จิวโมไป๋ออกจากห้องของหนิงหานเป๋ย เดินขึ้นไปที่ชั้น 3 ของร้านอาหาร ไปที่ห้องทำงานเจ้าของร้าน แม่ของเขากลับบ้านไปทั้งแต่ช่วงหัวค่ำแล้ว พ่อของเขากำลังตรวจสอบบัญชีร้านอยู่คนเดียว
“พ่อครับ ผมเอาวัวสีเหลืองมาไว้ที่ด้านล่างตรงที่พักของพนักงานร้าน ผมฝากพ่อช่วยแจ้งพนักงานร้านให้ช่วยดูแลมันหน่อยนะครับ อย่าปล่อยให้มันถูกเอาไปทำอาหาร วันพรุ่งนี้ผมจะมาเอามันไปที่อื่น”จิวโมไป๋ฝากพ่อให้ดูวัวเหลือง ที่นี่เป็นร้านอาหาร ถึงจะไม่มีการฆ่าสัตว์ แต่อาจคนเข้าใจผิด เอาวัวเหลืองไปฆ่าที่โรงฆ่าสัตว์ได้
จิวโมเทียนเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าแผ่วเบา ก็ก้มไปดูบัญชีต่อโดยไม่พูดอะไร
จิวโมไป๋ยักไหล่ ก่อนเดินออกจากห้องทำงาน
พ่องอลแม่ของเขาอีกแล้ว ตั้งแต่มีคุณหยินลั่วปิงมาอยู่ด้วย แม่ของเขาก็กลับบ้านเร็วทุกวัน แต่ก่อนแม่ของเขาจะต้องยุ่งอยู่กับการเลี้ยงลูกและดูแลร้านอาหาร กว่าจะเสร็จก็มืดค่ำทำให้เธอไม่มีเวลาสังสรรค์กับเพื่อน จนเพื่อนของเธอค่อยๆหายไป
เมื่อแม่ของเขาสนิทสนมกับคุณหยินลั่วปิง เธอก็เหมือนจะลืมสามีของเธอไปเลย พอมีเวลาว่างเธอจะไปพูดคุยตามประสาผู้หญิงหรือไปซื้อของกับคุณหยินลั่วปิงพร้อมเด็กๆ ปล่อยให้พ่อของเขาต้องอยู่ร้านคนเดียว ไม่แปลกที่พ่อของเขาจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
จิวโมไป๋ลงมาเห็นพนักงานร้านสองคน เขาก็พูดฝากวัวเหลืองให้พนักงานไปบอกคนอื่นได้รู้ พนักงงานทั้งสองพยักหน้ารับคำ
เมื่อเสร็จแล้วจิวโมไป๋ก็ไปรับเสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมย
“จากนี้ไป ฉันเรียกแกว่าเสี่ยวหวงนะ”จิวโมไป๋ลูบหัววัวเหลืองเบาๆ“แกอยู่ที่นี่ก่อนพรุ่งนี้ฉันจะมารับแกไปอยู่ที่อื่น”
เสี่ยวหวงได้เปิดสติปัญญาแล้ว มันฉลาดพอๆกับเด็กเล็ก แม้มันจะกลัวสัตว์ร้ายทั้งสอง แต่เมื่อเห็นว่าจิวโมไป๋กำลังจะจากไป มันวิ่งมาใช้หัวกระทบแขนจิวโมไป๋เบาๆ ไม่อยากให้จิวโมไป๋ไป
“ฉันไม่ทิ้งแกหรอก ที่นี่เป็นร้านอาหารของครอบครัวฉัน ยังไงฉันก็กลับมา ไม่ต้องกลัว ฉันบอกคนในร้านไว้แล้ว ไม่มีใครทำอะไรแกแน่”จิวโมไป๋ตบหัวเสี่ยวหวงเบาๆ”แต่แกห้ามออกไปเดินเพ่นพ่านรู้ไหม”
เสี่ยวหวงพยักหน้าเบาๆอย่างลังเล
ปลอบเสี่ยวหวงครู่หนึ่งจนมันยอมเดินไปนั่งใต้อาคารเล็กๆไม่ไกล
จิวโมไป๋ก็หยิบถาดที่มีจานเปล่าวางอยู่เอาไปเก็บในห้องครัว เสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยเห็นจิวโมไป๋กำลังจะไป โดยไม่ต้องเรียกพวกมันทั้งสองกระโดดขึ้นมายืนบนไหลของจิวโมไป๋คนละข้าง
ดีที่ทั้งสองตัวเล็กทำให้ไม่สร้างภาระให้กับเขามากนัก
เสี่ยวหวงมองทั้งสองด้วยความอิจฉา แต่ทำอะไรไม่ได้ มันนอนหลับตาลงอย่างเบื่อหน่าย
จิวโมไป๋เดินออกมาจากร้านอาหาร เขาก็โบกรถรับจ้าง ไปมหาวิทยาลัยเทียนซู
เมื่อมาถึง บรรยากาศตอนมืดของมหาวิทยาลัยยังคงคึกคัก พื้นที่ลานโล่งเต็มไปด้วยผู้คนกำลังฝึกซ้อมกันอย่างขยันแข็งขันเต็มไปด้วยพลัง มุมหนึ่งมีกลุ่มคนล้อมกันเป็นวงกลมเล็กๆ เพื่อต่อสู้กัน ระดับการบ่มเพาะของคนที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ที่ขั้นที่ 3 เส้นเอ็นกลาง อ่อนแอที่สุดอยู่ที่ขั้นที่ 2 กล้ามเนื้อต้น
จิวโมไป๋เดินผ่านเข้าไปอาคารที่พักอย่างพอใจ ระดับการบ่มเพาะของนักศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แค่เดือนกว่า นักศึกษาปี 1 ทุกคนที่เขาเคยเห็นอยู่ขั้นที่ 1 ผิวหนัง ต่างก็กลายเป็นขั้นที่ 2 กล้ามเนื้อต้นเป็นอย่างน้อย ไม่ต้องพูดถึงคนที่มีพรสวรรค์ระดับการบ่มเพาะ ในตอนนี้ระดับการบ่มเพาะพลังเหนือกว่าคนธรรมไปอีกขั้น
เหมือนอย่างหวังเสี่ยวเปา เฉินหู อูเหวิน ที่ทำลายฐานการบ่มเพาะพลังและบ่มเพาะพลังใหม่พวกเขาใช้เวลาแค่ 1 เดือน อยู่ขั้นที่ 2 กล้ามเนื้อกลางและปลายแล้ว
จิวโมไป๋ขึ้นไปบนอาคารที่พัก เมื่อเปิดประตูเข้าไป เขาก็เห็นหวังเสี่ยวเปา เฉินหู และอูเหวิน กำลังจ้องมองแผ่นโปร่งใสอย่างเคร่งเครียด
“ทำอะไรกันอยู่”จิวโมไป๋ถาม
“น้องเล็ก…เงินที่พวกเราได้…”อูเหวินเงยหน้ามองจิวโมไป๋ด้วยสีหน้าว่างเปล่าเล็กน้อย เพราะในบัญชีของเขาอยู่ๆก็มีเงินเข้ามา 100 ล้านเครดิต พอถามพี่ใหญ่กับพี่รอง ทั้งสองก็ได้เงิน คนละ100 ล้านเครดิตเช่นกัน
พบตรวจสอบผู้โอน เป็นชื่อของน้องเล็กของพวกเขาเอง
“เป็นเงินที่ฉันได้มาจากการพนันว่าเราชนะ”จิวโมไป๋พูดขึ้นราวกับไม่รู้สึกอะไร กับเงิน 300 ล้านเครดิต
จิวโมไป๋เดินไปนั่งที่เตียง เสี่ยวไป๋ กระโดดออกไปมองสำรวจรอบๆ เสี่ยวเหมยไม่สนใจอะไรเลยมันซบหน้าเล็กๆของมันบนตักของจิวโมไป๋อย่างออดอ้อน
“น้องเล็กนายโอนเงินมาให้เราทำไม”หวังเสี่ยวเปาที่เงียบอยู่พูดขึ้น
“พี่ใหญ่ไม่ต้องคิดมาก ฉันได้เงินเดิมพันมากกว่าที่ให้พวกพี่ทั้งสามอีก”จิวโมไป๋หยุดพูดเล็กน้อยท่าทางของเขากลายเป็นเคร่งขรึมจริงจัง“การที่เราชนะการประลองและได้เงินมามากมายขนาดนี้ คนของโคลอสเซียมเทียนหลงต้องตามหาพวกเราแน่ เงินที่ฉันให้พวกพี่เอาไปซื้อโอสถและใช้เช่าห้องบ่มเพาะพลัง เพิ่มความแข็งแกร่งให้มากที่สุด เราอาจต้องต่อสู้กับคนของโคลอสเซียมเทียนหลงในอนาคต”
หวังเสี่ยวเปาได้ฟังดังนั้นเขาก็เงียบไป
อูเหวินที่ได้ฟังก็หน้าเสีย เพราะต้นเหตุมาจากเขา ขณะที่เขากำลังจะอ้าปากพูด เฉินหูที่ไม่ได้พูดอะไรก็ยืนขึ้นแล้วตะโกนออกมา
“มัวแต่ทำท่าอมทุกข์อะไรกันอยู่ พวกเราพึ่งชนะการต่อสู้เสี่ยงตายมานะ”เฉินหูฉีกยิ้ม เต็มไปด้วยพลัง“ไปกันเถอะ ไหนๆน้องเล็กก็ให้เงินเรามาแล้ว พวกเราไปฉลองชัยชนะกันเถอะ”
จิวโมไป๋ได้ฟังก็ยิ้ม หวังเสี่ยวเปาส่ายหัวอ่อนใจสุดท้ายเขาก็ยืนขึ้นเดินไปที่ประตูคนแรก อูเหวินที่งุนงงอยู่ถูกเฉินหูที่คึกคักเต็มที่เดินมาโอบรอบคอ
“ไปเร็วน้องสาม อย่ามั่วแต่คิดอะไรไร้สาระ เงินที่น้องเล็กให้พวกเรามา เราเอาไปกินอาหารในร้านหรูๆให้เต็มที่กันเถอะ!”
หวังเสี่ยวเปาที่กำลังเปิดประตูออกจากห้องชะงักเท้า ก่อนหันมามองเฉินหูด้วยแววตาคมกริบ
“เงินที่น้องเล็กให้พวกเราจะต้องใช้ในการฝึกเท่านั้น ฉันจำได้ว่านายพนันไป 1 ล้านเครดิตไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่เอาเงินนั้นมาเป็นค่าอาหารของพวกเราละ”
เฉินหูหดคอลงหัวเราะแห้งๆ พูดเป็นประโยคคำสั่งแบบนี้ใครจะกล้าปฏิเสธ
“ทำไมเราไม่ไปกินที่ร้านอาหารของน้องเล็กกันละ”เฉินหูพยายามหาทางรอด
“นายพูดเองไม่ใช่เหรอว่าจะฉลอง ไปกินร้านอาหารของน้องเล็กเรากินของมึนเมาไม่ได้”หวังเสี่ยวเปาพูดจบก็เปิดประตูออกไปทันที ไม่รอให้เฉินหูได้ออกความเห็นอีก
“ไม่น่าเลย”เฉินหูบ่นอุบอิบไม่พอใจ เดินโอบคออูเหวินพาเดินออกไป จิวโมไป๋ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเรียกเสี่ยวไป๋และเสี่ยวเหมยให้กระโดดขึ้นไหล่ เขาปิดห้องเดินตามทั้งสามไป
…
หวังเสี่ยวเปาพาทั้งสามไปกินอาหารบุฟเฟ่ปิ้งย่างกลางแจ้ง ราคาไม่แพงนัก แต่คุณภาพของอาหารดีมากแห่งหนึ่ง ในย่านเที่ยวกลางคืน ทำให้เฉินหูหายใจโล่งอก
เมื่อทุกคนหยิบเนื้อและลงมือปิ้งย่าง เฉินหูก็เห็นเสี่ยวไป๋ที่กระโดดลงมาจากไหล่ของจิวโมไป๋ แววตาของเขาก็เป็นประกาย ในตอนแรกเขาคิดว่ามันเป็นแมว แต่พอได้เห็นชัดๆ มันเป็นลูกเสือขาวที่หล่อมาก!
“น้องเล็กเสือขาวตัวนี้ดูสวยจริงๆ แม้ว่ามันจะยังเป็นเสือเด็กแต่รูปร่าง กล้ามเนื้อ แววตาของมันกับเต็มไปด้วยพลัง อาขนสีขาวที่กระทบแสงไฟเป็นประกายสีเงิน…”เฉินหูผู้ชอบเสือเป็นชีวิตจิตใจพูดพล่ามไม่หยุด เสี่ยวไป๋ที่ได้ฟังคนชื่นชมตัวเอง มันก็ยึดตัวขึ้นด้วยท่าทางที่มันคิดว่าดูดีที่สุด เรียกเสี่ยงชื่นชมจากเฉินหูอีกไม่น้อย
เมื่อเนื้อย่างของตัวเองเสร็จ เฉินหูก็บรรจงวางให้เสี่ยวไป๋กินราวพ่อบ้าน
จิวโมไป๋ หวังเสี่ยวเปา อูเหวินส่ายหัวระอาใจ ให้กับทาสเสืออย่างอ่อนใจ หันไปจัดการเนื้อย่างของตัวเอง
เสี่ยวเหมยที่ยื่นบนโต๊ะข้างๆจิวโมไป๋มองเสี่ยวไป๋ด้วยความดูถูกดูแคลน
ก่อนที่เสี่ยวเหม่ยจะหันไปออดอ้อนจิวโมไป๋และสองพี่น้อง เพราะขนยาวสีขาวฟูฟ่องใบหน้าเรียวเล็กๆ ทำให้หวังเสี่ยวเปาและอูเหวินตกหลุมรักในความน่ารักของมัน
ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะปิ้งย่างให้เสี่ยวเหมยกิน
สุดท้ายคนที่สบายที่สุดกับเป็นจิวโมไป๋ที่มองทั้งสามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ถ้าอนาคตพวกเรายังคงเป็นแบบนี้ก็คงดี…
เพล้ง! เสียงแก้วแตกดังขึ้น พร้อมเสียงทะเลาะกันเสียงดังลั้นร้าน เรียกสายตาจากคนในร้านให้หันไปมอง
หวังเสี่ยวเปาที่กำลังลูบขนอ่อนนุ่มของเสี่ยวเหมยหันไปมองตามเสียง แต่เพราะอยู่ไกลจากจุดทะเลาะกัน ทำให้เขามองไม่เห็นเหตุการณ์ เขาจึงใช้จิตสัมผัสที่เขาเคยฝึกกับจิวโมไป๋ออกไปตรวจสอบ มือที่กำลังลูบขนเสี่ยวเหมยอยู่ชะงักลง ก่อนที่เขาก็ลุกขึ้นแล้วพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
จิวโมไป๋ที่ใช้จิตสัมผัสอยู่ก่อนแล้วถอนหายใจออกมา ด้วยรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดาอารมณ์
“ดูเหมือนว่า แม้อนาคตจะเปลี่ยนไป แต่เส้นด้ายแห่งชะตากรรมของคนแต่ละคน จะยังคงอยู่สินะ”