล้วออกจากประตูไปพร้อมกับเฝ่ยชุ่ย
สายลมยามค่ำด้านนอกพัดมาเอื่อยๆ พัดพาให้กิ่งไม้ส่งเสียงซ่าๆ ไหนเลยจะยังมีเงาของเฉิงฉืออยู่!
ตนออกมาช้า ก็เลยคลาดกันเสียแล้ว?
แต่ก็เพียงเสี้ยวเวลาเดียวเท่านั้น…
หัวไหล่ของโจวเสาจิ่นลู่ลงมา ยิ้มพลางกล่าวกับเฝ่ยชุ่ยด้วยอาการห่อเ**่ยวเล็กน้อยว่า “พี่สาวเฝ่ยชุ่ยไม่จำเป็นต้องไปส่งข้าหรอก ที่นี่ห่างจากจวนสี่ไม่ไกลนัก ข้ากลับเองได้”
เฝ่ยชุ่ยยังคงยืนกรานไปส่งนางจนออกจากประตูเรือนหานปี้ซานแล้วถึงกลับเข้าไป
โจวเสาจิ่นมุ่งหน้าไปยังเรือนเจียซู่ด้วยอาการเหงาหงอย กำลังครุ่นคิดว่าไม่ง่ายเลยกว่าที่เฉิงฉือจะไปที่เรือนหานปี้ซานสักครั้งหนึ่ง แต่นางกลับหาโอกาสคุยกับเฉิงฉือไม่ได้ หลังจากนี้ต่อให้นางยังคงคัดพระธรรมอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน แต่ก็เกรงว่าคงไม่ง่ายนักกว่าจะได้พบกับเขาสักครั้งหนึ่ง…ยังดีที่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ว่าตนอยากจะคัดพระธรรม ‘อมิตาพุทธสูตร’ สักบทสำหรับนำไปถวายแด่องค์พระโพธิสัตว์ออกไป ไม่อย่างนั้นต่อให้นางอยู่คัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานต่อไป ก็คงไม่ได้พบเฉิงฉืออยู่เช่นเดิม
ต้องคิดหาวิธีไปสืบเรื่องของเฉิงฉืออีกสักครั้งถึงจะใช้การได้
ไม่เช่นนั้นนางก็จะไม่รู้อะไรเลยอยู่เช่นนี้ต่อไป ถ้ามัวแต่พึ่งพาบุญนำวาสนาส่ง บางทียังอาจจะเกิดข้อผิดพลาดได้!
นางนึกถึงเรื่องที่อาจูชวนนางไปเที่ยวงานวัดในช่วงกลางเดือนเจ็ดขึ้นมา
ถึงแม้ว่าในตอนนั้นนางได้ปฏิเสธอย่างสุภาพไปแล้ว แต่ถ้าอาจูยังยืนกรานจะส่งเทียบเชิญมาให้นางอีก นางก็จะลองไปดูสักครั้งก็แล้วกัน…อย่างไรเสียก็อาจจะสามารถสืบเรื่องของท่านน้าฉือมาได้สักเล็กน้อย
เมื่อนึกถึงว่าจากตอนนี้ไปถึงกลางเดือนเจ็ดก็เหลือเวลาอยู่เพียงสองถึงสามวันเท่านั้นแล้ว อารมณ์ของโจวเสาจิ่นก็แจ่มใสขึ้นมาอีกครั้งราวกับฟ้าหลังฝน
นางกล่าวกับซือเซียงว่า “…ตอนนี้ยังซื้อโคมไฟลอยน้ำทันอยู่หรือไม่”
โดยปกติในงานวัดมักจะมีการลอยโคมไฟลอยน้ำ
ซือเซียงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ให้พ่อบ้านหม่าช่วยคิดหาวิธีดูดีหรือไม่เจ้าคะ”
พ่อบ้านหม่าเป็นคนที่มีความสามารถมากผู้หนึ่ง!
โจวเสาจิ่นพยักหน้า พลันหยุดเท้าลงโดยไม่ได้บอกกล่าว ดวงตาเบิกกว้าง ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ซือเซียงใจเต้นระทึก มองตามสายตาของนางไป
นายท่านสี่ที่เดินไปก่อนจนไม่เห็นแม้แต่เงาก่อนหน้าแล้วนั้น ตอนนี้กลับมายืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากพวกนางนัก มีนักพรตเด็กสวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียวอ่อนผู้หนึ่งยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ข้างๆ ราวกับรูปปั้นขององค์พระโพธิสัตว์รูปหนึ่ง
นี่…เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ
ซือเซียงรีบหันไปมองที่โจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นเองก็ดูงงงันเช่นเดียวกัน
ไม่ใช่ว่าท่านน้าฉือกลับเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยไปแล้วหรือ
เหตุใดเขาถึงมายืนอยู่ที่นี่ได้
กำลังรอผู้ใดอยู่หรือว่ามีเรื่องอะไรกันแน่?
ความคิดหนึ่งวาบผ่านเข้ามา ช่างเป็นโอกาสที่ดีอะไรเช่นนี้ แต่โจวเสาจิ่นกลับเกิดอาการลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
ท่านน้าฉือค่อนข้างจะ…ให้ความรู้สึกเหมือนเทพเจ้ามังกรที่มองเห็นศีรษะแต่ไม่สามารถมองเห็นลำตัวอยู่บ้างเล็กน้อย
หากว่าเขาอยู่ที่นี่เพื่อรอใครบางคนหรือมีเรื่องอะไรบางอย่างจริงๆ การที่ตนเองพุ่งเข้าไปหาเช่นนี้ ไม่รู้ว่าท่านน้าฉือจะโกรธหรือไม่
นางอยากจะพูดกับเฉิงฉือเป็นอย่างมาก แต่เป้าหมายหลักของนางคือหวังให้เขาเชื่อในสิ่งที่นางพูด และส่งคำเตือนนี้ผ่านเขาไปให้กับเฉิงจิง
แต่ถ้าครั้งนี้ดันทำให้ท่านน้าฉือไม่พอใจขึ้นมา ไม่เท่ากับว่าพลาดท่าเสียทีในตอนจบหรอกหรือ
แต่ถ้านางทำเพียงเดินผ่านเฉิงฉือไปเช่นนี้ แล้วเมื่อไหร่นางถึงจะมีโอกาสได้พูดกับท่านน้าฉืออีก?
โจวเสาจิ่นลังเลอย่างตัดสินใจไม่ได้ ไม่ว่าจะเดินหน้าหรือจะถอยหลังก็ยากทั้งสองทาง
กลับเป็นเฉิงฉือที่หัวเราะขึ้นมาอย่างกะทันหัน พลางกล่าว “เจ้ารีบออกมาอย่างรีบร้อน ไม่ใช่ว่ามีเรื่องอยากคุยกับข้าหรอกหรือ แล้วเหตุใดพอพบข้าแล้วกลับไม่พูดอะไรเลยสักประโยค หรือว่าข้าเข้าใจผิดไปอย่างนั้นหรือ”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน ไม่นานหลังจากนั้นก็ยินดีเป็นอย่างมากขึ้นมา
ที่แท้ท่านน้าฉืออยู่ที่นี่เพื่อรอนางนั่นเอง!
นางรีบก้าวออกไปด้านหน้า
กระทั่งนางมายืนอยู่ด้านหน้าของเฉิงฉือแล้วถึงได้ค้นพบว่า นางสูงเพียงหัวไหล่ของเฉิงฉือเท่านั้น นางต้องเงยหน้าขึ้นถึงจะสามารถมองเห็นสีหน้าของเฉิงฉือได้อย่างถนัดชัดเจน
นี่ทำให้นางรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก ราวกับว่า…เมื่ออยู่ต่อหน้าเขานางกลายเป็นคนที่ตัวเล็กมากและอ่อนแอมากไปเสียอย่างนั้น…
นางมึนงงไม่รู้จะวางไม้วางมืออย่างไรอยู่บ้างเล็กน้อย
ลอบรู้สึกเสียใจที่เข้าใกล้เฉิงฉือมากเกินไป
นางหวังว่าเขาจะปฏิบัติกับนางเหมือนกับเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง…แต่พอมาอยู่ต่อหน้าเขาแล้วกลับเหมือนกับเด็กผู้หนึ่งอย่างไรอย่างนั้น…ใครจะเอาคำพูดของเด็กมาใส่ใจกัน?
โจวเสาจิ่นรีบถอยหลังออกมาสักสองสามก้าว และยืดหลังตรง
เฉิงฉือมองแล้วก็อดที่จะหัวเราะเสียงดังขึ้นมาไม่ได้
เด็กคนนี้ช่างน่าสนใจเสียจริง
ประเดี๋ยวก็ดีใจ ประเดี๋ยวกับกังวลใจ ทุกความรู้สึกต่างแสดงออกทางสีหน้า เห็นๆ อยู่ว่าเป็นเพียงเด็กผู้หนึ่ง กลับพยายามแสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่
เมื่อนึกถึงท่าทางของนางยามทานอาหาร…เขาก็อดที่จะหัวเราะขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ พลางกล่าว “เจ้าตามหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ”
โจวเสาจิ่นคิดเอาไว้ตั้งนานแล้วว่าจะพูดอย่างไรบ้าง
แต่สถานการณ์การพบหน้ากันในตอนนี้กับสิ่งที่นางคิดเอาไว้ช่างแตกต่างกันยิ่งนัก…ในจินตนาการของนางแล้ว พวกเขาควรจะนั่งดื่มชาอยู่ในห้องรับแขกของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ท่านน้าฉือและฮูหยินผู้เฒ่ากัวสนทนากัน ส่วนนางก็คอยรับใช้อยู่ข้างๆ รอจนกระทั่งฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยถามถึงเรื่องภายในจวนขึ้นมา นางก็อาศัยโอกาสนั้นเอ่ยถึงเรื่องของว่านถงขึ้นมา ก็จะสัมฤทธิ์ผลดังแม่น้ำที่ไหลไปตามช่องทางน้ำ ดังห่านป่าที่บินผ่านท้องฟ้าไปอย่างเงียบเชียบ…แต่ตอนนี้…นางจะไม่พูดอะไรเลยด้วยเหตุว่าสถานการณ์ไม่เหมือนกันนั้นคงเป็นไม่ได้แล้วกระมัง?
นางกระแอมไอขึ้นมาเสียงหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ พลางกล่าว “ตอนที่ข้าอยู่ที่ตระกูลกู้นั้นได้พบกับอาจู ซึ่งก็คือคุณหนูใหญ่จากจวนเหลียงกั๋วกง นางกล่าวว่า ท่านน้าฉืออาจจะติดตามท่านพ่อและพี่ชายของนางไปที่เมืองหลวง ยังเอ่ยถึงว่านถง…อาจูกล่าวว่า ตอนนี้หลิวหย่งมีอำนาจมาก…ท่านน้าฉือ ท่านต้องระวังตัวเอาไว้สักหน่อยถึงจะถูกนะเจ้าคะ!”
เฉิงฉือประหลาดใจ มองเข้าไปในดวงตาของโจวเสาจิ่น
ดวงตาโตกระจ่างใส แวววาวและชุ่มชื้น ราวกับอัญมีณีที่แช่อยู่ในน้ำ บริสุทธิ์ไร้ซึ่งสิ่งสกปรกเจือปน
เฉิงฉือหัวเราะเบาๆ
ตนเอง…เคยชินกับการที่ต้องคิดมากมากเกินไป…นางเป็นเพียงเด็กสาวผู้หนึ่งเท่านั้น พอได้ยินอะไรมา ก็อยากเอามาเตือนเขา…
“ข้ารู้แล้ว!” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนลงโดยไม่ตั้งใจ รอยยิ้มก็เปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นมา “เหลียงกั๋วกงเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้กับข้ามาก่อนแล้ว แต่ข้าคิดว่าน้ำนี้ลึกเกินไป จึงปฏิเสธอย่างสุภาพไปแล้ว”
โจวเสาจิ่นผ่อนคลายลง ถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง
เช่นนี้ก็ดีๆ!
เฉิงฉือหัวเราะขึ้นมา
รอยยิ้มนั้นราวแสงแรกของดวงอาทิตย์ในยามเช้าที่ส่องผ่านก้อนเมฆที่มืดมิด สุกใสยิ่งนัก ทำให้โจวเสาจิ่นอดไม่ได้หัวเราะตามขึ้นมาด้วย ด้วยเหตุนี้ใบหน้าของนางจึงแต้มเอาไว้ไปด้วยรอยยิ้มตลอดทางที่เดินกลับเรือน
โจวชูจิ่นกล่าวขึ้นด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ ถึงทำให้เจ้ามีความสุขได้ขนาดนี้!”
โจวเสาจิ่นหัวเราะร่า กอดไหล่ของพี่สาวเอาไว้ พลางกล่าว “ท่านยังอยากได้อะไรอีกหรือไม่ ข้าจะทำให้ท่านทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ!”
“ไอโหยว คุณหนูรองของพวกเรากำลังจะเป็นเทพเจ้าแห่งความร่ำรวยแล้วหรือ!” โจวชูจิ่นเย้าแหย่นาง “ไม่ว่าจะอยากได้อะไรก็มีทุกอย่างเลยอย่างนั้นหรือ”
“เป็นเทพเจ้าแห่งความร่ำรวยสักครั้งหนึ่งจะเป็นไรไปล่ะเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นหยอกล้อเล่นกับพี่สาว “ข้ามีเงินเก็บส่วนตัวอยู่ตั้งสองร้อยเหลี่ยงเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นหยุดหัวเราะไม่ได้
เรือนหว่านเซียงจึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
…………………………………………………………………