จิวโมเทียนและฮั่นหวูเหยาเดินลงมาพร้อมพนักงานห้องครัวหลายคน ในมือของพวกเขาถือตะหลิว ไม้กวาด ไม้ถูพื้น หรืออุปกรณ์ที่สามารถใช้เป็นอาวุธได้ พวกเขาไม่ถือมีดหรืออาวุธมีคม เพราะถ้าเกิดการต่อสู้ฝ่ายถือของมีคมจะเป็นฝ่ายผิดทันที เพราะกฎการใช้อาวุธของประเทศเข้มงวดอย่างมาก
“พวกคุณเป็นใคร ทำไมถึงเข้ามาทำลายร้านอาหารของผม”จิวโมเทียนกล่าวเสียงดัง เขาเดินนำทุกคนไปหากลุ่มชายฉกรรจ์ คิ้วของเขาขมวดแน่นเป็นกังวล เขาติดต่อไปยังตำรวจตั้งแต่ได้รับสัญญาณแล้ว กว่าเขาจะลงมาก็ใช้เวลาไปมาก ทำไมตำรวจยังไม่มาอีก?
หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์โยนบุหรี่ไปยังกองทิชชู่ ที่กองอยู่ไกลออกไปอย่างแม่นยำ บ่งบอกถึงระดับการบ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งของเขา
เปลวไฟสีส้มค่อยๆลุกไหม้บนกองทิชชู่อย่างช้าๆ
ใบหน้าของจิวโมเทียนเปลี่ยนเป็นมืดคลึ้ม เขารู้ได้ทันทีว่ากลุ่มชายฉกรรจ์ตรงหน้าไม่ได้เป็นคนธรรมดา เพราะการวางเพลิงถือเป็นดคีระดับกลาง ถ้าถูกจับจะต้องถูกดำเนิดคดีอย่างหนัก กลุ่มอิทธิพลมืดทั่วๆไป พวกเขาไม่เสี่ยงที่จะถูกจับคดีแบบนี้
แต่ชายตรงหน้ากล้าทำอย่างโจ่งแจ้ง แสดงให้เห็นว่าเบื้องหลังของพวกเขาจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!
หัวหน้าชายฉกรรจ์ไม่พูดอะไร หันไปสั่งลูกน้อง
ชายฉกรรจ์ที่กำลังกดเครื่องคิดเงินอยู่ก็ลุกขึ้น และเตะเครื่องคิดเงินกระเด็นออกไป ก่อนจะเข้าไปโจมตีก่อนเป็นคนแรก เขาเข้าไปชกพนักงานชายตรงหน้าจนกระเด็นล้มกลิ้งไปตามพื้น
“หยุด! ถ้าไม่หยุด อีกเดี๋ยวตำรวจจะมาแล้ว พวกคุณไม่สามารถหนีไปได้!”จิวโมเทียนตะโกนเสียงดัง แต่กลุ่มชายฉกรรจ์ไม่สนใจ พวกเขาตรงเข้ามาไม่หยุด
พนักงานชายก็ใช้อาวุธเข้าสู้
จิวโมเทียนเห็นว่าทางฝั่งของเขาไม่สามารถต่อสู้ได้แน่ เขาก็หันไปบอกฮั่นหวูเหยาและพนักงานหญิงหนีออกไปจากร้าน
แต่ก่อนที่พวกเธอจะขยับ หัวหน้าชายฉกรรจ์ก็ยืนขวางไว้ พลังกดดันอันแข็งแกร่งแผ่กระจายออกจากร่าง ทำให้ไม่มีใครกล้าผ่านไป
สุดท้ายจิวโมเทียนและพนักงานชายก็ใช้อาวุธเท่าที่มีเข้าต่อสู้สุดชีวิต
แต่การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็ว ชายฉกรรจ์เป็นผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งอย่างมาก แค่การโจมตีครั้งเดียวก็สามารถจัดการคนธรรมดาลงได้อย่างรวดเร็ว
จิวโมเทียนที่เป็นผู้บ่มเพาะพลัง แต่เขาก็เป็นผู้บ่มเพาะพลังที่อ่อนแอ ความแข็งแกร่งของเขามากกว่าคนธรรมดาเพียงเล็กน้อย ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำอะไร เขาถูกจัดการลงอย่างรวดเร็วไม่ต่างกับคนธรรมดา
จิวโมเทียนและพนักงานชาย ถูกซ้อมอย่างหนัก พนักงานหญิงถูกกันออกไป
ฮั่นหวูเหยาพยายามจะช่วยจิวโมเทียน แต่ก็ทำไม่ได้ เธอไม่ได้บ่มเพาะพลังอย่างจริงจังทำให้แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เธอก็พยายามต่อสู้ช่วยเหลือคนรักสุดความสามารถ
ชายฉกรรจ์ที่ถูกยื้อหยุดก็ทนไม่ไหว ออกแรงผลักเธออย่างแรงจนกระเด็นไปกองกับพื้น
‘แม่!’จิวโมไป๋ต้องตะโกนออกมา แม้จะไม่เข้าใจว่าภาพเหตุการณ์ที่เห็นมันคืออะไร แต่การที่เห็นพ่อและแม่ตัวเองบาดเจ็บ มันทำให้จิวโมไป๋รู้สึกโกรธอย่างมาก แต่เขาก็ไม่สามารถขยับได้ เขาสามารถมองอยู่ห่างๆอย่างไร้ตัวตนเท่านั้น
ฮั่นหวูเหยาลุกขึ้นไม่สนใจความเจ็บปวด เธอพยายามจะช่วยจิวโมเทียน ชายฉกรรจ์ที่อยู่ใกล้ เห็นดังนั้นก็เข้าไปช่วยเพื่อน เขาตบไปที่ใบหน้าของฮันหวูเหยาอย่างแรง
ความแรงของการโจมตี ถ้าคนธรรดาโดนอาจบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้
‘แม่!’จิวโมไป๋ร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่เขาก็ยังไม่สามารถขยับได้
ในตอนนั้นเองลุงหาน หัวหน้าเชฟประจำร้าน และเป็นผู้ที่มีอายุมากที่สุดของร้าน ก็พุ่งเข้าไปช่วย เขาเอากะทะเข้ามากัน
ปัง! ร่างของลุงหานกระเด็นไปไกลกว่า 10 เมตร กระทะในมือยุบอย่างน่ากลัวและกระเด็นออกไป ก่อนที่ร่างจะกระแทกกับตู้โชว์อย่างแรงจนล้มไปด้วยกัน
โครม!
‘ลุงหาน!’จิวโมไป๋โกรธแค้นอย่างมาก ลุงหานเปรียบเสมือนคนในครอบครัวของเขาคนหนึ่ง ลุงหานติดตามพ่อของเขามาช่วยกันเปิดร้านอาหารตระกูลจิว ก่อนที่เขาจะเกิดเสียอีก
เขาสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่าขาขวาและแขนขวาของลุงหานหักจนผิดรูป เศษกระจกของตู้โชว์บาดร่างของลงหานจนเลือดไหลนองอย่างน่ากลัว
หัวหน้าชายฉกรรจ์สังเกตเห็น ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไป
“หยุด!”เขาสั่งให้ทุกคนหยุดมือ ก่อนจะเดินไปหาจิวโมเทียนและเหยียบไปที่อกอย่างแรง จนกระอักเลือดออกมา
“จากนี้ไปห้ามเปิดร้านอาหารนี้อีก ไม่อย่างนั้นฉันจะกลับมาใหม่! เข้าใจไหม!”หัวหน้าชายฉกรรจ์พูดข่มขู่
แต่จิวโมเทียนไม่พูดอะไร
หัวหน้าชายฉกรรจ์เห็นดังนั้นก็ยิ้มเหี้ยม แต่ก็ไม่ลงมือทำอะไร สั่งให้ลูกน้องรีบออกจากร้าน
ฮั่นหวูเหยาและพนักงานหญิงรีบเข้าไปตรวจอาการของคนที่ได้รับบาดเจ็บ
“ไปดูหานเหยียนก่อน”จิวโมเทียนพูดด้วยความอ่อนแรง เขามองไปยังร่างที่นอนแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน
ทุกคนรีบไปดูลุงหาน ก่อนที่จะส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความตื่นตกใจ
ก่อนที่ภาพเบื้องหน้าของจิวโมไป๋จะเปลี่ยนไปอีกครั้ง
จิวโมไป๋นิ่งเงียบเขานึกถึงภาพเหตุการณ์ก่อนหน้าด้วยความงุนงง มันสมจริงเกินไปจนมันเหมือนกับว่ามันเคยเกิดขึ้นจริง
วันที่ร้านถูกทำลาย เขาไม่อยู่ในเหตุการณ์ เขาไม่มีทางมีความทรงจำของวันนั้นได้เลย
แล้วเมื่อครู่นี้มันคืออะไร?
นี้เป็นการทดสอบจิตรมารอย่างนั้นเหรอ?
เป็นไปไม่ได้ แม้ว่ามันจะคล้ายทดสอบจิตมาร แต่ภาพในจิตใจมันไม่สมจริงจนเหมือนกับว่าเป็นเรื่องจริงแบบนี้
วูบ! ภาพเปลี่ยนเป็นห้องอาหารแห่งหนึ่งที่ไม่คุ้นเคย จิวโมไป๋สับสนเล็กน้อยก่อนที่ใบหน้าของเขาจะกลายเป็นแข็งกร้าว
“โจวถิงหาน ได้โปรดช่วยครอบครัวฉันด้วย ฉันไม่สามารถขอพึ่งใครได้อีกแล้วนอกจากนาย”จิวโมเทียนที่มีใบหน้าทรุดโทรมเต็มไปด้วยหนวดเคราที่ไม่ได้โกนมานาน นั่งก้มหัวศีษะติดพื้นท่าทางอ่อนแรง เขาทิ้งศักดิ์ศรีขอร้องชายวัยกลางคนตรงหน้า
เบื้องหน้าของจิวโมเทียนเป็นชายวัยกลางคนอ้วนกลม ใบหน้าเจ้าเล่ห์เต็มไปด้วยความกลอกกลิ้ง มุมปากของชายวัยกลางคนยิ้มเย้ยหยันสายตามองไปยังจิวโมเทียนด้วยความดูแคลน ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ
“เฮ้อ! จิวโมเทียน เราสองคนเป็นเพื่อนกันมานาน ฉันก็อยากจะช่วยนายหรอกนะ แต่นายก็รู้ว่าอำนาจในตระกูลโจวของฉันไม่ได้มีมากมายนัก การจะช่วยนายจัดการกลุ่มอิทธิพลมืดที่แข็งแกร่งแบบนั้นได้ มันไม่สามารถทำได้ง่ายๆ”
จิวโมเทียนเงยหน้าขึ้น ด้วยความหมดหวัง
โจวถิงหานเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นยินและเดินมาตบไหล่จิวโมเทียนเบาๆ ก่อนจะกล่าว
“แม้ครอบครัวของฉันจะไม่สามารถช่วยได้ แต่ฉันรู้จักกลุ่มผู้คุ้มกันที่แข็งแกร่งอยู่บ้าง”
ได้ยินดังนั้น แววตาของจิวโมเทียนก็ทอประกายความหวัง
โจวถิงหานยกยิ้มอย่างอบอุ่นอ่อนโยน มีเพียงจิวโมไป๋ที่สังเกตแววตาที่แฝงความโลภ
“แต่ค่าจ้างผู้คุ้มกันไม่ใช้ราคาถูกๆ…”
“ตกลง ไม่ว่าราคาเท่าไหร่ฉันจะโอนเงินให้นาย”จิวโมเทียนพูดขึ้นทันที โดยไม่ต้องคิดไตร่ตรองอะไร เขาเชื่อใจเพื่อนสนิทที่คบหากันมาหลายสิบปีตรงหน้าอย่างมาก จนไม่มีแม้แต่ความคิดว่าอีกฝ่ายจะหลอกตัวเอง
วูบ! ภาพเบื้องหน้าของจิวโมไป๋เปลี่ยนไปอีกครั้ง
ร่างของจิวโมไป๋สั่นระริกไปด้วยความโกรธแค้น
‘เจ้าคนสารเลว!’
โจวถิงหานได้รับการติดต่อจากเซียวหนานจิ้นมาก่อนหน้าที่พ่อของเขาจะไปพบ ที่โจวถิงหานรับปากจะช่วย เป็นแค่วิธีการโกงเงินจากพ่อของเขาเท่านั้น โจวถิงหานไม่ได้ต้องการจะช่วยเหลืออะไรพ่อของเขาเลย มิหนำซ้ำโจวถิงหานยังเป็นคนที่ทำให้ตระกูลของเขาล้มสลายเร็วขึ้นด้วยซ้ำ
เขาเกือบจะลืมไปแล้ว ว่าโจมถิงหานเป็นอีกคนที่เขาจะต้องจัดการ ทำให้อีกฝ่ายได้พบกับจุดจบเหมือนที่เคยทำกับครอบครัวของเขา!
ภาพเบื้องหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เป็นห้องเรียนของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง
ใบหน้าของจิวโมไป๋เปลี่ยนไปทันที เขารู้ได้ทันทีว่าเขาจะพบอะไร
“ปล่อยฉัน! ใครก็ได้ช่วยด้วย!”เสียงของหญิงสาวกรีดร้องดังลั้นด้วยความหวาดกลัว
จิวโมไป๋มองไปเห็นจิวเสวี่ยเหมยกำลังถูกถงเหวยคร่อมร่างกำลังลงมอข่มขืน รอบๆมีนักเรียนชายอีก 4 คน กำลังมุงดูด้วยความสนุก มือของพวกเขากำลังยกกำไลข้อมือขึ้นเพื่อบันทึกภาพ
‘สารเลว!’จิวโมไป๋คำรามลั้น ตาของเขาแดงกล่ำทั้งสองข้าง เขาพยายามขยับร่างกายแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
จากนั้นนักเรียนชายคนอื่นก็เริ่มต่อจากถงเหวย
‘หยุด! ไอ้พวกสารเลวหยุดเดี๋ยวนี้!’จิวโมไป๋ตะโกนลั้น เขาอยากจะเข้าไปสังหารสารเลวทั้งหมดแต่ตอนนี้เขาไม่สามารถขยับได้
เขามองไปยังใบหน้าของสารเลวที่กำลังข่มขืนน้องสาวของเขาด้วยความโกรธแค้น ในตอนนั้นเอง เขาก็จำนักเรียนชายคนหนึ่งในนั้นได้ เขาจำได้ในอนาคตอีกฝ่ายจะได้เป็นผู้ว่าเมืองเทียนซู
จิวโมไป๋ก็ได้สติ เขาสังเกตทุกคนอย่างละเอียด ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เพราะเจ้าพวกสารเลวพวกนี้ เป็นทายาทตระกูลชั้นสูงของเมืองเทียนซู!
แม้เขาจะไม่รู้จัก แต่เขาก็พอจะเคยเห็นผ่านสายตาไปบ้าง
สารเลวทั้ง 4 คน ครอบครัวของทุกคนมีตำแหน่งใหญ่โตกว่าตระกูลถง ของถงเหวย
เขาก็เข้าใจอะไรบางอย่าง
ถ้าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง ถงเหวยไม่ใช่คนเดียวที่ทำร้ายของสาวของเขา แต่เพราะต่ำแหน่งของเขา มีสถานะน้อยที่สุด และมีพ่อและพี่ชายเป็นตำรวจยศสูง ทำให้ถงเหวยถูกเลือกให้เป็นเป้า ให้เขาสืบรู้ว่าถงเหวยเป็นคนข่มขืนน้องสาวของเขา
เพื่อให้ครอบครัวของเขาตกลงไปในกับดักที่วางเอาไว้
ร่างของจิวโมไป๋สั่นระริกด้วยความโกรธแค้น หัวใจของเขาเริ่มปวดร้าวทั้งๆที่ไม่ได้เป็นร่างจริง สติแทบจะไม่ทนเอาไว้ไม่อยู่
เขาไม่รู้ว่าภาพที่เห็นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่เขาก็จดจำใบหน้าของทุกคน เพื่อสืบหาความจริง แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนอนาคตแล้วก็ตาม
แต่การที่ถงเหวยกำลังเริ่มลงมือเข้าหาจิวเสวี่ยเหม่ย แสดงว่าคนอื่นๆก็ได้รับการติดต่อจากเซียวหนานจิ้นแล้วเช่นกัน
ถ้าเป็นเรื่องจริง จะต้องมีข้อมูลติดต่อบางอย่างเหลือเอาไว้ ถ้าเขาค้นพบการติดต่อข้อความติดต่อจริง เขาจะไม่ปล่อยพวกสารเลวเอาไว้แน่!
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ แต่มันทำให้จิวโมไป๋แทบจะคลุ้มคลั่ง จนเหตุการณ์จบสิ้น ก่อนที่ภาพจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง
กลายเป็นบนชั้นดาดฟ้าโรงพยาบาล ท้องฟ้าเหนือโรงพยาบาลถูกเมฆสีดำ ปกคลุมจนมืดครึ้ม สายลมค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่เม็ดฝนจะตกลงมา
ใบหน้าของจิวโมไป๋ก็เปลี่ยนไปทันที เขาจดจำที่นี่ได้ทันที เพราะมันเป็นที่ๆเขาเอาดอกไม้ไว้อาลัยมาวางเอาไว้เกือบทุกปี