ท่ามกลางความมืดมิดยามกลางคืน บนท้องฟ้ามีดวงจันทร์สีเหลืองนวลกำลังส่องแสงอย่างอ่อนโยน โรงงานร้างนอกเมื่องเทียนซู กำลังมีกลุ่มแก็งสองกลุ่มกำลังล้อมวงดูการต่อสู้
ตรงกลางโรงงานมีพื้นที่ถูกจัดให้เป็นสะนามประลอง รอบข้างเต็มไปด้วยผู้คนยืนกันอย่างหนาแน่น มีบางคนที่บีนขึ้นไปยืนมองการต่อสู้อยู่บนรถยนต์
“ฆ่ามัน อย่าปล่อยให้มันรอด”
“บัดซบ! ใครปล่อยให้ไอ้โง่นั้นขึ้นไป”
“อ่าา แพ้แล้ว ตอนนี้กลุ่มเลือดมังกรชนะไป 1 คะแนน”
เสียงเชียร์ผสมเสียงสบถด่าทอดังอื้ออึง โชคดีที่โรงงานร้างอยู่ไกลจากเขตชุมชน ไม่อย่างนั้นต้องมีใครแจ้งตำรวจมาควบคุมสถานะการณ์อย่างแน่นอน
“พี่กู๋เป่ย ครั้งประลองครั้งแรก พวกเราชนะแล้ว ครั้งต่อไปพี่จับฉลากเลย ว่าจะให้ผู้บ่มเพาะขั้นไหนขึ้นประลอง”กงหนานพูดขณะที่กำลังฉีกยิ้มกว้าง
กู๋เป่ยยิ้มเย็น ก่อนหันไปสั่งให้ลูกน้องด้านข้างเดินไปที่กล่องใบเล็ก ที่ตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางรอบนอกสนานประลอง
“ขั้นที่ 3 เส้นเอ็น”ทันทีที่เสียงประกาศดังขึ้น ฝั่งกู๋เป่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยแววตาทอประกายวูบหนึ่ง ก่อนที่จะรีบเก็บสีหน้า
“ฮ่าๆ รอบนี้พวกฉันคงจะชนะอีกแล้ว พวกแกดวงไม่ดีจริงๆ เป็นแค่นักเลงข้างถนน กล้ามาถ้าพวกเราสู้ หึ ยอมแพ้แล้วส่งของพนันมาเลยดีกว่า”เย่จื่อหยวนที่นั่งกระดิกเท้าจิบเบียร์ บนกระโปงรถคันหรูหัวเราะเยาะเย้ยเสียงดัง
เขาไม่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามที่เป็นแค่กลุ่มแก็งนักเลง จะมีผู้บ่มเพาะเส้นเอ็นที่แข็งแกร่งมาสู้กับเขาแน่
“เหอะ รอจบก่อนค่อยพูดดีกว่าไหม นายน้อยเย่รีบเลือกคนขึ้นมาต่อสู้เถอะ”กู๋เป่ยพูดเสียงเหี้ยมพลางโบกมือเรียก ชายฉกรรจ์อายุประมาณ 28 ปี ขึ้นไปบนสนามประลอง
“เถอะ อายุตั้งเท่าไหร่แล้วยังอยู่แค่ขั้นเส้นเอ็น ขยะจริงๆ”เย่จื้อหยวนเหลือบตามองด้วยหางตา ก่อนที่จะเรียกคนฝั่งตัวเองขึ้นไปบนสนาม เป็นชายหนุ่มอายุ 21 ปี ค่อยๆลงมาจากรถยนต์คันหรู ท่าทางของเขาดูแข็งแกร่งมีพลัง
เมื่อชายหนุ่มขึ้นไปบนสนามประลองก็มีเสียงร้องเชียร์ดังสนั่น
“โอวว นั้นมันม่อโจวหลินไม่ใช่เหรอ”
“นักศึกษาปี 4 มหาวิทยาลัยเทียนซู เขาเป็นอันดับ 5 ของคนที่แข็งแกล่งที่สุดของมหาวิทยาลัย พูดได้ว่าเป็นอัจริยะชั้นบนของเมืองเทียนซูเลยก็ว่าได้ ไม่คิดเลยจริงๆว่านายน้อยจะสามารถพาเขามาได้”
“ตอนอยู่ชั้นปีที่ 3 เขาสามารถเอาชนะรุ่นพี่ปี 4 ได้ และเคยเข้าแข่งการต่อสู้ระหว่างมหาลัยด้วย”
ม่อโจวหลินเดินขึ้นไปที่สะนานประลองอย่างถือดี เขามองคู่ต่อสู้ที่มีระดับการบ่มเพาะพลัง ขั้นเส้นเอ็นปลาย เล็กน้อยก่อนที่จะเบ้ปากหันไปทางอื่น
“ฉันชื่อกวนหยุน น้องชายออมมือให้ด้วย”กวนหยุนก้มหัวเล็กน้อยเป็นการทักทาย
“รีบๆเข้ามา ฉันไม่อยากเสียเวลากับพวกอ่อนแอ”ม่อโจวหลินไม่สนใจการทักทายของอีกฝ่าย เขายืนตัวตรงไม่ตั้งท่าใดๆทั้งสิ้นบ่งบอกว่าดูถูกคู่ต่อสู้อย่างมาก แม้อีกฝ่ายจะมีระดับการบ่มเพาะเท่ากันก็ตาม
กวนหยุนขมวดคิ้วไม่พอใจเขาไม่พูดอะไรอีก ตั้งท่าต่อสู้ เสียงกล้ามเนื้อสั่นเทาทั่วร่างกาย พลังต่อสู้ค่อยๆกระจายออกมารอบข้างจนผู้คนอึดอัด
ทันทีที่สัมผัสได้ถึงแรงกดดัน ม่อโจวหลินขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่จะเปลี่ยนท่ายืนอย่างรวดเร็ว แต่ในตอนนั้นเองกวนหยุน ก็พุ่งทะยานเข้ามาปรากฏเบื้องหน้าม่อโจวหลินอย่างรวดเร็ว พร้อมกับชกหมัดทรงพลังพุ่งเข้าใส่ในพริบตาโดยไม่ให้ม่อโจวหลินได้ทันตั้งตัว
ก่อนที่หมัดจะเข้าปะทะ ม่อโจวหลินก็โยกตัวหลบออกด้านข้าง ทิ้งกลิ่นไหม้จากการเสียดสีอากาศผ่านใบหน้าไปแค่ไม่กี่นิ้ว สมกับที่เป็นอัจฉริยะอันดับ 5 ของมหาวิทยาลัย สามารถรับมือกับการโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวได้ทันท้วงที
แต่ยังไม่ทันได้ตั้งท่ารับมือ
ผัวะ เท้าของอีกฝ่ายก็ถีบเข้ากลางอกจนม่อโจวหลิน กระเด็นไปด้านหลังเกือบ 4 เมตร สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความเจ็บปวดอย่างมาก เลือดค่อยๆไหลออกมาจากมุมปาก บ่งบอกว่าเขาได้ับบาดเจ็บอย่างรุนแรง
“บัดซบพวกลอบกัด!”ม่อโจวหลินร้องตะโกนเสียงดังด้วยความเกรี้ยวกราด ใบหน้าชาด้านด้วยความอับอายมากกว่าความเจ็บปวดที่ได้รับ เขาตั้งท่าต่อสู้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าสังเกตกูดีๆจะเห็นว่าตัวของเขาสั่นระริกอย่างไม่อาจห้ามปราม
“หึ ลอบกัดยังใง น้องชายเป็นคนบอกให้ฉันโจมตีเองไม่ใช้เหรอ ถ้าจะโทษใครก็ต้องโทษที่ น้องชายเองที่ไม่ยอมเตรียมต่อสู้ตั้งแต่แรก มั่วแต่โง่ยืนเก็กสุดท้ายก็หมูสนาม อัจฉริยะอะไรกันอ่อนหัดจริงๆ”กวนหยุนหัวเราะเยาะเสียงดังไม่เกรงใจใคร
ทำให้คนฝั่งเลือดมังกรหน้าเสีย เพราะพวกเขาบรรยายสรรพคุณของม่อโจวหลินอย่างยิ่งใหญ่ ใครจะคิดว่าจะเป็นหมูสนามแบบนี้ได้
จะโทษม่อโจวหลินก็ไม่ถูก เพราะเขาเป็นถึงอัจฉริยะ ที่ผ่านการต่อสู้กับนักบ่มเพาะที่อยู่ในโรงเรียน หรือ มหาวิทยาลัยมาตลอด
เมื่อมาต่อสู้กับอีกฝ่ายที่เป็นแค่นักเลงริมถนน ด้วยความเย่อหยิ่งของผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุด เจอคู่ต่อสู้แบบนี้เป็นใครก็ต้องประมาท
ม่อโจวหลินตั้งท่าต่อสู้ สายตาจับจ้องฝ่ายตรงข้ามไม่คาดสายตา
เหมือนอีกฝ่ายจะไม่อยากเสียเวลาอีกแล้ว เขาใช้ท่าเท้าพุ่งเข้ามาอีกครั้ง ม่อโจวหลิวตั้งตัวเตรียมพร้อมไว้แล้ว เขาใช้หมัดชกตอบโต้อย่างรวดเร็ว
กวนหยุนที่พุ่งเขามาเขาไม่หยุดชะงักท่าเท้า ยกแขนซ้ายขึ้นมาป้องกันอย่างรวดเร็ว
ปังงง เสียงปะทะดังสนั่น แขนข้างที่ป้องกันถูกชกจนสะบัดไปด้านข้าง กวนหยุนข่มความเจ็บปวดเข้าปะชิดอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะฟาดฝ่ามือสวนลงมาอย่างรุนแรง เหมือนเตรียมการโจมตีไว้แต่แรกแล้ว
ฝ่ามือบดศิลา
เปรี้ยงง ม่อโจวหลินทรุดตัวลงกับพื้น ดวงตากรอกขึ้นฟ้าใกล้สิ้นสติเต็มที
รวดเร็ว เรียบง่าย
“อ่อนเกินไป การต่อสู้แบบนี้ ยังคิดจะใช้การโจมตีลองเชิง งี่เง่าจริงๆ”กวนหยุนส่ายหัวเบาๆ โดยไม่สนใจแขนซ้ายที่สั่นระริกของตัวเอง ก่อนที่จะยกเท้าเตะซ้ำจนม่อโจวหลินกระเด็นไปนอกสนามประลอง
คนฝั่งปีกสวรรค์โห่ร้องตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นเต้น ส่วนฝั่งเลือดมังกรตอนนี้เงียบกันหมด
“ขอบคุณนายน้อยเย่”กู๋เป่ยกล่าวเยาะเย้ยก่อนที่จะหัวเราะเสียงดัง
“บัดซบ!”เย่จื่อหยวนโยนแก้วเบียร์ทิ้งลงพื้นแตกกระจาย
กงหนานกระแอมเล็กน้อยก่อนที่จะพูดขึ้น
“คะแนนเสมอ 1 ต่อ 1 เริ่มจับฉลากประลองรอบที่ 3”
…
บนแท็งน้ำที่ไกลออกไป จิวโมไป๋ส่ายหัวเล็กน้อย การประลองแบบนี้ไม่เหมือนกับการต่อสู้บนสนามแข่งการต่อสู้ ที่ต้องคอยระวังดูแลรักษาร่างกาย เพราะถ้าบาดเจ็บหนักจะสงผลไปถึงการต่อสู้ในรอบต่อไป
การประลองข้างถนนที่มีสิ่งของเป็นเดิมพันราคาสูง คนที่ประลองจะต้องงัดทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาสู้ห้ามออมมืออย่างเด็ดขาด คนที่ทำเป็นเก่งหรือประมาทส่วนมากจะแพ้และทิ้งชีวิต ให้กับคนที่เจ้าเล่ห์และมีประสบการณ์ต่อสู้มากกว่าแบบนี้
แม้ว่าม่อโจวหลินจะมีวิชาต่อสู้มากมายเพียงใด แต่ถ้าไม่ได้ใช้ มันก็ไร้ความหมาย คนที่จัดเจนในการต่อสู้ จะรู้ดีว่าเมื่อต่อสู้กับคนประเภทม่อโจวหลิน จะต้องรีบจบการต่อสู้ ให้เร็วที่สุดในช่วงเวลาที่คู่ต่อสู้ย่ามใจ
แต่ยังใงก็ตามการต่อสู้ก็จบเร็วเกินไปจริงๆ มันแสดงให้เห็นว่ากวนหยุนแข็งแกร่งและเด็ดขาดอย่างมาก เขาเลือกที่จะสละแขนข้างที่ไม่สำคัญ ทิ้งโดยไม่ลังเล เพื่อจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด มันบ่งบอกถึงถึงประสบการณ์ต่อสู้อันยาวนานของเขา
สาเหตุที่ม่อโจหลินพ่ายแพ้นั้น เขาไม่แปลกใจ เพราะถึงแม้ยุคสมัยนี้จะเป็นยุคแห่งการบ่มเพาะก็ตาม แต่มันก็ไม่มีเหตุการณ์ที่ต้องต่อสู้เสี่ยงชีวิตจริงมากนัก นอกจากจะเป็นทหารหรือตำรวจที่ต้องฝึกซ้อมต่อสู้จริงๆอย่างเข้มข้น
ม่อโจวหลิน ยังเป็นแค่นักศึกษาเท่านั้น และยิ่งเป็นเป็นอัจฉริยะ พวกเขาจะต้องได้รับการดูแลอย่างดี เขาไม่อาจออกไปต่อสู้เสี่ยงได้ง่ายๆ ประสบการณ์ต่อสู้จริงๆจึงน้อยมากก็ไม่แปลก
จิวโมไป๋ กดกำไลข้อมือถ่ายภาพของคนที่ชนะม่อโจวหลินเอาไว้ ก่อนที่จะมองรูปสลักในมือ เขายิ้มออกมาอย่างแผ่วเบา
“ได้เวลาแล้ว”จบคำ รูปสลักก็ส่องแสงสีทองแดงอย่างลี้ลับราวลุกไหม้ด้วยเปลวไฟ
—
ขออธิบายเกี่ยวกับพลังต่อสู้ไว้ตรงนี้นะครับ ระดับสร้างฐานขั้นที่ 1-7 จะยังไม่สามารถดึงพลังปราณออกมาใช้ได้ แต่จะสร้างความแข็งแกร่งของร่างกายตามระดับขั้น 1-7
เมื่อต่อสู้จะปรากฏพลังในรูปแบบรังสีกดดัน ยังไม่ใช่ลมปราณ
(ส่วนพลังจิตวิญญาณสามารถใช้ออกมาได้ตั้งแต่เริ่ม)
เมื่อถึงขั้นที่ 8 ชีพจร พอทะลวงชีพจรแล้วจะเริ่มเห็นรอยสักตรงบนหน้าผาก นั้นแสดงให้เห็นว่าสามารถเริ่มใช้ลมปราณได้แล้ว
ขอบคุณที่ติดตามครับ