ช่างน่าเสียดายในยุคสมัยแห่งการบ่มเพาะพลัง ความแข็งแกร่งของการพัฒนาในการบ่มเพาะพลัง เหนือกว่าการพัฒนาของยีนพันธุกรรมมาก แม้ความเร็วในการฝึกจะช้ากว่า แต่รากฐานที่มั่นคงทำให้ไปได้ไกลกว่า และราคาของยีนพันธุกรรมนั้นแพงเกินไป ไม่ต้องพูดถึงการพัฒนาระดับสูงมันยิ่งมีราคาแพงขึ้นไปอีก
ทำให้เมื่อยีนพันธุกรรมถือกำเนิด มันไม่มีใครสนใจนัก นอกจากผู้ที่ไร้พรสวรรค์แต่มีเงิน
ยีนพันธุกรรมจึงเป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่สุดของมนุษย์ชาติ มันเกิดมาช้าเกินไป ถ้ามันเกิดในช่วง ก่อนยุคสมัยแห่งการบ่มเพาะพลัง ยีนพันธุกรรมจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ของมนุษย์ชาติ และช่วยให้มนุษย์พัฒนาไปอย่างอย่างก้าวกระโดด เหนือล้ำกว่ายิ่งมีชีวิตอื่นๆ
นักวิจัยมากมายต่างก็เสียดายที่ยีนพันธุกรรมมาช้าไป แต่สุดท้ายยีนพันธุกรรมก็ถูกฝัง ไม่มีใครพูดถึงมันอีกเลย ไม่แปลกเลยที่เขาจะจำไม่ได้
แต่เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะพบอะไรที่คล้ายยีนพันธุกรรมที่นี่ ในช่วงเวลานี้
คิ้วของจิวโมไป๋ขมวดแน่นก่อนที่เขาจะคิดออก หรือว่าเป็นเพราะโอสถ 12 ชนิด?
เขารู้ดีว่าสูตรโอสถ 12 สามารถแยกความรู้ออกมาและวิจัย เพื่อเปิดเส้นทางการแพทย์ใหม่และการหลอมโอสถใหม่ได้
ที่เขาเลือกพวกมันก็เพราะต้องการให้การแพทย์ก้าวหน้าเร็วขึ้น เพื่อรับมือกับอนาคต
แต่เขาไม่คิดเลยว่ายีนพันธุกรรม จะเป็นหนึ่งในเส้นทางใหม่ อาจเป็นเพราะเขาไม่สนใจมันก็ได้
แต่ถ้ายีนพันธุกรรมถือกำเนิดในยุคสมัยนี้จริงๆ มันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับมนุษย์ชาติ ทำให้พวกเราสามารถเตรียมพร้อมกับสิ่งที่กำลังจะเกิดได้ และมันอาจกลายเป็นสิ่งที่สร้างยุคสมัยใหม่ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้กับมนุษย์ชาติได้
แต่ในตอนนี้ยีนพันธุกรรมตกอยู่ในมือขององค์กร ที่ดูเหมือนจะไม่ใช้คนดีนัก มันอาจจะไม่ช่วยโลก แต่จะทำลายโลกแทน
เขาจะต้องรีบแก้ไขมัน ไม่อย่างนั้นจะเกิดเรื่องร้ายตามมาได้
จิวโมไป๋ถอนหายใจ ดูเหมือนว่าโชคชะตาได้เดินทางมาถึงเส้นทางที่เขาไม่รู้จักแล้วจริงๆ
จิวโมไป๋มองไปยังชายในชุดคลุมทั้งสี่และอวตาร ร่างของเขาก็หายไปจากสายตา ก่อนที่ทั้งสี่จะทันตั้ง ตัวพลองเหล็กก็โจมตีพวกเขาจนกระเด็นไปคนละทิศทาง
“เพราะไม่ได้เป็นพลังของตัวเอง การควบคุมอวตารจึงไม่เสถียร เมื่อรวมเข้ากับสติปัญญาและการควบคุมอารมณ์ที่ลดลง ทำให้ความสามารถในการต่อสู้อ่อนแอกว่าความเป็นจริงมาก”
จิวโมไป๋พุ่งเข้าไปทำลายอวตารทั้ง 4 อย่างไม่ยากเย็น เมื่อคลื่นพลังอวตารย้อนกับพวกเขาก็กระอักเลือดร่างกายอ่อนแอทันที พวกเขาไม่สามารถขยับร่างกายได้อีก
จิวโมไป๋ส่ายหัว เขาจะคาดหวังกับยีนพันธุกรรม ขององค์กรนี้มากเกินไป ดูเหมือนมันจะยังไม่พัฒนาไปยังเส้นทางที่ถูกต้อง
เขาไม่สามารถปล่อยให้มันพัฒนาต่อไปได้
ดวงตาของจิวโมไป๋ส่องประกายวูบหนึ่งก่อนจะหายไป
จิวโมไป๋ทำให้คนในชุดคลุมทั้งสี่หมดสติ ก่อนที่จะแฮกกำไลข้อมือของพวกเขา น่่าเสียดายที่มันมีแค่โปรแกรมค้นหา ที่เอาไว้จับคนเท่านั้น ไม่เชื่อมต่อเน็ตเวิร์คด้วยซ้ำ มันใช้การส่งสัญญาณสั้นๆระยะไม่กี่กิโลเมตร พูดได้ว่าไม่สามารถทำอะไรกับมันได้เลย
จิวโมไป๋ปรับความคิดใหม่ โปรแกรมค้นหาไม่มีทางเกิดขึ้นมาลอยๆ
เขาเจาะเข้าไปลึกขึ้นและในที่สุดเขาก็พบสถานที่ติดตั้งโปรแกรมค้นหา เพราะต้องส่งโปรแกรมค้นหาเข้ามาในเครื่องนี้ ทำให้ช่วงเวลาที่เชื่อมต่อกับเครื่องมืออื่น มันจึงเปิดเผยพิกัด
พิกัดอยู่ที่เมืองเทียนจิง
คิ้วของจิวโมไป๋ขมวดเล็กน้อย เมื่อได้ยินชื่อเมือง เขานึกถึงจิงมู่หยานที่วางแผนจะเล่นงานเขาเพื่อชิงคะแนน
จิวโมไป๋ส่ายหัวไล่ความคิด ก่อนที่จะค้นหาต่อ ก็ไม่พบอะไรเพิ่ม เขาจดพิกัดสถานที่ลงโปรแกรมในอนาคตจะไปตรวจสอบ เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะอยู่ที่นั้นจริงๆ เขาแค่จะไปลองตรวจสอบดู เพื่อมีเบาะแสอะไรบางอย่าง
หลังจากนั้นเขาก็ทำลายอุปกรณ์ทั้งหมดของทั้งสี่ และนำร่างของพวกเขาแยกไปซ่อน
ที่เขาทำแบบนี้ เพื่อที่จะทำให้องค์กรนี้หัวหมุนเท่านั้น
สามารถมาในเขตเพาะพันธุ์ได้ จะต้องมีคนระดับสูงของหน่วยลับช่วยเหลือ และที่เขาทำร้ายคนขององค์กรจะต้องมีรายงานไปแน่ๆ เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปล่อยไป
เขาจะทำตัวไม่รู้เรื่องอะไร และแจ้งหน่วยลับเกี่ยวกับผู้บุกรุก เขามั่นใจว่าหลังจากที่คนของหน่วยลับมาตรวจจะไม่พบอะไร เขาอาจจะถูกเล่นงาน แต่เขาก็ต้องทำ เพื่อให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาไม่ได้ฉลาดอะไรนัก มันจะช่วยลดแรงกดดันไปบ้าง ให้เขาได้มีเวลาพัฒนาความแข็งแกร่ง
หลังจากนี้เขาก็ต้องปรับระดับความแข็งแกร่งขึ้น แต่ก็ยังไม่ใช้พลังทั้งหมด
เขาจำได้ว่าเมื่อเข้าหน่วยลับจะมีการทดสอบ และมันจะมีการจัดอันดับความแข็งแกร่ง เขาต้องไปให้ถึง 20 คนสุดท้าย แต่ต้องไม่เกิน 10 อันดับแรก
เพื่อไม่ให้ดูเด่นเกินไป
เขามีศัตรูมากอยู่แล้ว ถ้าแสดงจุดเด่นเกิดไปมันจะเพิ่มศัตรูที่ไม่รู้ตัว ศัตรูที่ไม่รู้ตัวป้องกันได้ยากกว่าศัตรูที่รู้จักมันดี…
จิวโมไป๋ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหยุดการทำงานของสัญญาณติดตาม และพุ่งตัวหลบหนีไป
ไม่นานหลังจากนั้น
ผู้บ่มเพาะพลังชายวัยกลางคนก็มาถึงเขามองไปรอบๆก่อนที่จะขมวดคิ้ว เขาเดินตรวจสอบไปรอบๆก็เห็นนายน้อย นอนสลบไม่ได้สติ เขาตรวจสอบพบว่ามีแค่รอยกระแทกอย่างที่ลำตัวเท่านั้น ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเขาก็เบาใจลงเล็กน้อย
ก่อนจะขมวดคิ้ว และกดที่กำไลข้อมือ สัญญาณติดตามของลูกน้องของเขาหายไปหมด และสัญญาณติดตามตัวของจิวโมไป๋ก็หายไป
เกิดอะไรขึ้น?
เขาตรวจสอบพื้นที่โดยรอบก็ไม่พบร่องรอยการต่อสู้ เขายิ่งมืดแปดด้าน จนในที่สุดเขาก็เจอคนของเขาถูกมัดในพุ้มไม้
เขาก็เขาใจทันทีว่าคนของเขาถูกจัดการและซ่อนในที่ยากจะค้นหา
“ดีๆ ไม่มีใครกล้าท้าทายฉันมานานแล้ว เด็กสารเลว อย่าให้ฉันได้เจออีกครั้ง…”
จิวโมไป๋วิ่งไปที่เขต 3 โดยที่ไม่มีใครจับได้ แต่เมื่อเขากำลังจะเดินไปที่หน้าผาเพื่อปีนขึ้นไป เขาก็พบหลิวยี้เอินกำลังซ้อนตัวอยู่ด้านบน
เธอรอเขาไม่ได้มุ่งหน้าไปก่อน จิวโมไป๋ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะบีนขึ้นไป
หลิวยี้เอินเห็นจิวโมไป๋เธอก็ดีใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ฉันไม่เป็นอะไร ไม่ต้องห่วง”จิวโมไปยิ้มก่อนที่พวกเขาจะกลับไป หลุมที่พวกเขาขุด หลี่ฟูจิวนอนยังไม่ได้สติ การปลุกพลังวิญญาณกินพลังงานมาก และหลี่ฟูจิวไม่ได้มีร่างกายแข็งแรง ทำให้เขาเหนื่อยกว่าปกติ
หลิวยี้เอินถามเกี่ยวกับกลุ่มคนในชุดดำ
จิวโมไป๋ก็เล่าให้ฟัง โดยที่ตัดเรื่องยีนพันธุกรรมออก และตัดตัวตนของชายวัยกลางคนขั้นที่ 7 ไขกระดูกปลาย
หลิวยี้เอินได้ฟังก็พยักหน้า เธอไม่สะบายใจที่รู้ว่าในหน่วยลับมีคนไม่ดีซ่อนอยู่
“เมื่อพวกเราเข้าหน่วยลับได้แล้ว แม้ว่าเราจะถูกเล่นงาน เราก็สามารถใช้กฎของหน่วยลับป้องกันตัวเองได้”จิวโมไป๋บอก แต่เขาพึ่งนึกได้ว่า เขาเข้าหน่วยลับหลังจากยุคปรับเปลี่ยน กฎได้เปลี่ยนใหม่แล้ว
หลิวยี้เอินพยักหน้า
เช้าวันต่อมาหลี่ฟูจิวก็ตื่นขึ้น
“ขอบคุณน้องชายที่ช่วยฉันเอาไว้ ถ้าไม่ได้น้องชายฉันแย่แน่ๆ”หลี่ฟูจิวขอบคุณจิวโมไป๋อย่างจริงใจ จิวโมไป๋ก็บอกไม่เป็นอะไร
จิวโมไป๋หาแหล่งน้ำจับปลามาทำอาหาร
หลี่ฟูจิวชื่นชมอาการจากฝีมือของจิวโมไป๋ไม่หยุด ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางร่วมกัน
หลี่ฟูจิวมีร่างกายอ่อนแอทำให้การเดินทางช้าลง พวกเขาไม่ปีนหน้าผา แต่เดินอ้อมแทน แม้การเดินทางจะช้าลง แต่จิวโมไป๋ก็ไม่ใส่ใจนัก เพราะถึงจะช้าหรือเร็วก็มีค่าเท่ากัน ไม่ไปรายงานตัวสายเท่านั้นก็พอ
พวกเขาเดินจนถึงทุ่งหญ้าโล่งกว้างมีต้นไม้ใหญ่ ปลูกกระจายห่างกันระยะหลายร้อยเมตร
พวกเขาพักใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ก่อนที่พวกเขาจะได้พูดกัน ก็เห็นคนเดินมาจากอีกด้าน จิวโมไป๋ใช้จิตสัมผัส เขาก็จำได้ทันทีว่าใคร
“สวัดดี บังเอิญจริงๆที่เราพบกันก่อนที่จะถึงสำนักงาน”จิงมู่หยานกล่าวทักทายอย่างสนิทสนม
จิวโมไป๋พยักหน้ารับ
หลิวยี้เอินดูเหมือนจะไม่ตอนรับนัก แต่เธอก็ไม่พูดอะไร หลี่ฟูจิวซื่อไม่รู้อะไรเลย เขาเป็นหนอนหนังสือ เข้ากับคนไม่คอยเก่งดังนั้นเขาจึงอยู่เงียบๆ ไม่พูดอะไร
จิงมู่หยานพูดเก่งมาก เขาพูดได้หลายเรื่อง เหมือนเขารู้ทุกอย่าง พูดจนหลี่ฟูจิวถูกดึงดูดไปรวมพูดด้วย จิวโมไป๋ก็ไม่ห้ามอะไร
เมื่อพักจนพอพวกเขาก็เดินทางกันต่อ รวมกลุ่มของจิงมู่หยาน 6 คน รวมเป็น 9 คน
พวกเขาเดินไปเรื่อยๆจนดวงอาทิตย์เริ่มตก พวกเขาก็ไปถึงถ้ำแห่งหนึ่งที่มีแม่น้ำใกล้ๆ พวกเขาตกลงพักกันที่นี่
คนของจิงมู่หยานเสนอตัวทำอาหาร
จิวโมไป๋ไม่ปฏิเสธ
ไม่นานอาหารก็มาถึง พวกเขาตัดไม้มาทำเป็นจาน ชาม อุปกรณ์ทานอาหาร และมีแก้วไม้
ทุกคนกินกันและมีพูดคุยกันบางจิงมู่หยานจะเป็นพูดซะส่วนใหญ่ จนทานอาหารเสร็จพวกของจิวโมไป๋ก็ยกน้ำดื่มจนหมด
คนของจิงมู่หยานก็สบายใจ พวกเขาพูดคุยกันต่อ จนเริ่มดึกพวกเขาแยกกันนอน ทันทีที่คนของจิงมู่หยานหลับพวกเขาก็หลับเป็นตาย
หลิวยี้เอินและจิวโมไป๋เดินไปค้นตัวทุกคน หลี่ฟูจิวที่ยังไม่รู้เรื่องราวก็เดินตามด้วยความสับสน
“จะถูกวางยานอนหลับอยู่แล้ว ยังไม่รู้ตัวอีก แล้วแบบนี้จะเป็นนักปรุงยาที่แข็งแกร่งได้ยังไง”จิวโมไป๋เห็นท่าทางใสซื่อเขาอดไม่ได้ที่จะพูด
“เกิดอะไรขึ้น?”หลี่ฟูจิวยังงงอยู่
จิวโมไป๋และหลิวยี้เอินได้แต่ถอนหายใจ และเริ่มกังวลว่าในวันหน้าอีกฝ่ายจะใช้ชีวิตยังไง
ในช่วงเวลาที่เป่ยหลัวแอบผสมสมุนไพรที่มีฤทธิ์เหมือนยานอนหลับ เขาก็บอกให้หลิวยี้เอินลอบใช้กฎแห่งธาตุน้ำสลับน้ำในแก้วดื่ม
ฤทธิ์ของยานอนหลับดูเหมือนว่ามันจะมีมากกว่าที่เขาคิดไว้ ขนาดเจือจางแล้ว พวกจิงมู่หยานยังหลับเป็นตาย ถ้าพวกเขาดื่มไม่รู้จะนอนหลับยาวขนาดไหน อาจนอนหลับจนเลยเวลาทดสอบไปเลยก็ได้
ดังนั้นจิวโมไป๋จึงไม่ลังเล เขาปล้นคะแนนทั้งหมดไม่ทิ้งเอาไว้แม้แต่ชิ้นเดียว ก่อนจะพากันจากไปหาที่พักใหม่
—