เมื่อเรื่องของจวนเหลียงกั๋วกงมีผู้ใหญ่ช่วยออกหน้าให้แล้ว ตกกลางคืน โจวเสาจิ่นถึงได้นอนหลับสนิทอย่างสบายใจได้ตลอดทั้งคืน
เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น นางรู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่า รู้สึกกระฉับกระเฉงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ซือเซียง” นางนั่งอยู่หน้าโต๊ะกระจก สั่งการสาวใช้ของตัวเองด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จแล้ว เจ้านำเตารีดมาอังไฟให้ร้อน รอข้ากลับมาจากไปคารวะยามเช้าท่านยายแล้ว พวกเราเร่งเอาเสื้อผ้าของท่านพ่อและมารดาเลี้ยงออกมารีดให้เรียบร้อย หากท่านพ่อสามารถเร่งกลับมาฉลองเทศกาลวันไหว้พระจันทน์ด้วย ก็เท่ากับว่าอีกไม่กี่วันนี้แล้ว ช่วงบ่ายข้ายังต้องไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานอีก!”
ซือเซียงขานรับด้วยรอยยิ้ม ช่วยโจวเสาจิ่นสวมปิ่นปักผมไข่มุกทรงดอกไม้ จากนั้นก็สั่งการให้สาวใช้เด็กตั้งสำรับเช้า
โจวเสาจิ่นเพิ่งจะจับตะเกียบ เฉิงเจียก็เข้ามา
นางสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าฝ้ายทอสีชมพูเหลือบเงินตัวหนึ่ง สีหน้าดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นเรียกกล่าวทักทายและให้นางนั่งลง ถามนางว่าทานมื้อเช้ามาแล้วหรือยัง
เฉิงเจียส่ายศีรษะอย่างเงียบ ๆ
ซือเซียงที่เห็นแล้วก็รีบไปนำชามและตะเกียบเข้ามาให้เฉิงเจีย
เฉิงเจียมองไปที่โต๊ะครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นอย่างไม่ชอบใจว่า “เหตุใดเจ้าถึงทานข้าวต้มขาวได้ทุกวี่ทุกวัน เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยหรือ”
“ก็ข้าวต้มขาวดีนี่!” โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยีพลางกล่าว “ข้าวต้มขาวทำให้สบายท้อง”
“เป็นเพราะเจ้าท้องไส้ไม่ค่อยดีหรือเพราะอายุมากแล้วกันแน่” เฉิงเจียชักริมฝีปากอย่างไม่เห็นด้วย “ทานเหมือนกับเป็นคนแก่เลย”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจเล็กน้อย
ถือว่าเฉิงเจียกล่าวคำพูดนี้ได้ถูกต้องนัก
หลังจากที่นางกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ก็ดูเหมือนกับว่ายังคงใช้ชีวิตตามความเคยชินเดิม…
โจวเสาจิ่นหัวเราะ
เฉิงเจียสั่งการซือเซียงว่า “ข้าขอน้ำเต้าหู้หนึ่งถ้วยกับทังเปาอีกสามลูก ไม่สิ ห้าลูกก็แล้วกัน ข้าต้องกินให้อิ่ม ๆ สักมื้อหนึ่ง”
ซือเซียงเม้มริมฝีปากกลั้นหัวเราะ พลางล่าถอยออกไป
โจวเสาจิ่นหยอกล้อนาง “นี่เจ้าจะลงนาไปเก็บเกี่ยวพืชผลหรืออย่างไร”
“เก็บเกี่ยวพืชผลอะไรกัน!” เฉิงเจียกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “ข้าจะกินให้อิ่มก็เพื่อจะไปทะเลาะกับท่านแม่ของข้า”
โจวเสาจิ่นจึงคาดเดาว่าเป็นปัญหาที่เกิดมาจากเรื่องของจูเผิงจวี่
นางกล่าวอย่างฉงนว่า “หรือว่าพี่ชายเจิ้ง…”
“ไม่ใช่!” ขณะที่เฉิงเจียพูด ดวงตาของนางก็แดงก่ำ “พี่ชายกล่าวว่าตอนนี้ให้รอดูไปก่อน จวนเหลียงกั๋วกงไม่ได้ระบุชื่อแซ่มาเสียหน่อยว่าซื่อจื่อเป็นคนส่งของพวกนี้มาให้ และก็ไม่ได้ส่งใครมาหาเขาเป็นพิเศษด้วย ต่อให้มีความคิดอะไรจริง ๆ ก็ยังไม่รู้ว่าคนที่เขาสนใจนั้นคือเจ้าหรือข้า พวกเราร้อนตัวไปก่อนเช่นนี้ เหมือนกับป้องกันตัวจากหัวขโมยก็ไม่ปาน จะทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะได้ก็เท่านั้น ข้ารู้สึกว่าที่พี่ชายพูดมาก็มีเหตุผล อย่างไรเสียพวกเราเพียงแต่ต้องไม่ตอบตกลง น้ำมาก็ใช้ดินกลบ ทหารมาก็สู้กลับด้วยสรรพาวุธ ต้องยืดหยุ่นปรับไปตามสถานการณ์ สุดท้ายแล้วก็จะผ่านพ้นไปได้ แต่ท่านแม่ของข้ากลับเหมือนกับถูกหมูตอนล่อลวงใจก็ไม่ปาน ตั้งแต่เช้าตรู่ นางก็ให้คนให้สืบเรื่องของจวนเหลียงกั๋วกงแล้วอย่างคาดไม่ถึง ยังบอกกูกูที่มาสอนมารยาทข้าว่าให้ตั้งใจสอน ถ้าสอนได้ดี จะตกรางวัลให้นางหนึ่งร้อยเหลี่ยง กูกูผู้นั้นจึงกระตือรือร้นยิ่งนัก แต่เดิมเพียงให้ข้าฝึกเดินโดยวางหนังสือเล่มหนึ่งเอาไว้บนหัว แต่ตอนนี้เวลาเดิน เปลี่ยนจากหนังสือเป็นถ้วยชามเสียแล้ว…ข้าคร้านจะสนใจนาง จึงวิ่งมาหาเจ้าที่นี่”
โจวเสาจิ่นถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง
โชคดีที่นางไม่ได้เกิดมาในจวนสาม โชคดีที่บิดาไม่ได้แต่งงานกับเฉิงเสียน!
ทั้งสองคนทานมื้อเช้าไปอย่างเงียบ ๆ จากนั้นโจวเสาจิ่นต้องไปคารวะยามเช้าฮูหยินผู้เฒ่ากวน
เฉิงเจียจับแขนของนางเอาไว้ พลางกล่าว “ข้าไปด้วย!”
โจวเสาจิ่นคิดว่าก็ได้ จึงเดินไปหาพี่สาวพร้อมกับเฉิงเจีย รอโจวชูจิ่นเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนก็เดินไปที่เรือนเจียซู่
หน้าประตู พวกนางพบกับเฉิงเก้าและเฉิงอี้ที่เพิ่งเสร็จจากการไปคารวะยามเช้าฮูหยินผู้เฒ่ากวน
พอเห็นเฉิงเจีย ทั้งสองคนต่างค่อนข้างแปลกใจ เมื่อทุกคนทักทายกันเสร็จแล้ว สายตาของเฉิงเก้าก็ตกไปอยู่ที่ร่างของโจวเสาจิ่น เฉิงอี้กลับเย้าแหย่เฉิงเจียว่า “เช้าตรู่ขนาดนี้ เจ้าถึงกับวิ่งมาหาท่านย่าของข้าเพื่อประจบประแจง หรือว่ามีเรื่องจะขอร้องใช่หรือไม่”
เฉิงเจียได้ยินแล้วใจกระตุก กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ทำไม เจ้ามาคารวะยามเช้าถือว่ากตัญญู ส่วนข้ามาคารวะยามเช้ากลับกลายเป็นว่ามีเจตนาแอบแฝง นี่มันเหตุผลอะไรกัน”
“ข้าไม่ได้เป็นคนพูดนะว่าเจ้ามีเจตนาแอบแฝง” เฉิงอี้กับเฉิงเจียปะทะฝีปากกัน “คำพูดนี้เป็นเจ้าเองที่พูดออกมา…”
ส่วนเฉิงเก้ากลับหันหลังให้โจวชูจิ่นและหันไปส่งสายตาให้โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง แล้วชี้ไปที่ต้นไหวซู่เก่าแก่อายุกว่าร้อยปีที่อยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ของเรือนเจียซู่ต้นนั้น จากนั้นก็ดึงน้องชายเอาไว้ “เช้าตรู่เช่นนี้ ไม่เห็นเจ้าจะท่องหนังสือแต่กลับรู้จักหาเรื่องทะเลาะกับผู้อื่น รีบไปที่ห้องศึกษากับข้าได้แล้ว ระวังเถอะไปสายแล้วจะถูกท่านอาจารย์ลงโทษให้ยืนอีก เดือนนี้เจ้าถูกท่านอาจารย์ลงโทษให้ยืนไปเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ”
“ท่านพี่ ๆ” เฉิงอี้ร้องขอความเมตตา “พี่สาวและน้องสาวต่างอยู่ที่นี่กันทั้งหมด จะมากจะน้อยอย่างไรท่านก็ไว้หน้าให้ข้าบ้างเถิด”
ทุกคนต่างก็หัวเราะร่าขึ้นมา
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่อยู่ในห้องได้ยินแล้ว ก็อดที่จะหัวเราะขึ้นมาด้วยไม่ได้
จนกระทั่งตอนที่โจวเสาจิ่นและอีกหลายคนเข้ามาคารวะนาง นางจับมือของเฉิงเจียเอาไว้ เอ่ยถามถึงเรื่องเกี่ยวกับชีวิตประจำวันในช่วงนี้ของนางขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น
โจวเสาจิ่นคิดถึงเรื่องที่นัดแนะเอาไว้กับเฉิงเก้า จึงนั่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หาข้ออ้างออกไปเข้าห้องทางการ ออกจากห้องรับแขกไป
เฉิงเก้ากำลังรอนางอยู่ที่ใต้ต้นไม้
นางวิ่งเข้าไปอย่างเหนื่อยหอบ กล่าวขึ้นว่า “พี่ชายเก้าหาข้ามีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
เฉิงเก้าเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นอย่างพินิพิจารณาว่า “เรื่องที่ท่านอาเขยย้ายไปดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองที่เป่าติ้ง ต่างแพร่กระจายไปในบ้านแล้ว เจ้าคงรู้แล้วกระมัง”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าอย่างไม่เข้าใจนัก
เฉิงเก้าพึมพำกล่าว “แพร่กระจายไปที่สำนักศึกษาแล้วด้วยเช่นกัน ยังมีคนเอาเรื่องที่ว่าตำแหน่งไหนที่จะมีโอกาสย้ายไปประจำที่เมืองหลวงได้ง่ายกว่ามาเล่ากันอีก ต่อไปหากมีคนเข้ามาตีสนิทกับเจ้า เจ้าเองก็ระวังตัวเอาไว้ให้มากเสียหน่อย และก็อย่าไปเชื่อคำพูดของคนพวกนี้มากนัก”
“ใครช่างทำตัวไร้สาระขนาดนี้!” โจวเสาจิ่นไม่ชอบคนที่เอาใจไปวางไว้กับการคิดหาวิธีว่าจะประจบประแจงอย่างไรประเภทนี้เลย นางขมวดคิ้วมุ่น พลางกล่าว “พี่ชายเก้าวางใจเถิด ข้าจะระวังเอาไว้เจ้าค่ะ” อย่างไรก็ตาม เฉิงเก้าถึงกับมาบอกเรื่องพวกนี้กับนางเป็นพิเศษ เหตุการณ์ต้องไม่เพียงแค่ว่าอาจจะมีคนมาตีสนิทนางอย่างที่เขากล่าวมาอย่างแน่นอน นางจึงกล่าวกับเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า “พี่ชายเก้า มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่สำนักศึกษาใช่หรือไม่ ท่านบอกข้ามาตามตรงเถิด! ข้าจะได้ไม่ต้องไปได้ยินข่าวลือที่ถูกเสริมแต่งมาแล้วจากปากของคนอื่น”
เฉิงเก้าประหลาดใจ หัวเราะขึ้นมา พลางกล่าว “น้องสาวรอง เจ้าเปลี่ยนไปมากจริง ๆ ถึงขนาดกล้าที่จะถามข้าตรง ๆ แล้ว!”
ที่ผ่านมาแม้แต่คำพูดประโยคนี้นางก็ไม่กล้าพูดอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นหน้าแดง
เฉิงเก้ายิ้ม “เรื่องบางอย่างเป็นเพียงการคาดเดาของข้าเท่านั้น…ช่วงนี้เซียงชิงเขาค่อนข้างแปลก ๆ…เวลาที่อยู่ด้วยกันกับเจียซ่านยังดี ๆ อยู่ แต่เวลาอยู่คนเดียวมักจะดูซึม ๆ พอคนอื่นถามเขา เขากลับไม่ค่อยพูดความในใจกับผู้อื่นอย่างที่เคยเป็นเมื่อก่อน แต่กลับพูดอะไรบางอย่างที่น่าหดหู่ด้วยรอยยิ้มเศร้าหมอง…”
“พูดอะไรบ้างหรือเจ้าคะ” เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเฉิงลู่ โจวเสาจิ่นต้องสอบถามอย่างระมัดระวัง
เฉิงเก้าเห็นแล้ว ยังคิดว่านางกำลังกังวลใจเกี่ยวกับเฉิงลู่ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้ตัดสินใจกล่าวขึ้นว่า “พูดอะไรทำนองว่าบางครั้งคนเราก็ไม่อาจยอมรับความผิดพลาดได้ ยังพูดอะไรทำนองว่าสุภาพบุรุษที่ไม่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียง อะไรทำนองอนุภรรยาผู้งดงาม ล้วนเป็นภาพลวงตา ดังดอกไม้ในกระจกและพระจันทร์ในน้ำ…ข้ายังได้ยินข่าวลือว่า เจียซ่านนั้นคอยปกป้องเจ้าเป็นอย่างมาก เพื่อเจ้าแล้ว ยังเคยกลั่นแกล้งเซียงชิงมาก่อนด้วย โชคดีที่เซียงชิงเป็นคนมีไหวพริบ มีความรู้มากกว่าผู้อื่น ไม่เพียงไม่ถูกเจียซ่านกดเอาไว้ ยังทำให้เจียซ่านเกิดความเลื่อมใส จนกลายเป็นสหายสนิทของเจียซ่านได้…”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
นี่ตนเองกลายเป็นหญิงแพศยาที่เหยียบเรือสองแคม กับคนพาลที่ชอบกลั่นแกล้งผู้อ่อนแอกว่าอย่างเฉิงสวี่ร่วมมือกันสร้างชื่อเสียงอันดีงามให้เฉิงลู่จนสำเร็จอย่างนั้นหรือ
นางโกรธจนสีหน้าแดงก่ำ สั่นระริกไปทั้งร่าง
เฉิงเก้าเห็นเช่นนั้นก็ทนไม่ไหว รีบกล่าว “อย่างไรก็ตาม เจ้าก็อย่าเก็บเอาคำพวกนี้มาใส่ใจเลย สิ่งที่สำคัญกว่าในตอนนี้ก็คืออย่าไปสนใจพวกเขาสองคน ฉินจื่ออัน อ่อ หรือก็คือสหายร่วมชั้นคนหนึ่งของข้าที่สำนักศึกษา เขาเคยมาบอกข้าอย่างลับ ๆ ว่าเซียงชิงบอกเขาว่ามารดาของเจียซ่านตั้งใจจะหาหญิงสาวจากตระกูลขุนนางผู้หนึ่งมาให้เจียซ่าน คนที่สามารถเกื้อหนุนต่อหน้าที่การงานในราชสำนักให้กับเจียซ่านได้…”
“แล้วเขารู้ได้อย่างไรหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นใจกระตุกวูบ
นางเข้าใจว่ามีแต่คนที่กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งอย่างนาง คนที่เคยประสบกับอารมณ์รุนแรงของหยวนซื่อเท่านั้นถึงจะทราบถึงความดื้อรั้นและเพียรพยายามของหยวนซื่อ
“เป็นเซียงชิงที่เล่าให้ฟังเป็นการส่วนตัว” สีหน้าของเฉิงเก้าค่อนข้างจะเคร่งขรึม กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ข้ารู้สึกได้ว่าเรื่องนี้มีอะไรที่แปลก ๆ อยู่…ทุกคนต่างทราบกันดีว่าเจ้าเป็นญาติผู้น้องของข้า แต่กลับนำเรื่องนี้มาเล่าให้ข้าฟัง ทำเสมือนกับว่าพวกเรากระเ**้ยนกระหือรือที่จะปีนขึ้นไปสร้างความสัมพันธ์กับจวนหลักก็ไม่ปาน…” เขาลอบสังเกตสีหน้าของโจวเสาจิ่นอย่างระมัดระวัง กล่าวเสียงเบาว่า “ข้ารู้สึกว่าคำพูดนี้ ดูเหมือนกับว่าต้องการให้ข้านำมาบอกต่อแก่เจ้าอย่างไรอย่างนั้น…ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดนี้ ยังแพร่ออกมาหลังจากที่ท่านอาเขยได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองที่เป่าติ้ง…ฉินจื่ออันกล่าวว่า ทุกคนต่างก็รู้ดี แต่ข้าลองไปถามสหายร่วมชั้นหลายคนดู ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทุกคนปิดบังข้าเอาไว้หรืออย่างไร แต่ทุกคนต่างดูเหมือนกับไม่รู้เรื่องเลย…”
เฉิงลู่ ไอ้คนสารเลว!
ไม่ต้องถามโจวเสาจิ่นก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือของใคร!
ชาติก่อน เขาก็ทำกับตนเช่นนี้เหมือนกัน
ดวงตาของนางแดงก่ำ กล่าวขึ้นว่า “พี่ชายเก้า ท่านอย่าสนใจเรื่องนี้เลย ท่านยาบอกว่า ท่านพ่อของข้าอาจจะเร่งกลับมากราบไหว้บรรพชนและฉลองวันไหว้พระจันทร์ด้วย ถึงเวลานั้นข้าจะคุยกับท่านพ่อของข้าเองเจ้าค่ะ”
“อย่าเลย ๆ ๆ” เฉิงเก้าหน้าแดง กล่าว “บางเรื่องก็เป็นเพียงการคาดเดาของข้าเท่านั้น หากท่านอาเขยสอบถามขึ้นมา ข้าก็ไม่อาจหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้ ข้าเพียงต้องการบอกให้เจ้ารู้ไว้ ว่าเรื่องนี้ถูกพูดถึงเช่นนี้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือเจ้าอย่าไปสนใจใครทั้งนั้น…”
เขาแนะนำโจวเสาจิ่นอย่างอ้อม ๆ ว่าอย่าแต่งให้กับสองคนนี้
โจวเสาจิ่นเข้าใจความนัยของเขา กล่าวขึ้นว่า “พี่ชายเก้า ข้าทราบแล้ว พวกเขาสองคนนั้น ข้าล้วนไม่ให้ความสนใจเจ้าค่ะ”
สีหน้าของเฉิงเก้าผ่อนคลายลงมา กล่าวขึ้นว่า “เสียดายที่ไม่มีคนที่เหมาะสม หากเจ้าหมั้นหมายแล้ว เรื่องราวก็จะจบลง”
ในเมื่อเฉิงลู่มีใจอยากทำร้ายนาง ต่อให้นางหมั้นหมายไปแล้ว เขาจะวางมือได้หรือ บางทีอาจจะยิ่งพยายามมากขึ้น ทำให้เรื่องราวยิ่งแย่ลงไปอีกเสียมากกว่า
โจวเสาจิ่นตัดสินใจแน่วแน่อีกครั้ง รอให้พี่สาวแต่งงานออกไปแล้วนางก็จะไปจากเมืองจินหลิงด้วยเช่นกัน หากเฉิงลู่ยังไม่แต่งงานมีบุตร นางก็จะไม่กลับมาเยี่ยมเยียนจินหลิงอีกเลย แต่นางก็ไม่อาจปล่อยให้เฉิงลู่พูดจาเลื่อนเปื้อนเช่นนี้ได้ ใครเป็นคนสร้างปัญหาก็ให้คนนั้นเป็นคนแก้
นางเสนอความคิดเห็น “พี่ชายเก้า ท่านทำเช่นนี้ได้หรือไม่ เล่าเรื่องนี้ให้พี่ชายสวี่ฟังเหมือนกับที่เล่าให้ฟัง ถูกเฉิงลู่เอาไปพูดเช่นนี้ ทำราวกับว่าข้ามีอะไรกับพี่ชายสวี่อย่างไรอย่างนั้น ถ้าชื่อเสียงของข้าถูกทำลาย ชื่อเสียงของพี่ชายสวี่ก็ถูกทำลายด้วยเช่นกัน…”
เฉิงเก้ายิ้มอย่างขมขื่น พลางกล่าว “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยพูดกับเขามาก่อน แต่เขาไม่เชื่อ ข้าจะทำอะไรได้”
คนที่ฉลาดอย่างเฉิงสวี่ แม้แต่เฉิงเก้ายังดูออกว่าระหว่างเรื่องนี้มีความไม่ชอบมาพากล จึงเป็นไปไม่ได้ที่เฉิงสวี่จะดูไม่ออก
แล้วเหตุใดเขาถึงยอมปล่อยให้เรื่องดำเนินมาถึงขนาดนี้ได้
โจวเสาจิ่นคิดไม่ตก
นางอดลอบถอนหายใจอยู่ในใจไม่ได้
หากท่านน้าฉือทราบเรื่องนี้ก็คงจะดี เพียงแค่สมองได้ตรึกตรองเขาก็คงจะสามารถวิเคราะห์ต้นสายปลายเหตุออกมาได้อย่างถ่องแท้แล้วเป็นแน่…น่าเสียดายที่ท่านน้าฉือเคยช่วยเหลือนางมาหลายครั้งแล้ว นางจะยังมีหน้าไปหาท่านน้าฉืออีกครั้งได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องการขอคนให้ช่วยเหลือนั้น ครั้งสองครั้ง คนอื่นยังเห็นแก่หน้าตาให้ความช่วยเหลือ แต่ถ้าขอร้องบ่อย ๆ อีกทั้งยังไม่สนใจด้วยว่าเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก ต่อให้เป็นคนอารมณ์ดีขนาดไหนก็อาจจะรู้สึกรำคาญใจได้ นางเก็บน้ำใจนี้เอาไว้ใช้ขอร้องให้เฉิงฉือช่วยเตือนเฉิงจิงตอนนั้นน่าจะดีกว่า! ไม่อาจเอาน้ำใจของผู้อื่นมาใช้กับเรื่องนี้ได้
โจวเสาจิ่นจำต้องกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นก็มีเพียงต้องรอให้ท่านพ่อของข้ากลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกันเจ้าค่ะ”
เฉิงเก้าคล้ายจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด
โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างตำหนิว่า “นี่มันยามใดแล้ว พี่ชายเก้ายังกังวลอะไรอีกหรือเจ้าคะ”
เฉิงเก้าหัวเราะขึ้นมาอย่างกระดากอาย พลางกล่าว “ข้ากำลังคิดว่า ถ้าหากว่าท่านอาเขยไม่กลับมา พวกเราจะทำอย่างไรกันดี บอกท่านพ่อของข้าดี หรือว่าจะไปพูดกับทานย่าดี?”
ต่อให้บอกผู้ใหญ่ทั้งสองท่านแล้วจะมีประโยชน์อะไร
โจวเสาจิ่นเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวขึ้นว่า “หากท่านพ่อของข้าไม่กลับมา…” นางตัดสินใจ “ข้าจะบอกฮูหยินหยวน…”
นางไม่เชื่อว่า หากฮูหยินหยวนได้ฟังแล้วจะไม่ขยับตัวทำอะไรเลย!
………………………………………………………………