ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 8 อรุณสวัสดิ์

โจวเสาจิ่นสองพี่น้องไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างที่ห้องนั้น  

 

 

พวกนางทั้งสองคนกลับเรือนสวนดอกไม้หอมอย่างชื่นบาน  

 

 

โจวชูจิ่นรื้อ**บและตู้เพื่อหาเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้น้องสาว  

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างไม่เห็นด้วยว่า “เพียงแค่พบแขกผู้หนึ่งเท่านั้น ท่านพี่ไม่จำเป็นต้องทำราวกับจะได้เผชิญหน้ากับศัตรูผู้น่าเกรงขามเยี่ยงนี้ก็ได้กระมังเจ้าคะ?”  

 

 

“น้องสาวของข้างดงามเช่นนี้ จะไม่ให้แต่งตัวดีๆ หน่อย ได้อย่างไรกัน” โจวชูจิ่นยังคงตั้งอกตั้งใจอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยน  

 

 

ในมุมมองของโจวเสาจิ่นแล้ว พี่สาวที่มี ‘ดวงตางดงามสดใสราวน้ำในฤดูใบไม้ร่วงและเข้มแข็งราวดอกเหมย  [1]  ’ นั่นต่างหากถึงจะเป็นความงดงามที่แท้จริง นางหน้าแดงขึ้น ดันพี่สาวไว้พลางกล่าว “ท่านพี่ก็ต้องประทินโฉมดีๆ เช่นกันถึงจะถูกเจ้าค่ะ”  

 

 

“ประทินโฉม?” โจวชูจิ่นไม่เข้าใจ  

 

 

ประทินโฉมเป็นภาษาของทางเหนือ  

 

 

“เอ่อ ก็คือความหมายเดียวกับแต่งตัวเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นเพิ่งรู้สึกตัวว่าเผลอกล่าวอย่างไม่ระวังออกไป ทำทีปกปิดด้วยการหยิบปิ่นปักผมที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาชิ้นหนึ่ง กล่าวอย่างร้อนรนว่า “ปิ่นปักผมชิ้นนี้สวยหรือไม่เจ้าคะ”  

 

 

โจวชูจิ่นเห็นปิ่นทองชิ้นนั้นที่ยาวสามชุ่น  [2]  ส่วนหัวของปิ่นตั้งช่อขึ้นเป็นรูปทรงดอกติงเซียงสีม่วงสามดอก เกสรฝังด้วยทับทิมสีแดงขนาดเท่าเมล็ดข้าว ถึงแม้ว่าไม่ถึงกับเลอค่าที่สุด ทว่าก็เป็นงานฝีมือที่ประณีต สวยงามมากทีเดียว  

 

 

“นี่เป็นผู้ใดมอบให้เจ้า” นางกล่าวอย่างแปลกใจ “ทำไมข้าไม่เคยเห็นมาก่อน”  

 

 

โจวเสาจิ่นชะงักไปหนหนึ่ง ก้มศีรษะลงพิศมองอย่างละเอียด ร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นอย่างช่วยไม่ได้  

 

 

หากว่านางจำไม่ผิด ปิ่นทองชิ้นนี้เป็นเฉิงลู่ที่มอบให้นางตอนวันเกิดของนางปีที่แล้ว  

 

 

ตนเองจะหยิบอะไรก็ไม่หยิบ ดันมาหยิบปิ่นทองชิ้นนี้ได้  

 

 

นางฉับพลันมีท่าทีเก้กังขึ้นมาเล็กน้อย  

 

 

โจวชูจิ่นชำเลืองมองนางอย่างมีนัยหนหนึ่ง พลางกล่าว “เจ้าอายุยังน้อย ถือว่ายังเร็วไปหน่อยหากจะปักปิ่นทองชิ้นนี้ เปลี่ยนเป็นเครื่องประดับอื่นสักชิ้นดีกว่า!”  

 

 

โจวเสาจิ่นพยักหน้ารัว ราวกับเจ้านกน้อยที่กำลังจิกกินเมล็ดข้าว “ข้าเชื่อฟังท่านพี่เจ้าค่ะ” จากนั้นรีบเรียกซือเซียงให้เข้ามา กล่าวขึ้น “เจ้าเอาปิ่นทองชิ้นนี้วางแยกเอาไว้ ดูว่าวันไหนที่มีงานเลี้ยง ยามต้องมอบของขวัญก็อย่าลืมช่วยข้านำออกมา”  

 

 

ซือเซียงไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ทว่าก็พยักหน้ารับอย่างนอบน้อมพลางกล่าว “เจ้าค่ะ” แล้วหยิบปิ่นทองถอยกลับออกไป  

 

 

สีหน้าของโจวเสาจิ่นคลายลงจากความโกรธ ยิ้มพลางเลือกที่คาดผมงาช้างแกะสลักลายดอกมะลิหนึ่งคู่ ชุดเพ่ยจื่อสีแดงลายดอกไห่ถัง  [3]  ดอกชบา ดอกซานฉา  [4]  ดอกพุดซ้อนคละกันหนึ่งตัว และกระโปรงบานสีเขียวของต้นไผ่ปักลายดอกสายน้ำผึ้งด้วยสีเขียวเข้มตรงชายกระโปรงให้โจวเสาจิ่น  

 

 

ชุนหว่านนำชุดไปรีด ส่วนซือเซียงนำเครื่องประดับไปเก็บให้เรียบร้อย  

 

 

เช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น โจวเสาจิ่นทำผมสามจุก สวมชุดและเครื่องประดับที่พี่สาวเลือกเอาไว้ให้นาง  

 

 

ซือเซียงมองแววตาที่กระจ่างใส แก้มที่นุ่มและเนียนละเอียดของโจวเสาจิ่นในกระจกแล้ว อดไม่ได้กล่าวชมว่า “คุณหนูใหญ่ช่างมีสายตาแหลมคมยิ่งนัก! คุณหนูรองแต่งตัวเช่นนี้แล้ว ไม่เพียงงดงาม ทั้งยังมีชีวิตชีวา ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแล้วต้องชื่นชอบเป็นแน่เจ้าค่ะ”  

 

 

โจวเสาจิ่นนึกถึงตัวเองในอดีต ใช่ว่าจะไม่รู้จักสีที่ท่านยายโปรดปราน ทว่าก็มักจะรู้สึกว่าสีแดงแปร๊ดหรือสีเขียวสดนั้นเป็นรสนิยมที่แย่ยิ่งนัก จึงจงใจแสร้งทำเป็นไม่รู้ สวมใส่แต่เสื้อผ้าอย่างเช่น สีเขียวอ่อนของต้นหลิว สีขาว หรือสีเขียวน้ำทะเลอย่างดื้อดึง มีหลายคราวที่ต้องพบแขกจากข้างนอกแล้วถูกท่านยายตำหนิและต่อว่า คิดแล้วนางก็รู้สึกร้อนที่ใบหน้าขึ้นมา จึงยกตัวยืนขึ้น กล่าวว่า “ข้าไปดูท่านพี่หน่อยว่าจัดเตรียมไปถึงไหนแล้ว”  

 

 

เรือนสวนดอกไม้หอมแห่งนี้เดิมทีเป็นห้องหนังสือของนายท่านผู้เฒ่าจวนสี่ อยู่ติดกับเรือนไม้งาม เฉิงเก้าและคนอื่นๆ ค่อยๆ เติบโตขึ้น เมื่อถึงยามที่สองพี่น้องตระกูลโจวและลูกพี่ลูกน้องชายต้องแยกกันเพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหาแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจึงจัดการให้พวกนางสองพี่น้องมาอยู่ที่นี่ การมีสวนเล็กๆ นั้นเป็นรูปแบบปกติทั่วไปของบ้านเรือนในเจียงหนาน มีสะพานเล็กๆ ให้น้ำไหลผ่าน มีทางเดินคดเคี้ยวเงียบสงบอยู่ภายในสวน ต้นไม้ต้นหญ้าอุดมสมบูรณ์ ประดับประดาไปด้วยสีสันสดใสของดอกไม้ โจวชูจิ่นยกห้องสามห้องทางทิศใต้ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตั้งที่ดีที่สุดให้โจวเสาจิ่น ส่วนตัวเองนั้นเลือกห้องสามห้องที่อยู่ทางทิศตะวันออก  

 

 

อ้อมผ่านดงต้นแปะก๊วยมาระยะหนึ่ง เหลือบตาขึ้นจะมองเห็นต้นชาสองต้นที่เลื้อยอยู่ในระนาบเดียวกันกับชายคาสูง ที่นั่นคือห้องปีกตะวันออกที่โจวชูจิ่นอาศัยอยู่  

 

 

โจวเสาจิ่นก้าวเข้าไปด้วยฝีเท้าที่เร็วและเบา  

 

 

โจวชูจิ่นกำลังรับมื้อเช้าอยู่ พอเห็นนางก็ยิ้มพลางกล่าวขึ้นว่า “ยังเช้าอยู่เลย มาแล้วหรือ เจ้ารับมื้อเช้ามาแล้วหรือยัง อยากกินอะไรเพิ่มที่นี่หรือไม่” จากนั้นเอ่ยสั่งตงหว่านว่า “ให้ห้องครัวเพิ่มกับข้าวสองสามอย่างมาให้คุณหนูรอง!”  

 

 

โจวเสาจิ่นนั้นเนื่องด้วยอาการป่วยจึงละเว้นธรรมเนียมการคารวะทำความเคารพ หลายวันมานี้โจวชูจิ่นจึงไม่ได้รับมื้อเช้าพร้อมกันกับน้องสาว  

 

 

ตงหว่านยิ้มกำลังจะออกจากห้องโถง โจวเสาจิ่นกลับมองเห็นว่าบนโต๊ะนั้นมีเพียงโจ๊กข้าวสีขาวหนึ่งชามกับผักเครื่องเคียงธรรมดาเท่านั้น นึกถึงผักสลัดน้ำและผักกวางตุ้งที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเองแล้ว ก็อดไม่ได้นิ่งเงียบไปสักพักหนึ่ง  

 

 

สถานะทางการเงินของครอบครัวที่ผ่านมาไม่แย่นัก อีกทั้งบิดาก็รักพวกนางสองพี่น้องยิ่ง นอกจากค่าใช้จ่ายประจำวันแล้ว ในทุกๆ ปียังให้เงินพิเศษแก่พวกนางสองพี่น้องสองถึงสามร้อยเหลี่ยงเป็นการส่วนตัวสำหรับเป็นค่าอั่งเปา ที่ผ่านมานางไม่เคยให้ความสำคัญถึงเรื่องพวกนี้เลย น่าจะเป็นตอนหลังจากที่เกิดเรื่องของนางแล้ว ท่านพ่อไม่สนใจนางอีก พี่เขยถึงได้ช่วยเป็นพ่อสื่อให้นาง ได้ลงเอยแต่งงานกับตระกูลหลิน  

 

 

ยามพี่สาวแต่งงานออกเรือนนั้นมีสินเดิมฝั่งมารดาที่เรียกได้ว่าต้องใช้คนหามเกี้ยวสินสอดแดงยาวเป็นสิบลี้  [5]  ทั้งของขวัญจากท่านยาย ท่านป้าใหญ่เหมี่ยนและคนอื่นๆ ทว่านางนั้นกลับไม่มีอะไรเลยสักอย่าง หลังจากที่พี่สาวและพี่เขยแต่งงานกันแล้ว พี่สาวแบ่งสินเดิมของตัวเองครึ่งหนึ่งให้นาง พี่เขยนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นบุตรชายสายตรงของตระกูลเลี่ยว ทว่าทรัพย์สินเงินทองเป็นของคลังกองกลาง ตนเองนั้นยังคงอาศัยเงินจากคลังกองกลางและเบี้ยรายเดือนจากราชสำนักสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายประจำวัน ไม่ได้มีเงินเก็บส่วนตัวมากนัก ในปีเดียวกันนั้นยังกู้ยืมเงินมาหนึ่งพันเหลี่ยงรวมกันเป็นสามพันเหลี่ยง มอบให้นางทั้งหมดเพื่อเป็นเงินสำหรับติดตัวเจ้าสาวยามออกเรือน ถึงแม้ว่าในภายหลังหลินซื่อเซิ่งชักชวนพี่เขยให้ทำการค้าขายกันครั้งหนึ่ง จนสามารถคืนหนี้ก้อนนี้จนหมดแล้ว ทว่าก็ถือว่าตนเองนั้นเป็นหนี้ต่อพี่สาวและพี่เขยอย่างใหญ่หลวง  

 

 

ขอบตาของนางชื้นขึ้น ร้องเรียกตงหว่านเอาไว้ “ไม่ต้องแล้ว เจ้าตักโจ๊กครึ่งถ้วยมาให้ข้าก็พอ”  

 

 

ตงหว่านตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก  

 

 

โจวชูจิ่นทราบมาตลอดว่าน้องสาวของตัวเองผู้นี้เป็นคนอ่อนไหวยิ่ง รู้ว่านางคิดมากอีกแล้ว ก็อดไม่ได้ยิ้มพลางเอ่ยถามโจวเสาจิ่นว่า “เจ้ากำลังคิดมากอะไรอีกแล้วหรือ ข้านั้นเป็นเพราะว่าบนโต๊ะอาหารของท่านยายยังไม่มีผักแบบนี้ ถึงได้หลบมากินเช่นนี้ ทว่ากับเจ้านั้นไม่เหมือนกัน เจ้าป่วยอยู่ ทำให้ไม่อยากอาหาร จึงต้องกินพวกผักสดบ้างเพื่อบำรุงร่างกาย ไม่ได้มากเกินไปเลย!”  

 

 

โจวเสาจิ่นไม่เชื่อ  

 

 

นางเบิกตาโตมองพี่สาว ท่าทางจริงจังเป็นอย่างมาก กล่าวขึ้นว่า “อาการป่วยของข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่กินอะไร ข้าก็จะกินอันนั้นด้วยเจ้าค่ะ!”  

 

 

โจวชูจิ่นอยากจะคะยั้นคะยอนางอีกสักประโยคสองประโยค แต่เมื่อคิดพิจารณาแล้วอีกสองปีน้องสาวก็จะถึงเวลาต้องพูดคุยเรื่องแต่งงานแล้ว ยามอยู่บ้านก็ไม่มีใครว่าอะไรนางได้ ทว่าเมื่อแต่งงานออกเรือนไปแล้ว เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ต้องระมัดระวังไว้บ้าง ผู้อื่นจะว่าเอาได้ เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ท่าทีที่เหมือนว่าอยากจะเอ่ยอะไรสักอย่างนั้นจึงชะงักไป แต่ก็ไม่วายออกคำสั่งตงหว่านไปว่า “ให้ห้องครัวทำสือจิ่นโต้วฝูเลาให้คุณหนูรองถ้วยหนึ่ง”  

 

 

ตงหว่านยิ้มพลางออกไปจากห้องโถง  

 

 

โจวเสาจิ่นหันไปยิ้มร่าให้พี่สาวพลางกล่าวขอบคุณ แล้วนั่งลงตรงด้านหน้าของโต๊ะกลม  

 

 

รับมื้อเช้าเสร็จ รอโจวชูจิ่นล้างหน้าและแต่งตัวจนเรียบร้อย นางทำอย่างที่เคยทำเหมือนเช่นเมื่อกาลก่อน คือจูงมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้ เตรียมเดินไปหาท่านยายพร้อมกัน  

 

 

ในใจของโจวเสาจิ่นรู้สึกแปลกอยู่หลายส่วน  

 

 

นางนั้นคุ้นเคยกับความสง่างามและดูสูงส่งของโจวชูจิ่น เห็นพี่สาวที่มีอายุเพียงสิบแปดปี ใบหน้าอ่อนเยาว์และบอบบางอยู่หลายส่วน นางเกิดความรู้สึกทั้งเคารพยำเกรง และยอมรับนับถือออกมาจากใจอย่างช่วยไม่ได้  

 

 

โจวเสาจิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง แล้วถึงค่อยยื่นมือออกไปคว้ามือของพี่สาวเอาไว้ เดินเคียงข้างโจวชูจิ่นไปยังเรือนไม้งาม  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนนั้น หากว่าอากาศดี ตอนเช้าหลังจากตื่นนอนแล้วจะเดินเล่นอยู่ในสวน  

 

 

ยามที่พวกนางไปถึงนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเพิ่งกลับมาจากเดินเล่น กำลังอาบน้ำผลัดเสื้อผ้า ซื่อเอ๋อร์และสาวรับใช้อีกหลายคนกำลังจัดสำรับเช้าอยู่ในห้องโถง  

 

 

โจวชูจิ่นก้าวขยับไปด้านหน้าเพื่อช่วยเหลือ  

 

 

โจวเสาจิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง  

 

 

เหมือนกับว่าที่ผ่านมานั้นนางไม่เคยวางตะเกียบให้กับผู้ใดเลย ความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในหัว นางตามเข้าไปอย่างเชื่อฟัง ช่วยจัดถ้วยชามให้ท่านยายโดยทำเลียนแบบตามคนอื่นๆ  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนออกมาจากห้องด้านใน เห็นพวกนางสองพี่น้องก็ยินดียิ่ง ถามด้วยคำถามเดียวกันกับโจวเสาจิ่นว่า “ยังเช้าอยู่เลย มากันแล้วหรือ รับมื้อเช้ากันแล้วหรือยัง” เอ่ยถามโจวเสาจิ่นอีกว่า “เห็นสีหน้าท่าทางเจ้าเยี่ยงนี้ อาการป่วยคงจะดีขึ้นมากแล้ว?”  

 

 

“ขอบคุณท่านยายที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นขยับเข้าไปประคองท่านยายอย่างนอบน้อม พลางกล่าว “ข้าเกือบจะหายเป็นปกติแล้วเจ้าค่ะ จึงอยากมาคารวะยามเช้าท่านยาย เลยออกมากับท่านพี่ไวขึ้นหน่อย รับมื้อเช้ากันมาเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มพลางพนักหน้า เดินเข้าไปในห้องพระขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในห้องด้านข้าง  

 

 

โจวเสาจิ่นขยับขึ้นไปด้านหน้าช่วยท่านยายหยิบจับธูปด้วยท่าทางที่คล่องแคล่ว  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกประหลาดใจยิ่ง ยิ้มพลางกล่าว “ไม่คิดมาก่อนว่าเสาจิ่นของเราทำเรื่องพวกนี้เป็นด้วย!”  

 

 

โจวเสาจิ่นเองก็ตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย  

 

 

ในความทรงจำของนาง…ทุกๆ เช้านางเองก็จะจุดธูปสามดอกสำหรับไหว้พระ…ความเคยชินเหล่านั้นคงจะฝังอยู่ในกระดูกของนางไปแล้ว จึงมักแสดงออกมาในยามที่ไม่รู้ตัว  

 

 

เหมือนกับตอนที่นางเจอเฉิงอี้จะนึกถึงลักษณะที่สิ้นหวังและไม่มีความสุขของเขาหลังจากที่โตขึ้นแล้ว หรือยามที่เห็นพี่สาวก็มักจะนึกถึงลักษณะที่สง่าผ่าเผยของนางในวัยกลางคน  

 

 

นางลูบศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า โยนความคิดนี้ทิ้งไว้ด้านหลัง รอจนกระทั่งฮูหยินผู้เฒ่ากวนโค้งคำนับ จึงประคองตัวฮูหยินผู้เฒ่ากวนขึ้น ช่วยนางปักธูปเทียน  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจูงโจวเสาจิ่นออกจากห้องพระเล็ก  

 

 

สำรับเช้าตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว โจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นกินเค้กข้าวเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากวนหนึ่งชิ้น  

 

 

ทุกคนย้ายไปนั่งที่ห้องรับแขก  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสรงน้ำพระพุทธเจ้า  [6]  แล้ว เจ้าช่วยข้าคัดลอกไตรปิฎกสักสองสามหน้าสำหรับสวดสรรเสริญพระพุทธองค์ก็แล้วกัน!”  

 

 

ถึงแม้ว่าท่านยายจะมาจากครอบครัวชนชั้นกลางที่มีการศึกษา ทว่าก็มาจากเมืองจิงโจวแห่งเจียงเป่ย รู้จักตัวหนังสือไม่มากนัก ให้ดูสมุดบัญชีภายในจวนยังพอได้ แต่ถ้าเป็นอย่างอื่นก็จะไม่เพียงพอแล้ว ส่วนฮูหยินใหญ่เหมี่ยนนั้น ถึงแม้ว่าจะเชี่ยวชาญด้านการวาดเขียน ทว่าก็ต้องดูแลความเรียบร้อยภายในจวน เรื่องจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ ก็มากแล้ว ทั้งยังต้องดูแลบุตร ไม่อาจหาเวลามาช่วยได้ การคัดลอกไตรปิฎกนี้ปกติจะตกเป็นหน้าที่ของโจวชูจิ่น ทว่านี่ถือเป็นครั้งแรกที่ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการให้โจวเสาจิ่นช่วยคัดลอกไตรปิฎกให้  

 

 

ทั้งโจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นต่างก็ประหลาดใจยิ่ง  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มพลางกล่าว “ในบ้านมีเรื่องให้ต้องทำมาก ชูจิ่นเจ้าต้องช่วยป้าของเจ้ารับผิดชอบให้มากหน่อย ส่วนเรื่องคัดลอกไตรปิฎก มอบหมายให้เสาจิ่นนั้นดีแล้ว”  

 

 

โจวเสาจิ่นพลันเข้าใจความหมาย  

 

 

หลังจากผ่านพ้นวันสรงน้ำพระพุทธเจ้าในวันที่แปดเดือนสี่แล้ว ก็ตามติดมาด้วยงานเฉลิมฉลองวันเกิดของท่านบรรพบุรุษเฉิงซวี่แห่งจวนสอง จากนั้นก็ต้องเริ่มเตรียมของขวัญสำหรับเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง สำหรับหญิงสาวที่กำลังรอออกเรือนเช่นโจวชูจิ่นแล้ว ถือว่าเป็นโอกาสอันดียิ่งที่จะได้เรียนรู้การดูแลจวน ที่ปกติไม่มีเวลาว่างนัก  

 

 

โจวชูจิ่นเองก็เข้าใจความหมายนั้นแล้ว  

 

 

นางหน้าแดง ก้มหน้าก้มตาลง  

 

 

โจวเสาจิ่นหัวเราะคิก ตอบเสียงสูงว่า “เจ้าค่ะ”  

 

 

บ่าวรับใช้ในห้องล้วนมองไปยังโจวชูจิ่น ยิ้มน้อยๆ ออกมาอย่างยินดี  

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนมาถึงแล้ว นางกำลังสนทนาอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่ากวนเกี่ยวกับเรื่องการให้การต้อนรับฮูหยินอู๋ เพิ่งจะสนทนากันได้ไม่กี่ประโยค เฉิงเก้าและเฉิงอี้สองพี่น้องก็มาคารวะยามเช้าฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่ากวนคิดแล้วคิดอีก กล่าวกับสองพี่น้องตระกูลโจวว่า “พวกเจ้าเข้าไปรอข้าอยู่ที่ห้องด้านในก่อน”  

 

 

โจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นเข้าใจว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนมีเรื่องต้องการสนทนากับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนแม่ลูกเป็นการส่วนตัว จึงยิ้มพากันเข้าไปที่ห้องด้านใน  

 

 

ครู่เดียว ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมาจากห้องรับแขก ในเสียงที่ไม่ค่อยชัดเจนนั้นยังสามารถได้ยินถ้อยคำทำนอง ‘น้องสาว’ และ ‘พี่สาว’  

 

 

โจวชูจิ่นยิ้มพลางเอ่ยย้ำกับโจวเสาจิ่นว่า “น้องชายเก้าถามถึงเจ้าอยู่หลายหน หากว่ามีโอกาสได้พบน้องชายเก้า เจ้าอย่าลืมกล่าวขอบคุณเขาสักหน่อย”  

 

 

โจวเสาจิ่นตอบรับ  

 

 

ผ่านไปราวหนึ่งเค่อ  [7]  ระหว่างที่ให้ซื่อเอ๋อร์รอแขกอยู่นั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็กลับเข้าไปที่ห้องด้านใน  

 

 

 

 

 

——  

 

 

[1]  ดอกเหมย  (梅) เป็นดอกที่สามารถเบ่งบานได้แม้ในฤดูหนาว  

 

 

[2]  ชุ่น  (寸) หน่วยความยาว หนึ่งชุ่นเท่ากับ 3.333 เซนติเมตรโดยประมาณ  

 

 

[3]  ดอกไห่ถัง  (海棠) หรือ Chinese Flowering Crabapple เป็นพืชตระกูลแอปเปิล มีดอกสีขาว ชมพูหรือแดง  

 

 

[4]  ดอกซานฉา  (山茶) ดอกคาเมลเลีย  

 

 

[5]  ลี้  (里) หน่วยระยะทาง หนึ่งลี้เท่ากับครึ่งกิโลเมตร  

 

 

[6]  วันสรงน้ำพระพุทธเจ้า  (浴佛节) หรือที่เรารู้จักกันว่า วันวิสาขบูชา (佛诞日 แปลตรงตามตัวอักษรว่า วันประสูติของพระพุทธเจ้า) มีความแตกต่างกันเรื่องวันที่เล็กน้อย โดยวันสรงน้ำพระพุทธเจ้าของจีนจะตรงกับวันที่แปดเดือนสี่ของปฏิทินจีน  

 

 

[7]  เค่อ  (刻) หน่วยเวลา เท่ากับ สิบห้านาที  

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset