โจวเสาจิ่นสองพี่น้องไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างที่ห้องนั้น
พวกนางทั้งสองคนกลับเรือนสวนดอกไม้หอมอย่างชื่นบาน
โจวชูจิ่นรื้อ**บและตู้เพื่อหาเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้น้องสาว
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างไม่เห็นด้วยว่า “เพียงแค่พบแขกผู้หนึ่งเท่านั้น ท่านพี่ไม่จำเป็นต้องทำราวกับจะได้เผชิญหน้ากับศัตรูผู้น่าเกรงขามเยี่ยงนี้ก็ได้กระมังเจ้าคะ?”
“น้องสาวของข้างดงามเช่นนี้ จะไม่ให้แต่งตัวดีๆ หน่อย ได้อย่างไรกัน” โจวชูจิ่นยังคงตั้งอกตั้งใจอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยน
ในมุมมองของโจวเสาจิ่นแล้ว พี่สาวที่มี ‘ดวงตางดงามสดใสราวน้ำในฤดูใบไม้ร่วงและเข้มแข็งราวดอกเหมย [1] ’ นั่นต่างหากถึงจะเป็นความงดงามที่แท้จริง นางหน้าแดงขึ้น ดันพี่สาวไว้พลางกล่าว “ท่านพี่ก็ต้องประทินโฉมดีๆ เช่นกันถึงจะถูกเจ้าค่ะ”
“ประทินโฉม?” โจวชูจิ่นไม่เข้าใจ
ประทินโฉมเป็นภาษาของทางเหนือ
“เอ่อ ก็คือความหมายเดียวกับแต่งตัวเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นเพิ่งรู้สึกตัวว่าเผลอกล่าวอย่างไม่ระวังออกไป ทำทีปกปิดด้วยการหยิบปิ่นปักผมที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาชิ้นหนึ่ง กล่าวอย่างร้อนรนว่า “ปิ่นปักผมชิ้นนี้สวยหรือไม่เจ้าคะ”
โจวชูจิ่นเห็นปิ่นทองชิ้นนั้นที่ยาวสามชุ่น [2] ส่วนหัวของปิ่นตั้งช่อขึ้นเป็นรูปทรงดอกติงเซียงสีม่วงสามดอก เกสรฝังด้วยทับทิมสีแดงขนาดเท่าเมล็ดข้าว ถึงแม้ว่าไม่ถึงกับเลอค่าที่สุด ทว่าก็เป็นงานฝีมือที่ประณีต สวยงามมากทีเดียว
“นี่เป็นผู้ใดมอบให้เจ้า” นางกล่าวอย่างแปลกใจ “ทำไมข้าไม่เคยเห็นมาก่อน”
โจวเสาจิ่นชะงักไปหนหนึ่ง ก้มศีรษะลงพิศมองอย่างละเอียด ร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นอย่างช่วยไม่ได้
หากว่านางจำไม่ผิด ปิ่นทองชิ้นนี้เป็นเฉิงลู่ที่มอบให้นางตอนวันเกิดของนางปีที่แล้ว
ตนเองจะหยิบอะไรก็ไม่หยิบ ดันมาหยิบปิ่นทองชิ้นนี้ได้
นางฉับพลันมีท่าทีเก้กังขึ้นมาเล็กน้อย
โจวชูจิ่นชำเลืองมองนางอย่างมีนัยหนหนึ่ง พลางกล่าว “เจ้าอายุยังน้อย ถือว่ายังเร็วไปหน่อยหากจะปักปิ่นทองชิ้นนี้ เปลี่ยนเป็นเครื่องประดับอื่นสักชิ้นดีกว่า!”
โจวเสาจิ่นพยักหน้ารัว ราวกับเจ้านกน้อยที่กำลังจิกกินเมล็ดข้าว “ข้าเชื่อฟังท่านพี่เจ้าค่ะ” จากนั้นรีบเรียกซือเซียงให้เข้ามา กล่าวขึ้น “เจ้าเอาปิ่นทองชิ้นนี้วางแยกเอาไว้ ดูว่าวันไหนที่มีงานเลี้ยง ยามต้องมอบของขวัญก็อย่าลืมช่วยข้านำออกมา”
ซือเซียงไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ทว่าก็พยักหน้ารับอย่างนอบน้อมพลางกล่าว “เจ้าค่ะ” แล้วหยิบปิ่นทองถอยกลับออกไป
สีหน้าของโจวเสาจิ่นคลายลงจากความโกรธ ยิ้มพลางเลือกที่คาดผมงาช้างแกะสลักลายดอกมะลิหนึ่งคู่ ชุดเพ่ยจื่อสีแดงลายดอกไห่ถัง [3] ดอกชบา ดอกซานฉา [4] ดอกพุดซ้อนคละกันหนึ่งตัว และกระโปรงบานสีเขียวของต้นไผ่ปักลายดอกสายน้ำผึ้งด้วยสีเขียวเข้มตรงชายกระโปรงให้โจวเสาจิ่น
ชุนหว่านนำชุดไปรีด ส่วนซือเซียงนำเครื่องประดับไปเก็บให้เรียบร้อย
เช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น โจวเสาจิ่นทำผมสามจุก สวมชุดและเครื่องประดับที่พี่สาวเลือกเอาไว้ให้นาง
ซือเซียงมองแววตาที่กระจ่างใส แก้มที่นุ่มและเนียนละเอียดของโจวเสาจิ่นในกระจกแล้ว อดไม่ได้กล่าวชมว่า “คุณหนูใหญ่ช่างมีสายตาแหลมคมยิ่งนัก! คุณหนูรองแต่งตัวเช่นนี้แล้ว ไม่เพียงงดงาม ทั้งยังมีชีวิตชีวา ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแล้วต้องชื่นชอบเป็นแน่เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นนึกถึงตัวเองในอดีต ใช่ว่าจะไม่รู้จักสีที่ท่านยายโปรดปราน ทว่าก็มักจะรู้สึกว่าสีแดงแปร๊ดหรือสีเขียวสดนั้นเป็นรสนิยมที่แย่ยิ่งนัก จึงจงใจแสร้งทำเป็นไม่รู้ สวมใส่แต่เสื้อผ้าอย่างเช่น สีเขียวอ่อนของต้นหลิว สีขาว หรือสีเขียวน้ำทะเลอย่างดื้อดึง มีหลายคราวที่ต้องพบแขกจากข้างนอกแล้วถูกท่านยายตำหนิและต่อว่า คิดแล้วนางก็รู้สึกร้อนที่ใบหน้าขึ้นมา จึงยกตัวยืนขึ้น กล่าวว่า “ข้าไปดูท่านพี่หน่อยว่าจัดเตรียมไปถึงไหนแล้ว”
เรือนสวนดอกไม้หอมแห่งนี้เดิมทีเป็นห้องหนังสือของนายท่านผู้เฒ่าจวนสี่ อยู่ติดกับเรือนไม้งาม เฉิงเก้าและคนอื่นๆ ค่อยๆ เติบโตขึ้น เมื่อถึงยามที่สองพี่น้องตระกูลโจวและลูกพี่ลูกน้องชายต้องแยกกันเพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหาแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจึงจัดการให้พวกนางสองพี่น้องมาอยู่ที่นี่ การมีสวนเล็กๆ นั้นเป็นรูปแบบปกติทั่วไปของบ้านเรือนในเจียงหนาน มีสะพานเล็กๆ ให้น้ำไหลผ่าน มีทางเดินคดเคี้ยวเงียบสงบอยู่ภายในสวน ต้นไม้ต้นหญ้าอุดมสมบูรณ์ ประดับประดาไปด้วยสีสันสดใสของดอกไม้ โจวชูจิ่นยกห้องสามห้องทางทิศใต้ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตั้งที่ดีที่สุดให้โจวเสาจิ่น ส่วนตัวเองนั้นเลือกห้องสามห้องที่อยู่ทางทิศตะวันออก
อ้อมผ่านดงต้นแปะก๊วยมาระยะหนึ่ง เหลือบตาขึ้นจะมองเห็นต้นชาสองต้นที่เลื้อยอยู่ในระนาบเดียวกันกับชายคาสูง ที่นั่นคือห้องปีกตะวันออกที่โจวชูจิ่นอาศัยอยู่
โจวเสาจิ่นก้าวเข้าไปด้วยฝีเท้าที่เร็วและเบา
โจวชูจิ่นกำลังรับมื้อเช้าอยู่ พอเห็นนางก็ยิ้มพลางกล่าวขึ้นว่า “ยังเช้าอยู่เลย มาแล้วหรือ เจ้ารับมื้อเช้ามาแล้วหรือยัง อยากกินอะไรเพิ่มที่นี่หรือไม่” จากนั้นเอ่ยสั่งตงหว่านว่า “ให้ห้องครัวเพิ่มกับข้าวสองสามอย่างมาให้คุณหนูรอง!”
โจวเสาจิ่นนั้นเนื่องด้วยอาการป่วยจึงละเว้นธรรมเนียมการคารวะทำความเคารพ หลายวันมานี้โจวชูจิ่นจึงไม่ได้รับมื้อเช้าพร้อมกันกับน้องสาว
ตงหว่านยิ้มกำลังจะออกจากห้องโถง โจวเสาจิ่นกลับมองเห็นว่าบนโต๊ะนั้นมีเพียงโจ๊กข้าวสีขาวหนึ่งชามกับผักเครื่องเคียงธรรมดาเท่านั้น นึกถึงผักสลัดน้ำและผักกวางตุ้งที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเองแล้ว ก็อดไม่ได้นิ่งเงียบไปสักพักหนึ่ง
สถานะทางการเงินของครอบครัวที่ผ่านมาไม่แย่นัก อีกทั้งบิดาก็รักพวกนางสองพี่น้องยิ่ง นอกจากค่าใช้จ่ายประจำวันแล้ว ในทุกๆ ปียังให้เงินพิเศษแก่พวกนางสองพี่น้องสองถึงสามร้อยเหลี่ยงเป็นการส่วนตัวสำหรับเป็นค่าอั่งเปา ที่ผ่านมานางไม่เคยให้ความสำคัญถึงเรื่องพวกนี้เลย น่าจะเป็นตอนหลังจากที่เกิดเรื่องของนางแล้ว ท่านพ่อไม่สนใจนางอีก พี่เขยถึงได้ช่วยเป็นพ่อสื่อให้นาง ได้ลงเอยแต่งงานกับตระกูลหลิน
ยามพี่สาวแต่งงานออกเรือนนั้นมีสินเดิมฝั่งมารดาที่เรียกได้ว่าต้องใช้คนหามเกี้ยวสินสอดแดงยาวเป็นสิบลี้ [5] ทั้งของขวัญจากท่านยาย ท่านป้าใหญ่เหมี่ยนและคนอื่นๆ ทว่านางนั้นกลับไม่มีอะไรเลยสักอย่าง หลังจากที่พี่สาวและพี่เขยแต่งงานกันแล้ว พี่สาวแบ่งสินเดิมของตัวเองครึ่งหนึ่งให้นาง พี่เขยนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นบุตรชายสายตรงของตระกูลเลี่ยว ทว่าทรัพย์สินเงินทองเป็นของคลังกองกลาง ตนเองนั้นยังคงอาศัยเงินจากคลังกองกลางและเบี้ยรายเดือนจากราชสำนักสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายประจำวัน ไม่ได้มีเงินเก็บส่วนตัวมากนัก ในปีเดียวกันนั้นยังกู้ยืมเงินมาหนึ่งพันเหลี่ยงรวมกันเป็นสามพันเหลี่ยง มอบให้นางทั้งหมดเพื่อเป็นเงินสำหรับติดตัวเจ้าสาวยามออกเรือน ถึงแม้ว่าในภายหลังหลินซื่อเซิ่งชักชวนพี่เขยให้ทำการค้าขายกันครั้งหนึ่ง จนสามารถคืนหนี้ก้อนนี้จนหมดแล้ว ทว่าก็ถือว่าตนเองนั้นเป็นหนี้ต่อพี่สาวและพี่เขยอย่างใหญ่หลวง
ขอบตาของนางชื้นขึ้น ร้องเรียกตงหว่านเอาไว้ “ไม่ต้องแล้ว เจ้าตักโจ๊กครึ่งถ้วยมาให้ข้าก็พอ”
ตงหว่านตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
โจวชูจิ่นทราบมาตลอดว่าน้องสาวของตัวเองผู้นี้เป็นคนอ่อนไหวยิ่ง รู้ว่านางคิดมากอีกแล้ว ก็อดไม่ได้ยิ้มพลางเอ่ยถามโจวเสาจิ่นว่า “เจ้ากำลังคิดมากอะไรอีกแล้วหรือ ข้านั้นเป็นเพราะว่าบนโต๊ะอาหารของท่านยายยังไม่มีผักแบบนี้ ถึงได้หลบมากินเช่นนี้ ทว่ากับเจ้านั้นไม่เหมือนกัน เจ้าป่วยอยู่ ทำให้ไม่อยากอาหาร จึงต้องกินพวกผักสดบ้างเพื่อบำรุงร่างกาย ไม่ได้มากเกินไปเลย!”
โจวเสาจิ่นไม่เชื่อ
นางเบิกตาโตมองพี่สาว ท่าทางจริงจังเป็นอย่างมาก กล่าวขึ้นว่า “อาการป่วยของข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่กินอะไร ข้าก็จะกินอันนั้นด้วยเจ้าค่ะ!”
โจวชูจิ่นอยากจะคะยั้นคะยอนางอีกสักประโยคสองประโยค แต่เมื่อคิดพิจารณาแล้วอีกสองปีน้องสาวก็จะถึงเวลาต้องพูดคุยเรื่องแต่งงานแล้ว ยามอยู่บ้านก็ไม่มีใครว่าอะไรนางได้ ทว่าเมื่อแต่งงานออกเรือนไปแล้ว เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ต้องระมัดระวังไว้บ้าง ผู้อื่นจะว่าเอาได้ เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ท่าทีที่เหมือนว่าอยากจะเอ่ยอะไรสักอย่างนั้นจึงชะงักไป แต่ก็ไม่วายออกคำสั่งตงหว่านไปว่า “ให้ห้องครัวทำสือจิ่นโต้วฝูเลาให้คุณหนูรองถ้วยหนึ่ง”
ตงหว่านยิ้มพลางออกไปจากห้องโถง
โจวเสาจิ่นหันไปยิ้มร่าให้พี่สาวพลางกล่าวขอบคุณ แล้วนั่งลงตรงด้านหน้าของโต๊ะกลม
รับมื้อเช้าเสร็จ รอโจวชูจิ่นล้างหน้าและแต่งตัวจนเรียบร้อย นางทำอย่างที่เคยทำเหมือนเช่นเมื่อกาลก่อน คือจูงมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้ เตรียมเดินไปหาท่านยายพร้อมกัน
ในใจของโจวเสาจิ่นรู้สึกแปลกอยู่หลายส่วน
นางนั้นคุ้นเคยกับความสง่างามและดูสูงส่งของโจวชูจิ่น เห็นพี่สาวที่มีอายุเพียงสิบแปดปี ใบหน้าอ่อนเยาว์และบอบบางอยู่หลายส่วน นางเกิดความรู้สึกทั้งเคารพยำเกรง และยอมรับนับถือออกมาจากใจอย่างช่วยไม่ได้
โจวเสาจิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง แล้วถึงค่อยยื่นมือออกไปคว้ามือของพี่สาวเอาไว้ เดินเคียงข้างโจวชูจิ่นไปยังเรือนไม้งาม
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนนั้น หากว่าอากาศดี ตอนเช้าหลังจากตื่นนอนแล้วจะเดินเล่นอยู่ในสวน
ยามที่พวกนางไปถึงนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเพิ่งกลับมาจากเดินเล่น กำลังอาบน้ำผลัดเสื้อผ้า ซื่อเอ๋อร์และสาวรับใช้อีกหลายคนกำลังจัดสำรับเช้าอยู่ในห้องโถง
โจวชูจิ่นก้าวขยับไปด้านหน้าเพื่อช่วยเหลือ
โจวเสาจิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
เหมือนกับว่าที่ผ่านมานั้นนางไม่เคยวางตะเกียบให้กับผู้ใดเลย ความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในหัว นางตามเข้าไปอย่างเชื่อฟัง ช่วยจัดถ้วยชามให้ท่านยายโดยทำเลียนแบบตามคนอื่นๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนออกมาจากห้องด้านใน เห็นพวกนางสองพี่น้องก็ยินดียิ่ง ถามด้วยคำถามเดียวกันกับโจวเสาจิ่นว่า “ยังเช้าอยู่เลย มากันแล้วหรือ รับมื้อเช้ากันแล้วหรือยัง” เอ่ยถามโจวเสาจิ่นอีกว่า “เห็นสีหน้าท่าทางเจ้าเยี่ยงนี้ อาการป่วยคงจะดีขึ้นมากแล้ว?”
“ขอบคุณท่านยายที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นขยับเข้าไปประคองท่านยายอย่างนอบน้อม พลางกล่าว “ข้าเกือบจะหายเป็นปกติแล้วเจ้าค่ะ จึงอยากมาคารวะยามเช้าท่านยาย เลยออกมากับท่านพี่ไวขึ้นหน่อย รับมื้อเช้ากันมาเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มพลางพนักหน้า เดินเข้าไปในห้องพระขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในห้องด้านข้าง
โจวเสาจิ่นขยับขึ้นไปด้านหน้าช่วยท่านยายหยิบจับธูปด้วยท่าทางที่คล่องแคล่ว
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกประหลาดใจยิ่ง ยิ้มพลางกล่าว “ไม่คิดมาก่อนว่าเสาจิ่นของเราทำเรื่องพวกนี้เป็นด้วย!”
โจวเสาจิ่นเองก็ตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย
ในความทรงจำของนาง…ทุกๆ เช้านางเองก็จะจุดธูปสามดอกสำหรับไหว้พระ…ความเคยชินเหล่านั้นคงจะฝังอยู่ในกระดูกของนางไปแล้ว จึงมักแสดงออกมาในยามที่ไม่รู้ตัว
เหมือนกับตอนที่นางเจอเฉิงอี้จะนึกถึงลักษณะที่สิ้นหวังและไม่มีความสุขของเขาหลังจากที่โตขึ้นแล้ว หรือยามที่เห็นพี่สาวก็มักจะนึกถึงลักษณะที่สง่าผ่าเผยของนางในวัยกลางคน
นางลูบศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า โยนความคิดนี้ทิ้งไว้ด้านหลัง รอจนกระทั่งฮูหยินผู้เฒ่ากวนโค้งคำนับ จึงประคองตัวฮูหยินผู้เฒ่ากวนขึ้น ช่วยนางปักธูปเทียน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจูงโจวเสาจิ่นออกจากห้องพระเล็ก
สำรับเช้าตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว โจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นกินเค้กข้าวเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากวนหนึ่งชิ้น
ทุกคนย้ายไปนั่งที่ห้องรับแขก
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสรงน้ำพระพุทธเจ้า [6] แล้ว เจ้าช่วยข้าคัดลอกไตรปิฎกสักสองสามหน้าสำหรับสวดสรรเสริญพระพุทธองค์ก็แล้วกัน!”
ถึงแม้ว่าท่านยายจะมาจากครอบครัวชนชั้นกลางที่มีการศึกษา ทว่าก็มาจากเมืองจิงโจวแห่งเจียงเป่ย รู้จักตัวหนังสือไม่มากนัก ให้ดูสมุดบัญชีภายในจวนยังพอได้ แต่ถ้าเป็นอย่างอื่นก็จะไม่เพียงพอแล้ว ส่วนฮูหยินใหญ่เหมี่ยนนั้น ถึงแม้ว่าจะเชี่ยวชาญด้านการวาดเขียน ทว่าก็ต้องดูแลความเรียบร้อยภายในจวน เรื่องจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ ก็มากแล้ว ทั้งยังต้องดูแลบุตร ไม่อาจหาเวลามาช่วยได้ การคัดลอกไตรปิฎกนี้ปกติจะตกเป็นหน้าที่ของโจวชูจิ่น ทว่านี่ถือเป็นครั้งแรกที่ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการให้โจวเสาจิ่นช่วยคัดลอกไตรปิฎกให้
ทั้งโจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นต่างก็ประหลาดใจยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มพลางกล่าว “ในบ้านมีเรื่องให้ต้องทำมาก ชูจิ่นเจ้าต้องช่วยป้าของเจ้ารับผิดชอบให้มากหน่อย ส่วนเรื่องคัดลอกไตรปิฎก มอบหมายให้เสาจิ่นนั้นดีแล้ว”
โจวเสาจิ่นพลันเข้าใจความหมาย
หลังจากผ่านพ้นวันสรงน้ำพระพุทธเจ้าในวันที่แปดเดือนสี่แล้ว ก็ตามติดมาด้วยงานเฉลิมฉลองวันเกิดของท่านบรรพบุรุษเฉิงซวี่แห่งจวนสอง จากนั้นก็ต้องเริ่มเตรียมของขวัญสำหรับเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง สำหรับหญิงสาวที่กำลังรอออกเรือนเช่นโจวชูจิ่นแล้ว ถือว่าเป็นโอกาสอันดียิ่งที่จะได้เรียนรู้การดูแลจวน ที่ปกติไม่มีเวลาว่างนัก
โจวชูจิ่นเองก็เข้าใจความหมายนั้นแล้ว
นางหน้าแดง ก้มหน้าก้มตาลง
โจวเสาจิ่นหัวเราะคิก ตอบเสียงสูงว่า “เจ้าค่ะ”
บ่าวรับใช้ในห้องล้วนมองไปยังโจวชูจิ่น ยิ้มน้อยๆ ออกมาอย่างยินดี
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนมาถึงแล้ว นางกำลังสนทนาอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่ากวนเกี่ยวกับเรื่องการให้การต้อนรับฮูหยินอู๋ เพิ่งจะสนทนากันได้ไม่กี่ประโยค เฉิงเก้าและเฉิงอี้สองพี่น้องก็มาคารวะยามเช้าฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่ากวนคิดแล้วคิดอีก กล่าวกับสองพี่น้องตระกูลโจวว่า “พวกเจ้าเข้าไปรอข้าอยู่ที่ห้องด้านในก่อน”
โจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นเข้าใจว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนมีเรื่องต้องการสนทนากับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนแม่ลูกเป็นการส่วนตัว จึงยิ้มพากันเข้าไปที่ห้องด้านใน
ครู่เดียว ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมาจากห้องรับแขก ในเสียงที่ไม่ค่อยชัดเจนนั้นยังสามารถได้ยินถ้อยคำทำนอง ‘น้องสาว’ และ ‘พี่สาว’
โจวชูจิ่นยิ้มพลางเอ่ยย้ำกับโจวเสาจิ่นว่า “น้องชายเก้าถามถึงเจ้าอยู่หลายหน หากว่ามีโอกาสได้พบน้องชายเก้า เจ้าอย่าลืมกล่าวขอบคุณเขาสักหน่อย”
โจวเสาจิ่นตอบรับ
ผ่านไปราวหนึ่งเค่อ [7] ระหว่างที่ให้ซื่อเอ๋อร์รอแขกอยู่นั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็กลับเข้าไปที่ห้องด้านใน
——
[1] ดอกเหมย (梅) เป็นดอกที่สามารถเบ่งบานได้แม้ในฤดูหนาว
[2] ชุ่น (寸) หน่วยความยาว หนึ่งชุ่นเท่ากับ 3.333 เซนติเมตรโดยประมาณ
[3] ดอกไห่ถัง (海棠) หรือ Chinese Flowering Crabapple เป็นพืชตระกูลแอปเปิล มีดอกสีขาว ชมพูหรือแดง
[4] ดอกซานฉา (山茶) ดอกคาเมลเลีย
[5] ลี้ (里) หน่วยระยะทาง หนึ่งลี้เท่ากับครึ่งกิโลเมตร
[6] วันสรงน้ำพระพุทธเจ้า (浴佛节) หรือที่เรารู้จักกันว่า วันวิสาขบูชา (佛诞日 แปลตรงตามตัวอักษรว่า วันประสูติของพระพุทธเจ้า) มีความแตกต่างกันเรื่องวันที่เล็กน้อย โดยวันสรงน้ำพระพุทธเจ้าของจีนจะตรงกับวันที่แปดเดือนสี่ของปฏิทินจีน
[7] เค่อ (刻) หน่วยเวลา เท่ากับ สิบห้านาที